ภาคที่ 1 บทที่ 75 เคลียร์ปัญหาอย่างนั้นหรือ?

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 75 เคลียร์ปัญหาอย่างนั้นหรือ?

ได้เลย ในเมื่อมาเคลียร์ปัญหา ก็มาเคลียร์ปัญหากันเถอะ!

หม่าเหลาเอ้อ และลูกน้องทุกคนแทบจะร้องไห้ออกมา

พวกเขาไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้มาก่อน

ถ้าเท้าขวาของซูเย่เปลี่ยนจากการกระทืบลงบนพื้นห้อง เป็นกระทืบบนร่างกายของพวกเขา หม่าเหลาเอ้อก็รู้ดีว่าพวกของตนเองคงจะต้องกลายเป็นคนพิการไร้แขนขาหรือไม่ก็ต้องเป็นศพไปแล้วแน่นอน!

แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้บ้าง?

ก็มีแต่ต้องยอมรับผิดน่ะสิ!

ไม่ว่าคุณหมอซูเย่ต้องการให้พวกเขาทำสิ่งใด หม่าเหลาเอ้อและลูกน้องจะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด!

ซูเย่มองเหล่าอันธพาลตรงหน้าด้วยความเวทนา

“จากนี้ไป ถ้าสวนกะหล่ำของฉันมีปัญหาขึ้นมา รับรองได้เลยว่าพวกนายจะต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไปตลอดชีวิต!” ดวงตาของซูเย่เป็นประกายน่ากลัว เขากระทืบเท้าขวาลงไปบนพื้นเป็นครั้งที่สาม

“เปรี๊ยะ”

เสียงพื้นคอนกรีตแตกร้าวดังขึ้นอีกครั้ง เป็นประกาศิตว่าคำพูดของเขาคือคำขาด!

กลุ่มชายฉกรรจ์ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

“นับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกนายต้องทำหน้าที่เป็นเวรยามเฝ้าหมู่บ้านฉีเจี๋ยซุน และถ้าชาวบ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นล่ะก็ ฉันจะมาหาพวกนาย และสิ่งที่จะอยู่ใต้เท้าของฉันในตอนนั้น ก็คงไม่ใช่พื้นคอนกรีตพวกนี้อีกแล้ว!”

“เข้าใจกันแล้วใช่ไหม?”

ซูเย่เพิ่มระดับเสียงขึ้น ทำเอาบรรดาคนฟังขนลุกเกรียว

“ได้ยินแล้วครับ!”

เหล่าชายฉกรรจ์ที่นอนกองอยู่บนพื้นพร้อมใจกันพยักหน้าด้วยความรวดเร็ว

“ดีมาก”

ซูเย่ผงกศีรษะด้วยความพอใจ “ห้ามไม่ให้พวกนายหนีงานเฝ้าหมู่บ้านเด็ดขาด ถ้าฉันจับได้ว่ามีใครโดดงานหรือคิดแข็งข้อกับฉันแม้แต่คนเดียว มันคนนั้นจะต้องลงไปพบยมบาลในนรก!”

พูดจบชายหนุ่มก็กระทืบเท้าเป็นครั้งสุดท้าย

พลันพื้นคอนกรีตก็แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

เมื่อกวาดสายตามองหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยแววตาเย็นชาปานน้ำแข็ง ในที่สุด ซูเย่ก็หมุนตัวเดินจากมา

ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าพวกของหม่าเหลาเอ้อเป็นอันธพาลหัวไม้ ถนัดแต่เรื่องต่อยตีใช้กำลัง ให้พูดคุยด้วยดี ๆ คงทำไม่ได้ มีแต่ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น หม่าเหลาเอ้อถึงจะยอมเชื่อฟังเขาแต่โดยดี

เมื่อซูเย่เดินหายลับไปแล้ว กว่าที่หม่าเหลาเอ้อกับบรรดาลูกสมุนจะเรียกขวัญกำลังใจคืนมาได้ ก็ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ทีเดียว

“เราจะยังทำตามแผนเดิมไหมครับลูกพี่?”

ลูกน้องคนหนึ่งมองหน้าหม่าเหลาเอ้อด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ

“เจ้าโง่ พวกเรายังมีปัญญาทำอะไรได้อีก! แกไม่เห็นเมื่อกี้หรือไง? ฉันไม่มีทางเอาชนะมันได้แน่ ๆ วันพรุ่งนี้พวกเราเตรียมตัวไปทำหน้าที่เฝ้ายามให้กับหมู่บ้านนั้นก็แล้วกัน ฉันขอสั่งห้ามไม่ให้ทุกคนไปก่อกวนใครอีก มิเช่นนั้นแล้ว จะกลายเป็นพวกเราเองนั่นแหละที่ต้องเดือดร้อน!”

