ภาคที่ 1 บทที่ 73 ใครกล้าก็เข้ามา

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 73 ใครกล้าก็เข้ามา

“ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ”

“คุณหมอเป็นคนดีที่สุดแล้ว”

“พวกเราอยากมาที่นี่เพื่อขอบคุณคุณหมอเป็นการส่วนตัว”

เมื่อการเปิดคลินิกภาคสนามเริ่มขึ้น ชาวบ้านทุกคนก็เดินเข้ามาพูดความในใจกับซูเย่ระหว่างที่ยื่นแขนออกมาให้ชายหนุ่มตรวจชีพจร

หลี่เคอหมิงยิ่งรับรู้ได้ถึงความผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

เขาอาศัยจังหวะพักดื่มน้ำ ลุกขึ้นไปถามผู้ใหญ่บ้านด้วยความสงสัยว่า

“มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าผู้ใหญ่ ทำไมผมรู้สึกเหมือนกับว่าชาวบ้านทุกคนไม่ได้เศร้าโศกเสียใจเหมือนเดิมแล้ว”

“นี่คุณหมอใหญ่ไม่รู้เหรอครับเนี่ย?”

ผู้ใหญ่บ้านหรี่ตามองหลี่เคอหมิงด้วยความประหลาดใจ “คุณหมอซูเย่ไม่ได้บอกเหรอครับว่าเขาทำอะไรลงไป?”

“เขาทำอะไรล่ะ?”

หลี่เคอหมิงถึงกับชะงักไปเล็กน้อย

“คุณหมอซูเย่จ่ายเงินเช่าที่ดินชาวบ้านกว่า 500 ไร่ ด้วยราคาค่าเช่าที่แพงมากกว่าการเช่าที่ดินทั่วไปถึงสามเท่าเลยครับ!”

“อย่างที่คุณหมอใหญ่ก็คงเห็นว่าทุ่งข้าวโพดของพวกเราโดนไฟไหม้ไปทั้งหมด มันกลายเป็นที่ดินไร้ประโยชน์ เราคงไม่มีปัญญาเพราะปลูกอะไรได้อย่างน้อยก็อีกครึ่งปี แต่ต้องขอบคุณลูกศิษย์ของคุณหมอใหญ่มากเลยครับ เพราะแบบนี้พวกเราชาวบ้านตาดำ ๆ จึงมีโอกาสได้ลืมตาอ้าปากบ้างแล้ว”

“เดี๋ยวก่อนนะ? ผู้ใหญ่บ้านกำลังจะบอกว่าซูเย่เป็นคนเช่าที่ดินพวกนี้งั้นหรือ?”

หลี่เคอหมิงตกตะลึง ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองได้ยิน

“ใช่แล้วครับ คุณหมอซูเย่เช่าที่ดินพวกเราไปทั้งหมด 571 ไร่ เมื่อคืนก่อน เขาเอาเงินสดมาให้พวกเราหนึ่งล้านหยวน โดยที่ทางผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยครับ”

หลี่เคอหมิงนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนก่อน เขาแอบเห็นกระเป๋าเป้ของซูเย่ตุงผิดปกติอยู่เช่นกัน

แล้วชายหนุ่มก็ขอลงจากรถแท็กซี่กลางทางด้วย

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดชาวบ้านถึงเดินมาขอบคุณซูเย่

ที่แท้ก็มีเหตุผลรองรับอยู่มากมายนี่เอง

แต่ซูเย่จะเช่าที่ดินพวกนี้ไปทำไมกันนะ?

เงินหนึ่งล้านหยวนไม่ใช่เงินก้อนเล็ก ๆ

หรือว่าซูเย่จะเป็นพวกลูกเศรษฐี?

มีฐานะทางบ้านร่ำรวย?

การจ่ายเงินเช่าที่ดินของเขาในครั้งนี้ จึงไม่ต่างไปจากการจ่ายเงินซื้อเสื้อผ้าหรืออาหารในชีวิตประจำวัน

หลี่เคอหมิงตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็รู้สึกดีใจ

เขามั่นใจแล้วว่าซูเย่เป็นคนดี

มีแต่เป็นคนดีเท่านั้น ถึงจะทำความดีโดยไม่หวังผลตอบแทนเช่นนี้

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหลี่เคอหมิง

เขาดูคนไม่ผิดจริง ๆ

อีกไม่นาน ซูเย่จะต้องเป็นดาวเด่นในวงการแพทย์แผนจีนแน่นอน!

