ภาคที่ 1 บทที่ 74 ฉันมาเพื่อเคลียร์ปัญหา

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 74 ฉันมาเพื่อเคลียร์ปัญหา

ในช่วงเย็น

หลี่เคอหมิงกับซูเย่เดินทางมาที่หมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนอีกครั้ง แต่แทนที่จะมาเพื่อเปิดคลินิกตรวจโรคเหมือนทุกวัน พวกเขากลับมาพร้อมกระสอบทรายเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านกั้นแนวดิน

ซูเย่ขึ้นไปยืนมองพื้นที่โดยรอบอยู่บนเนินสูง

ทุ่งข้าวโพดที่เคยถูกไฟไหม้ได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด

ขณะนี้ พื้นที่จำนวน 500 กว่าไร่ได้กลายเป็นสวนปลูกกะหล่ำโดยสมบูรณ์ และสวนกะหล่ำแห่งนี้กำลังจะเป็นสิ่งที่ช่วยมอบชีวิตใหม่ให้กับพวกชาวบ้าน

“เรียบร้อย”

หลี่เคอหมิงอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “นับว่าครั้งนี้เจ้าทำความดีครั้งยิ่งใหญ่จริง ๆ”

ซูเย่ยิ้มแย้ม

เมื่อเขาได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่นานถึงขนาดนี้ สิ่งที่เขาเกลียดชังที่สุดจึงเป็นความทุกข์ของผู้คน

ในการตรวจคนไข้รอบค่ำ ถึงแม้ชาวบ้านทุกคนจะเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวัน แต่บนใบหน้าของพวกเขากลับประดับด้วยรอยยิ้มอิ่มใจ

หม่าเหลาเอ้อที่มาก่อกวนเมื่อวานนี้ ไม่ได้มาปรากฏตัวขึ้นอีก

เมื่อตรวจคนไข้คนสุดท้ายเสร็จ ซูเย่ที่เดินทางกลับเข้าไปในเมืองพร้อมด้วยหลี่เคอหมิง ก็แอบเดินทางกลับมาที่หมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนอีกครั้งกลางดึก

เขาเดินขึ้นไปบนภูเขาข้างหมู่บ้านเพียงลำพัง

ชายหนุ่มเดินขึ้นไปหยุดยืนบนยอดเขา

กวาดสายตามองพื้นที่โดยรอบ

หมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนล้อมรอบด้วยภูเขา และตัวหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ตรงกลางจึงตกอยู่ใต้แรงกดอากาศสูงเพราะภูเขาเหล่านี้

นับเป็นที่ดินซึ่งยากต่อการนำไปพัฒนา

แต่ขณะนี้มันกลับกลายเป็นข้อดี

เพราะว่าในสายตาของซูเย่ ภูเขาที่ตั้งอยู่รอบบริเวณนี่แหละคือของล้ำค่า!

“ถ้าระดับพลังเราสูงมากกว่านี้ ก็สามารถใช้ภูเขาพวกนี้เป็นแหล่งดูดซับพลังปราณธรรมชาติได้เลย”

“แต่ว่าตอนนี้…”

ซูเย่ทอดสายตามองไปยังสวนกะหล่ำจำนวน 571 ไร่ที่อยู่บริเวณเชิงเขา

ตอนนี้เขาจำเป็นต้องถ่ายเทพลังปราณธรรมชาติทั้งหมดจากภูเขาโดยรอบลงไปที่สวนกะหล่ำก่อน

ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เขาถึงจะสามารถเพาะปลูกกะหล่ำพิเศษได้ทันเวลา

“พื้นที่ 571 ไร่ มีภูเขาล้อมรอบอยู่สามด้าน ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น…”

ซูเย่ตวัดสายตามองไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

แล้วชายหนุ่มก็กระโดดลงไปยืนอยู่บนโขดหินก้อนใหญ่ที่อยู่บริเวณเชิงเขา

เขายกสองมือขึ้นมาประกบกัน แล้วเอ่ยขึ้นเบา ๆ

“จงปรากฏออกมา!”

ซูเย่เกร็งกำลังแขน และยกมือขึ้นเหนือศีรษะ

หลังจากนั้นก้อนหินขนาดใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งก็ร่วงลงมาจากกลางอากาศ ก่อนที่ชายหนุ่มจะยกก้อนหินนำไปตั้งไว้ที่จุดหนึ่งบริเวณตีนเขา

ซูเย่ทำเช่นนี้อยู่สี่ครั้ง

เขาต้องยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากเมื่อสามารถนำก้อนหินใหญ่ไปตั้งไว้ได้ครบถ้วนตามที่ต้องการ

ถ้ามองลงมาจากท้องฟ้าในขณะนี้ ก็จะเห็นว่าก้อนหินเหล่านั้นตั้งทำมุมเชื่อมต่อกันเป็นค่ายอาคมชนิดหนึ่ง

ซูเย่สูดหายใจลึก แล้วร่างกายของเขาก็พร้อมสำหรับการดูดซับพลังปราณธรรมชาติได้โดยทันที

“หลอมรวมพลัง!”