หม่าเหลาเอ้อพูดพร้อมกับจ้องมองข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องพักที่ตกแตกกระจายเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นห้อง ในหัวใจได้แต่ร่ำร้องว่า “ฉันไม่น่าไปยุ่งกับเจ้าหมอนั่นเลยจริง ๆ!”

ลูกน้องของหม่าเหลาเอ้อพยักหน้ารับคำสั่งอย่างเชื่อฟัง

ก็ในเมื่อได้พบเห็นความน่ากลัวของซูเย่ด้วยตาตนเองขนาดนี้ พวกเขาจะยังมีความกล้าหาญหลงเหลืออยู่อีกได้อย่างไร?

ซูเย่ที่แอบมองทุกอย่างอยู่ในเงามืดข้างตัวบ้านห่างออกมาประมาณ 10 เมตร เมื่อแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เขาจึงหมุนตัวเดินจากมาจริง ๆ

วันต่อมา

หม่าเหลาเอ้อพร้อมด้วยกลุ่มลูกสมุน ไม่รู้เลยว่าไปหาเสื้อกั๊กสีส้มที่ด้านหลังเขียนคำว่า “รปภ.” จากไหนมาสวมใส่ พวกเขาออกทำหน้าที่ลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนด้วยความตั้งอกตั้งใจ และเมื่อเจอหน้าชาวบ้านก็ยังทักทายอย่างเป็นมิตรอีกด้วย

“สวัสดีทุกคน นับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกฉันจะมาดูแลความปลอดภัยให้ที่นี่ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”

พูดจบแล้ว หม่าเหลาเอ้อก็เดินนำลูกสมุนออกเดินตรวจความเรียบร้อยต่อไป

ชาวบ้านทุกคนที่เห็นภาพนี้ต่างก็ถึงกับตกตะลึง ตอนแรกชายเร่ร่อนคิดว่าพวกของหม่าเหลาเอ้อจะกลับมาก่อกวนอีกครั้ง เขาถึงกับวิ่งไปถือมีดอีโต้กลับมาอีกรอบ แต่เมื่อยืนสังเกตการณ์อยู่นานสองนานจึงรู้ได้ว่าหม่าเหลาเอ้อ และกลุ่มชายฉกรรจ์ตั้งใจมารักษาความปลอดภัยให้กับหมู่บ้านของพวกเขาจริง ๆ

แม้ทุกคนจะโล่งอก แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมพวกของหม่าเหลาเอ้อถึงเปลี่ยนแปลงไปเหมือนเป็นคนละคนขนาดนี้?

สุดท้ายชายเร่ร่อนทนความสงสัยไม่ไหว ต้องเดินเข้าไปสอบถามกับหม่าเหลาเอ้อตรง ๆ แล้วอดีตอันธพาลหัวไม้ก็ตอบเขาไปว่าเมื่อคืนนี้พวกเขาได้พูดคุยอย่างเป็นกันเองกับคุณหมอซูเย่ สำนึกผิด และรู้ตัวแล้วว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกของตนเองทำไม่ดีกับชาวบ้านมากเกินไป ดังนั้นหม่าเหลาเอ้อ และบรรดาลูกน้องจึงอยากจะปรับปรุงตัวเป็นคนใหม่

ชาวบ้านในละแวกนั้นแทบไม่อยากเชื่อ แต่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองว่าสิ่งที่หม่าเหลาเอ้อพูดออกมานั้นเป็นความจริงหรือไม่

และไม่มีใครรู้เลยว่าก้อนหินขนาดใหญ่ยักษ์สี่ก้อนมาปรากฏขึ้นบริเวณเชิงเขาใกล้กับสวนกะหล่ำของพวกเขาได้อย่างไร

แต่ชาวบ้านก็ไม่คิดอะไรให้มากความ

พวกเขาคิดเพียงอย่างเดียวว่าหน้าที่ของตนเองในขณะนี้ ก็คือการดูแลสวนกะหล่ำของซูเย่ให้ดีมากที่สุด ทุกคนไม่อยากทำให้คุณหมอหนุ่มผู้ใจดีต้องผิดหวัง ดังนั้นกลุ่มชาวบ้านจึงพูดคุยกันว่าจะเคลื่อนย้ายก้อนหินปริศนาทั้งสี่ก้อนนั้นออกไปให้พ้นหูพ้นตา