เมื่อพักดื่มน้ำดื่มท่ากันเรียบร้อย การตรวจรักษาคนไข้ก็ดำเนินต่อไป

คุณหมอทั้งสองท่านกลับมานั่งประจำที่

“คุณหมออยู่ไหนวะ เห็นว่าที่นี่มีตรวจรักษาฟรีไม่ใช่เหรอ?”

ห่างออกไปไม่ไกล มีเสียงตะโกนโวยวายดังขึ้นมา

ชาวบ้านทุกคนหันไปมองทิศทางต้นเสียง

ชายฉกรรจ์อายุประมาณ 30 – 40 ปีคนหนึ่งเดินกร่างเข้ามาด้วยท่าทางชวนทะเลาะ

“นี่มันนายหม่าจากหมู่บ้านข้าง ๆ ไม่ใช่หรือไง?”

“เขามาทำอะไรที่นี่?”

“ไอ้หมอนี่ปรากฏตัวขึ้นที่ไหน มีแต่ความบรรลัยทุกที”

เสียงกระซิบกระซาบดังออกมาจากกลุ่มชาวบ้าน

ชายฉกรรจ์แซ่หม่ามองสีหน้าตื่นตระหนกของทุกคนด้วยความเหยียดหยาม

เขาไม่สนใจชาวบ้านที่ยืนอยู่โดยรอบ ย่างสามขุมเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะตรวจคนไข้

ดวงตาของชายฉกรรจ์แซ่หม่าเป็นประกายเจ้าเล่ห์ เหมือนหนูตัวร้ายกำลังหาทางขโมยปลาย่างไปจากแมว

เขาใช้สายตาสำรวจมองซูเย่ตั้งแต่หัวจรดเท้า

เมื่อขยับเข้ามาใกล้ กระเป๋าเป้ที่ซูเย่พกติดตัวมาด้วยในวันนี้ ก็เตะสายตาของคนแปลกหน้าเข้าอย่างจัง

ชายฉกรรจ์แซ่หม่าได้ยินว่าคุณหมอที่มาเปิดคลินิกสนามรักษาคนไข้ฟรี ๆ ในหมู่บ้านนี้ จ่ายค่าเช่าที่ดินถึงไร่ละ 1,500 หยวน แต่ที่สำคัญก็คือ ที่ดินเหล่านั้นเป็นที่ดินซึ่งถูกไฟไหม้ไปเมื่อวันก่อน ไม่สามารถนำไปทำประโยชน์อะไรได้อีกแล้ว

เงินทั้งหมดนั่นอยู่ในกระเป๋าเป้ใบนี้ใช่หรือไม่?

“คุณหมอตรวจผมหน่อยสิ”

ชายฉกรรจ์แซ่หม่าผลักชาวบ้านที่อยู่ทั้งสองฝั่งออกไปให้หมด ก่อนจ้องมองคุณหมอหนุ่มด้วยแววตาท้าทาย

“ไปต่อแถวครับ”

ซูเย่พูด

“ผมป่วยจะตายอยู่แล้วเนี่ย ยังจะให้ไปต่อแถวอะไรอีก”

ผู้เป็นคนไข้รายใหม่ขึ้นเสียงด้วยความไม่สบอารมณ์

“ไปต่อแถวครับ”

ซูเย่พูดย้ำคำเดิม

“ถ้าไม่ไปแล้วหมอจะทำไม?” พูดจบ ชายฉกรรจ์ก็ยื่นแขนออกมาข้างหน้าให้ซูเย่ทำการตรวจ

เมื่อซูเย่สัมผัสมือลงไปบนแขนของชายฉกรรจ์ สิ่งที่น่าตกใจก็เกิดขึ้น

“อ๊าก…”

ชายฉกรรจ์แซ่หม่าล้มลงไปนอนน้ำลายฟูมปาก ชักกระแด่ว ๆ คาโต๊ะตรวจคนไข้

ซูเย่พูดอะไรไม่ออก

ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบได้แต่อุทานออกมาด้วยความตื่นตกใจ

หลี่เคอหมิงรีบลุกขึ้นจะเข้ามาดูอาการของชายฉกรรจ์ แต่ซูเย่ก็ยกมือห้ามเอาไว้ และส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนอยู่ในความสงบ

ชายฉกรรจ์คนนี้แค่อยากมาหาเรื่องพวกเขาเท่านั้นเอง!