ชายหนุ่มส่งเสียงตะโกน

เมื่อสิ้นเสียงนั้น ค่ายอาคมของก้อนหินทั้งสี่ก็ทำงานขึ้นมาทันที มีเสียงดัง “ฟู่” ตามมาด้วยเสียงดัง “ครืน” แล้วพลังปราณธรรมชาติที่อยู่รอบบริเวณ ก็ถูกดูดซับเข้ามาอยู่ในใจกลางค่ายอาคมที่เขาสร้างเอาไว้

ซูเย่ยืนอยู่ใจกลางค่ายอาคม สัมผัสได้ว่าพลังลมปราณในร่างกายของตนเองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เขาสูดหายใจลึก

พยักหน้าด้วยความพอใจ

“ถ้าเป็นแบบนี้ ไม่ถึงเดือนเราก็น่าจะมีกะหล่ำไปส่งที่ร้านแล้ว”

ทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย

รออีกเพียงเดือนเดียว กะหล่ำเหล่านี้ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้โดยไม่มีปัญหา

แต่ว่า

ก่อนจากไปยังมีปัญหาอีกอย่างที่ซูเย่ต้องจัดการ

เขาหันไปจ้องมองหมู่บ้านที่อยู่ข้างเคียง ในดวงตาเป็นประกายเย็นชา เขาไม่รอช้ามุ่งหน้าไปยังที่นั่นทันที

“ไอ้คนเร่ร่อนนั่นแหละคือตัวปัญหา!”

“ถ้าครั้งที่แล้วมันไม่หยิบมีดออกมานะ รับรองว่าไอ้หมอหน้าอ่อนคนนั้น คงโดนฉันกระทืบจมตีนไปแล้ว!”

“ฉันบอกแล้วไงว่าพวกมันไม่มีทางได้อยู่กันอย่างสงบสุขแน่ รอให้กะหล่ำพวกนั้นเติบโตซะก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะเอายาฆ่าแมลงไปราดให้แม่งเฉาตายหมดเลย!”

“ได้เลยลูกพี่ เดี๋ยวผมจะช่วยลูกพี่เอง!”

ในบ้านของหม่าเหลาเอ้อ กลุ่มอันธพาลกำลังนั่งดื่มเหล้าพร้อมกับพูดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้อย่างสนุกปาก

ไม่มีใครรู้ว่าหน้าประตูบ้านปรากฏร่างชายคนหนึ่ง…

ซูเย่ยืนยิ้มมุมปาก ดวงตาเป็นประกายเหยียดหยาม

คนเหล่านี้ถ้าปล่อยเอาไว้โดยไม่สั่งสอน ก็คงจะต้องกลับมาสร้างปัญหาให้พวกชาวบ้านแน่ ๆ

ซูเย่กำลังจะยกเท้าถีบพังประตูเข้าไป

แต่แล้วประตูกลับเปิดออกมาเสียก่อน

ชายฉกรรจ์ท่าทางมึนเมาคนหนึ่งเดินเปลือยท่อนบนออกมาจากในตัวบ้าน สายตาของเขาจดจ่ออยู่แต่กับการแกะเข็มขัดกางเกงของตนเอง เมื่อปลดเข็มขัดออกแล้ว ชายคนนั้นก็ถลกกางเกงลง และยืนปัสสาวะอยู่ที่ข้างตัวบ้านในความมืดมิด

ระหว่างที่ยืนทำภารกิจของตนเอง ชายฉกรรจ์ก็ตัวสั่นเล็กน้อย สีหน้าปรากฏความพอใจ เมื่อเขาดึงกางเกงกลับขึ้นมา และคาดเข็มขัดอีกครั้ง เขาเพิ่งจะนึกได้ว่าตอนที่เดินออกมาจากตัวบ้านเมื่อสักครู่ เขารู้สึกเหมือนเห็นใครบางคนยืนอยู่ที่หน้าประตู คิดได้ดังนั้นจึงรีบหันกลับไปมองโดยทันที

และก็พบว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนนิ่งจ้องมองมาที่เขา

“แกเป็นใคร?” เขาถามขึ้นด้วยความตกใจ

ชายผู้ไม่สวมใส่เสื้อ มองหน้าซูเย่ด้วยความสงสัย

“เห็นว่าพวกนายอยากกระทืบฉันไม่ใช่เหรอ?”