ตอนเย็นเมื่อซูเย่มาตรวจโรคชาวบ้านตามปกติ ผู้ใหญ่บ้านบอกความคิดที่จะเคลื่อนย้ายก้อนหินปริศนาให้ชายหนุ่มรับรู้ และคุณหมอหนุ่มก็บอกทันทีว่าห้ามไม่ให้พวกเขาแตะต้องก้อนหินเหล่านั้นเด็ดขาด

เขาให้เหตุผลไปว่ามันเป็นก้อนหินที่ช่วยทำให้พื้นดินอุดมสมบูรณ์มากขึ้น มีความเหมาะสมต่อการทำสวนกะหล่ำเป็นที่สุด

ทุกคนยอมรับคำตอบของซูเย่โดยไม่มีข้อสงสัย และเรื่องราวเหล่านี้ก็ถูกบอกกันปากต่อปาก จนไม่มีใครกล้าแตะต้องก้อนหินปริศนาเหล่านั้นอีกต่อไป

“ความสามารถในการพูดจาเหลวไหลของเธอเริ่มเก่งมากขึ้นแล้วนะ” หลี่เคอหมิงพูดพร้อมกับยิ้มกว้างระหว่างเดินทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองพร้อมผู้เป็นลูกศิษย์ “ตอนแรกก็เป็นการรักษาผู้คนด้วยพลังสวรรค์ ตอนนี้ก็เป็นก้อนหินที่ช่วยเสริมแร่ธาตุให้กับพื้นดิน”

ซูเย่หัวเราะในลำคอ

“วันพรุ่งนี้ เธอต้องสอบใบอนุญาตแล้ว เดี๋ยวฉันจะแนะนำให้ก็แล้วกันว่าขั้นตอนการสอบมีรายละเอียดยังไงบ้าง”

หลี่เคอหมิงเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังมากขึ้น

ซูเย่รับฟังด้วยความตั้งใจ

หลี่เคอหมิงกล่าวว่า “ความจริง คนที่สอบผ่านใบอนุญาตการเป็นสมาชิกสมาคมแพทย์แผนจีน ทุกคนล้วนมีความสามารถดีพอที่จะเป็นหมอรักษาโรคได้ทั้งนั้น”

“แต่ถึงจะมีใบอนุญาตรองรับการเป็นสมาชิกของสมาคมแพทย์แผนจีน แต่การได้ใบประกอบโรคศิลป์จริง ๆ ต่างหากที่จะทำให้เธอสามารถรักษาชาวบ้านได้อย่างไม่ผิดกฎหมาย”

“และฉันคิดว่าในการสอบวันพรุ่งนี้ ต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิในวงการแพทย์แผนจีนจำนวนมาก มาเป็นผู้ตรวจข้อสอบด้วยตัวเองแน่นอน”

ซูเย่พยักหน้าเคร่งขรึม

“การสอบจะแบ่งออกเป็นสามส่วน ประกอบไปด้วยการสอบข้อเขียน การสอบความรู้เกี่ยวกับตัวยา และการสอบความรู้เกี่ยวกับตัวโรค” หลี่เคอหมิงกล่าวต่อ “การสอบข้อเขียนคือการอ้างอิงทฤษฎี ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนจีนตำรับโบราณหรือตำรับปัจจุบันก็ตาม นี่คือการสอบที่จำเป็นต้องใช้ความทรงจำมากที่สุด ห้ามตอบอะไรมั่วซั่วโดยที่ไม่มั่นใจเด็ดขาด”

“ส่วนการสอบขั้นตอนที่สอง จะเป็นการสอบวัดความรู้เกี่ยวกับตัวยาสมุนไพร…จำได้หมดแล้วใช่ไหม?”

“จำได้แล้วครับ”

ซูเย่พยักหน้าหนักแน่น ก่อนกล่าวต่อ “ส่วนการสอบขั้นตอนสุดท้าย เป็นการสอบวัดความรู้เกี่ยวกับตัวโรค”

หลี่เคอหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจ และถามว่า “ตลอดสองอาทิตย์นี้เธอได้ลองตรวจคนไข้ด้วยตัวเองแล้ว รู้สึกเป็นยังไงบ้าง? มีความมั่นใจมากขึ้นไหม?”

“ผมมั่นใจมากครับ!”

“ถ้างั้นก็ดีแล้ว!”

หลี่เคอหมิงยิ้มแย้มด้วยความสบายใจ “อย่ากดดันตัวเองมากเกินไปแล้วกัน”

“สถานที่สอบจะจัดขึ้นที่สมาคมแพทย์แผนจีนประจำมหาวิทยาลัยจี้หยาง”

“แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้นะ”