“ลุกขึ้นมาได้แล้วครับ สรุปว่าคุณต้องการอะไรกันแน่?”

ซูเย่พูดกับชายฉกรรจ์แซ่หม่าที่นอนฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะตรวจคนไข้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“โดนรู้ทันซะแล้วสิ”

ชายฉกรรจ์แซ่หม่าที่นอนน้ำลายฟูมปากอยู่เมื่อสักครู่ พลันลุกขึ้นยืนใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำลายตัวเอง ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้แก่ซูเย่ “ผมได้ยินว่าหมอจ่ายค่าเช่าที่ไร่ละ 1,500 หยวน ที่ดินของชาวบ้านพวกนี้โดนไฟไหม้หมดแล้ว เช่าไปหมอก็ทำประโยชน์ไม่ได้ แต่บ้านผมอยู่หมู่บ้านข้าง ๆ นี่แหละ หมอสนใจจะเช่าที่ของผมบ้างไหมล่ะ รับรองว่าเอาไปใช้ประโยชน์ได้อีกเยอะ”

“ใช้ประโยชน์ได้กับผีน่ะสิ!”

ผู้ใหญ่บ้านพูดออกมาโดยเร็ว “ที่ดินของนายมันแห้งแล้งจะตาย เอาไปปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นหรอก”

“ผู้ใหญ่แก่แล้วอย่าพูดมากสิ”

ชายฉกรรจ์หันกลับมามองหน้าผู้ใหญ่บ้านตาขวาง หลังจากนั้นจึงหันกลับไปมองหน้าซูเย่อีกครั้ง

“ผมจะบอกอะไรให้นะ…”

“ไม่สนใจ”

ซูเย่ตอบรับกลับไปทันที “กรุณาอย่าทำให้ผมเสียเวลา”

“งั้นสิ่งที่เรากำลังจะคุยกันต่อในวันนี้ก็คือ…”

ชายฉกรรจ์แซ่หม่าพูดยังไม่ทันจบ

“หม่าเหลาเอ้อ!”

เสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นดังขึ้น

คนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา

ร่างของหม่าเหลาเอ้อกลิ้งกระเด็นไปบนพื้นดินเหมือนถูกพุ่งชนด้วยวัวกระทิงก็ไม่ปาน

“ไอ้คนเร่ร่อน มึงอยากตายหรือไงวะ?” หม่าเหลาเอ้อยันตัวลุกขึ้นมาด้วยความเดือดดาล เบิกตาโตจ้องหน้าชายเร่ร่อนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ไสหัวไปซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันทำอะไรรุนแรง!” ชายเร่ร่อนระเบิดเสียงคำราม ยืนจังก้าเหมือนยักษ์ใหญ่

หม่าเหลาเอ้อกำมือเป็นหมัดด้วยความโกรธ แววตาเป็นประกายดุดัน ชำเลืองมองชาวบ้านรอบกายพร้อมกับพูดว่า “ถ้ากูยังอยู่ พวกมึงอย่าหวังจะได้ตรวจโรคกับไอ้หมอนี่อีกเลย!”

“ว่าไงนะ!”

หม่าเหลาเอ้อตีสีหน้าโหดเหี้ยม พร้อมที่จะอาละวาดได้ตลอดเวลา แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ากลุ่มชาวบ้านได้โอบล้อมเข้ามาจากทุกทางด้วยสีหน้าแววตาที่น่ากลัวไม่ใช่น้อย

“ไปก็ได้วะ!”