ซูเย่พูดขึ้นพร้อมกับกวาดตามองกลุ่มคนที่อยู่ด้านในตัวบ้าน

เขารู้มาว่าบรรดาอันธพาลที่ไปก่อกวนชาวบ้านเมื่อวานนี้ รวมตัวอยู่ที่นี่พร้อมหน้าพร้อมตา

นอกจากหม่าเหลาเอ้อแล้ว ก็ยังมีชายฉกรรจ์ร่างใหญ่อีกประมาณ 7 – 8 คนนั่งล้อมวงอยู่ที่โต๊ะสุรา ถึงบนโต๊ะจะมีขวดสุราวางอยู่มากมาย แต่กับแกล้มนั้นเล่า มีเพียงถั่วลิสงจานเดียวเท่านั้น

“คุณหมอ พวกเรากำลังคิดถึงคุณหมออยู่พอดีเลย” หม่าเหลาเอ้อลุกขึ้นยืนและยิ้มกว้าง “ตกลงหมอมาที่นี่เพื่อจะมาขอโทษพวกผม หรือจะมาจ่ายค่าเสียหายกันล่ะ?”

พูดจบ เขาก็ผายมือไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อยู่รอบตัว

“ถ้าวันนี้ผมไม่ได้เงิน ไม่ขอรับประกันนะว่าคุณหมอจะได้กลับไปอย่างปลอดภัย” ด้วยความเมาบวกกับจำนวนพรรคพวกของตนเยอะกว่าจึงทำให้หม่าเหลาเอ้อกล้าที่จะท้าทายซูเย่

“และขอเตือนไว้ก่อนว่าคุณหมอไม่มีทางหลบหนีได้สำเร็จ เพราะพวกเราจะตามล่าคุณหมอเอง”

ซูเย่โบกสะบัดมือขวาเล็กน้อย

“เหวอ…”

เขากระแทกฝ่ามือลงไปบนหน้าอกของชายผู้ไม่สวมใส่เสื้อ วินาทีต่อมา ร่างของชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ลอยหวือไปกระแทกเข้ากับโต๊ะสุราเสียงดังโครม

โต๊ะสุราแตกกระจาย ถั่วลิสงบนจานหล่นเกลื่อนกลาดบนพื้นห้อง

“เฮ้ย!”

เมื่อเห็นดังนั้นทุกคนก็ได้สติ

สายตาของพวกเขามองมาที่ซูเย่ด้วยความตกตะลึง

คุณหมอหน้าหล่อร่างกายบอบบางมีพละกำลังมหาศาลขนาดนี้เชียวหรือ?

ซูเย่ไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งสติได้

“วูบ…”

ภายในห้องแห่งนั้นมีแสงสว่างส่องประกายจ้าขึ้นมา

เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา

ชายฉกรรจ์ทุกคนก็ลงไปนอนกองอยู่บนพื้นต่อหน้าต่อตาหม่าเหลาเอ้อ ในสมองของเขามีแต่คำว่า “ตายแน่ตู” ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด

ส่วนตัวนั้นหม่าเหลาเอ้อทำอะไรไม่ถูกอีกต่อไป เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับใครที่มีความเก่งกาจขนาดนี้มาก่อน สีหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยความขลาดกลัว ท่าทีร้อนรนกำลังคิดหาทางรอดให้ตัวเอง

หัวหน้าอันธพาลพยายามปั้นหน้ายิ้ม แล้วพูดว่า “น้องชาย พวกเราผิดไปแล้ว พวกเราจะไม่ยุ่งกับชาวบ้านพวกนั้นอีก อย่าทำอะไรพี่เลยนะ!”

“เฮอะ!”

ซูเย่กระแทกฝ่ามือลงไปบนหน้าอกของหม่าเหลาเอ้อเสียงดังผลั่ก

ร่างของหม่าเหลาเอ้อกระเด็นไปนอนกองอยู่ข้างลูกน้องของตน

ซูเย่อยากจะลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าชายฉกรรจ์กลุ่มนี้ แต่เมื่อพบกับความสกปรกภายในห้องพัก เขาก็ล้มเลิกความตั้งใจไปทันที

“เมื่อกี้ฉันได้ยินที่นายพูด”

ซูเย่เดินเข้าไป ใช้เท้าขวากระทืบลงไปบนพื้นเต็มแรง

“เปรี๊ยะ” เสียงพื้นคอนกรีตแตกร้าวด้วยแรงกระทืบของเขา

หม่าเหลาเอ้อเบิกตาโตด้วยความตื่นกลัว ตัวแข็งทื่อเหมือนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง

ไม่มีใครกล้าส่งเสียงพูดอีกแล้ว

ซูเย่น่ากลัวมากเกินไป ต่อให้พวกเขากำลังเมามายแค่ไหน แต่ในตอนนี้ก็แทบจะสร่างเมากันทุกคนแล้ว

“ฉันมาเพื่อเคลียร์ปัญหา”

ซูเย่พูดขึ้น

ระหว่างที่พูดเขาก็กระทืบเท้าขวาลงไปบนพื้นห้องอีกครั้ง

“เปรี๊ยะ”

พื้นคอนกรีตเกิดรอยแตกร้าวเหมือนใยแมงมุมขยายอาณาเขตมากขึ้น