หม่าเหลาเอ้อมองหน้าชายเร่ร่อนอย่างคาดโทษอีกครั้ง ก่อนจะหันหน้ากลับมายกมือชี้หน้าซูเย่ “โชคดีนะที่วันนี้ร่างกายกูบาดเจ็บอยู่ ไม่งั้นล่ะก็ มึงเละแน่!”

พูดจบ

ก็หมุนตัววิ่งหนีไปทันที

ชายเร่ร่อนยืนอยู่ที่เดิมตรงนั้นเพื่อให้แน่ใจว่า ผู้ก่อกวนจากหมู่บ้านข้างเคียงจะไม่กลับมาอีก

ชาวบ้านจำนวนมากหันมายกนิ้วโป้งชื่นชมชายเร่ร่อน

ชายเร่ร่อนยิ้มหน้าบาน

ซูเย่ชำเลืองมองชายเร่ร่อนเล็กน้อย และเริ่มต้นตรวจคนไข้ต่อไป

แต่ตรวจคนไข้ได้อีกไม่กี่คน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาตั้งแต่ไกล

“เฮ้ย พวกมึงน่ะ ยังอยู่กันอีกรึ…”

หม่าเหลาเอ้อกลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยชายฉกรรจ์นับสิบคน

เมื่อเห็นกลุ่มผู้บุกรุก

ชาวบ้านที่ทำหน้าที่เป็นเวรยามก็เกิดความตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่ปากเก่งกันแล้วหรือไง?”

หม่าเหลาเอ้อที่กลับไปตามกำลังเสริมเมื่อสักครู่ กวาดตามองกลุ่มชาวบ้านด้วยความเย้ยหยัน ก่อนยกไม้หน้าสามในมือขึ้นชี้หน้าซูเย่ “เมื่อกี้หมอทำผมขายหน้า หมอต้องจ่ายค่าเสียหายมาเดี๋ยวนี้!”

“ผมไม่มีเงิน”

ซูเย่ตอบกลับไปน้ำเสียงเรียบเฉย

“เฮอะ ถ้าหมอไม่มีเงิน หมอก็ต้องโดนกระทืบ!”

หม่าเหลาเอ้อไม่คิดเลยว่าความตั้งใจที่จะมาไถเงินในวันนี้ จะพบกับความลำบากยากเย็นมากกว่าที่คิด จึงอดรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาไม่ได้

“แกห้ามทำอะไรคุณหมอเด็ดขาดนะ!”

กลุ่มชาวบ้านร้องตะโกนด้วยความโกรธแค้น เดินเข้าไปเผชิญหน้าพวกของหม่าเหลาเอ้อด้วยความไม่เกรงกลัว

นำหน้าโดยผู้เฒ่าหลี่ และผู้ใหญ่บ้าน

“แม่งเอ๊ย!” ชายเร่ร่อนเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านของชาวบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุด หลังจากนั้น เขาก็เดินถือมีดอีโต้กลับออกมาหนึ่งเล่ม

“ใครกล้าก็เข้ามา!”

ชายเร่ร่อนวิ่งมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าซูเย่ มีดอีโต้ในมือของเขาตวัดแกว่งข่มขู่พวกชายฉกรรจ์ผู้เป็นลูกน้องหม่าเหลาเอ้อ “ไม่มีใครกล้าเข้ามาเลยหรือไง? ถ้าไม่กลัวตายก็เข้ามาสิวะ ขอแค่ขยับออกมาก้าวเดียว รับรองว่าชีวิตของพวกแกไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป!”

ถึงแม้ว่าชายเร่ร่อนจะเป็นคนขี้เกียจที่สุดในหมู่บ้าน แต่เขาก็เป็นคนพูดจริงทำจริงเสมอ!

เหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน ทำให้ชาวบ้านต้องสูญเสียผลผลิตทางการเกษตรที่ดูแลกันมาเป็นอย่างดี แต่ความเสียหายทั้งหมดนั้นก็ได้รับการช่วยเหลือโดยซูเย่ จึงเท่ากับว่าคุณหมอหนุ่มคนนี้ เป็นคนช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ทั้งหมู่บ้านอย่างแท้จริง!

ดังนั้น ชายเร่ร่อนจึงปฏิญาณตนว่าจะไม่ยอมให้มีใครมาทำร้ายซูเย่ได้เด็ดขาด

หม่าเหลาเอ้อ และพรรคพวกเห็นดังนั้นก็ทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว

ในมือของพวกเขามีแค่ไม้คนละไม่กี่ท่อน

แต่ฝ่ายตรงข้ามมีมีดอีโต้คมกริบ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชายเร่ร่อนเป็นพวกสติคุ้มดีคุ้มร้าย ไม่มีใครสามารถรับประกันได้เลยว่าชายเร่ร่อนจะไม่คลุ้มคลั่งวิ่งเอามีดมาไล่ฟันพวกเขาจริง ๆ

ทันใดนั้น

หม่าเหลาเอ้อหันไปมองหน้าลูกน้องของตัวเอง

แต่ไม่มีใครกล้าเดินออกไปสักคน

“ไอ้คนจรจัด มึงนะมึง…”

หม่าเหลาเอ้อหันกลับมาตะคอกใส่หน้าชายเร่ร่อน “เก่งจริงมึงก็วางมีดลงก่อนสิวะ!”

“พวกแกจะไม่ยอมไปใช่ไหม!”

ชายเร่ร่อนระเบิดเสียงคำราม และวิ่งเข้าไปหากลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมกับเงื้อมีดอีโต้ในมือขึ้นสูง…

เห็นดังนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เป็นลูกน้องของหม่าเหลาเอ้อก็ถอยกรูด แม้แต่ตัวของหม่าเหลาเอ้อเองก็อยู่ไม่ได้แล้วเช่นกัน

ชายเร่ร่อนเพิ่มความเร็วฝีเท้ามากขึ้น มีดอีโต้ในมือของเขาตวัดกวัดแกว่งเป็นประกายวิบวับเหมือนฝนดาวตก

กลุ่มชายฉกรรจ์ผู้บุกรุกไม่มีใครยืนอยู่ที่เดิมอีกต่อไป

“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง รับรองว่ากูไม่เอาพวกมึงไว้แน่!”

หม่าเหลาเอ้อส่งเสียงคำรามทิ้งท้าย ก่อนจะหมุนตัววิ่งหนีไปในที่สุด

โดยที่มีลูกน้องวิ่งตามเป็นขบวน

เมื่อเห็นว่าผู้บุกรุกหนีไปหมดแล้ว ชายเร่ร่อนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อสักครู่นี้ เขาถึงกับเตรียมตัวเตรียมใจเรียบร้อยแล้วว่า ถ้าอีกฝ่ายอยากจะมีเรื่องกันจริง ๆ เขาก็พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อปกป้องคุณหมอซูเย่!

“แปะแปะแปะแปะ”

ซูเย่หันกลับมามองหน้าชายเร่ร่อน ในแววตาเป็นประกายชื่นชม และเขาก็เป็นคนที่เริ่มต้นปรบมือให้แก่ชายหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้เมื่อวันก่อน

ชาวบ้านเห็นดังนั้นก็รีบปรบมือชื่นชมชายเร่ร่อนเป็นการใหญ่

ความเศร้าโศกในหัวใจของชายเร่ร่อนสลายหายไปหมดสิ้น ทุกคนมองมาที่เขาด้วยแววตาแห่งความชื่นชม

ชายเร่ร่อนยิ้มกว้าง ยกมือเกาหัวแกรก ๆ และเดินกลับไปทำหน้าที่เวรยามรักษาความปลอดภัยดังเดิม

“วันนี้ต้องขอบใจนายมากเลยนะ”

เมื่อการตรวจคนไข้ประจำวันจบลง ซูเย่ก็เดินไปขอบคุณชายเร่ร่อนเป็นการส่วนตัว

“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว”

ชายเร่ร่อนตอบกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“หลังจากนี้ นายก็พยายามปรับปรุงตัวเข้านะ ฉันเป็นกำลังใจให้”

ซูเย่ตบไหล่ชายเร่ร่อน

ชายเร่ร่อนพยักหน้า หลังจากนั้นก็ยืนถือมีดอีโต้ด้วยมือซ้าย และยกมือขวาขึ้นมาบ๊ายบายซูเย่

วันนี้ชายเร่ร่อนได้มีโอกาสสัมผัสถึงการได้รับความเคารพเป็นครั้งแรก

เขาเหมือนได้ค้นพบความหมายของชีวิต

หมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนแห่งนี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นคนแก่ เด็ก คนป่วย หรือไม่ก็คนพิการ มีชายหนุ่มร่างกายกำยำแข็งแรงอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ถ้าเขาไม่ทำหน้าที่คอยรักษาความปลอดภัยให้ชาวบ้าน เห็นทีชาวบ้านก็คงต้องถูกรังแกอยู่ร่ำไป

ชายเร่ร่อนสาบานว่าจะไม่ยอมให้มีใครมารังแกคนในหมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนได้เด็ดขาด!

เขาก้มหน้ามองมีดอีโต้ในมือของตัวเองด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว

ซูเย่ไม่ได้เดินทางกลับเข้าเมืองพร้อมหลี่เคอหมิง แต่เขาเดินนำกระเป๋าเป้ตรงไปยังบ้านของผู้เฒ่าหลี่

“ในนี้มีเมล็ดพันธุ์กะหล่ำที่เอาไว้ใช้สำหรับการเพาะปลูกนะครับ ผมฝากเอาไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านด้วย”

ซูเย่ส่งกระเป๋าเป้ให้แก่ชายชรา สิ่งที่อยู่ด้านในกระเป๋าก็คือซองบรรจุเมล็ดพันธุ์กะหล่ำที่เขาซื้อมาเมื่อตอนกลางวัน

“คุณหมอไม่เห็นต้องลำบากซื้อมาเลยครับ”

ผู้เฒ่าหลี่กล่าว “พวกเราชาวบ้านคุยกันแล้ว แค่คุณหมอจ้างพวกเรากับเช่าที่ดินก็เสียเงินมากมายพอแล้ว เรื่องการซื้อเมล็ดพันธุ์กับค่าใช้จ่ายในการทำสวนกะหล่ำ เดี๋ยวพวกเราจะจัดการกันเองครับ”

“ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผมซื้อมาให้นี่แหละครับดีที่สุดแล้ว”

ซูเย่พูดพร้อมกับยิ้มกว้าง

“ถ้างั้นพวกเราจะดูแลให้ดีเลยครับ”

ผู้เฒ่าหลี่รับกระเป๋าเป้ไปกอดไว้แนบแน่น “วันนี้ชาวบ้านช่วยกันปรับหน้าดินเสร็จเรียบร้อย พรุ่งนี้ก็น่าจะเริ่มปลูกกันได้แล้วครับ”

ซูเย่พยักหน้า

ผู้เฒ่าหลี่สามารถพึ่งพาได้อย่างที่คิดจริง ๆ

รุ่งเช้าวันต่อมา ภายใต้การควบคุมของผู้ใหญ่บ้าน

ชาวบ้านตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อช่วยกันหว่านเมล็ดพันธุ์กะหล่ำอย่างขะมักเขม้น

พวกเขาเป็นชาวไร่ชาวนาอยู่แล้ว

การปลูกพืชผักคือสิ่งที่ชาวบ้านทำมาตลอดชีวิต

หรือจะเป็นงานด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร อย่างเช่น การขุดร่องดิน การขุดคูน้ำ การปรับระดับผิวดิน…

ชาวบ้านก็สามารถทำทุกขั้นตอนได้อย่างชำนาญ

เมื่อมองดูรอบตัวในขณะนี้

พื้นที่ 571 ไร่ซึ่งเคยถูกไฟไหม้เมื่อไม่กี่วันก่อน กำลังมีผู้คนมารวมตัวกัน และช่วยกันหว่านเมล็ดพืชในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความคึกคักมีชีวิตชีวา

ห่างออกมาไม่ไกล

ในพื้นที่การเกษตรของหมู่บ้านข้างเคียง หม่าเหลาเอ้อนั่งยอง ๆ อยู่บนคันดิน ในปากของเขาเคี้ยวปลายหญ้าเล่น ๆ อยู่ต้นหนึ่ง ดวงตาจ้องมองมายังหมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนตลอดเวลา สีหน้าเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง