ภาคที่ 1 บทที่ 76 ส่งข้อสอบในยี่สิบนาที

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 76 ส่งข้อสอบในยี่สิบนาที

วันต่อมา

หลี่เคอหมิงกับซูเย่เดินทางมายังตึกซึ่งเป็นที่ตั้งของสมาคมแพทย์แผนจีน

ในเมืองใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรือง ถนนทุกสายมักเต็มไปด้วยการจราจรเนืองแน่น แต่ถนนซึ่งตึกของสมาคมแพทย์แผนจีนตั้งอยู่นั้นค่อนข้างเงียบสงบ และมีต้นไม้เขียวครึ้ม

“การสอบใบอนุญาตเป็นสมาชิกสมาคมแพทย์แผนจีนจะจัดขึ้นในเวลานี้ของทุกปี และขณะนี้ทั่วประเทศ ก็มีคนจำนวนมากต้องสอบแบบเธอเหมือนกัน”

หลี่เคอหมิงพูดในขณะที่เดินนำซูเย่เข้าไปในสวนหย่อมหน้าตึกที่ทำการ

เมื่อเดินผ่านประตูสีแดงเข้าไปเป็นที่เรียบร้อย ซูเย่ก็ได้เห็นว่าภายในตึกที่ทำการของสมาคมแพทย์แผนจีนค่อนข้างมีความใหญ่โตโอ่อ่า ปีกตึกทางด้านซ้ายและด้านขวาเรียงรายด้วยห้องจำนวนมาก พื้นที่ตรงกลางเป็นโต๊ะของพนักงานต้อนรับ ถัดออกไปเล็กน้อยเป็นห้องโถงใหญ่ที่มีกระจกใสติดตั้งอยู่ทุกด้าน สามารถมองเห็นสวนจำลองที่ตกแต่งอยู่ด้านในได้อย่างชัดเจน

บรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกของทศวรรษที่ 70 และ 80 ได้อย่างลึกซึ้งกินใจ

“ครั้งนี้คงมีคนมาเข้าสอบไม่เยอะเท่าไหร่…”

หลี่เคอหมิงเพิ่งจะพูดคำนี้ออกมาเท่านั้น

“อาจารย์หลี่ มาอีกแล้วหรือนี่?”

เสียงทักทายดังขึ้นจากห้องโถงกระจกที่อยู่ด้านหลังโต๊ะต้อนรับ

หลี่เคอหมิงขมวดคิ้ว

ซูเย่หันไปมองตามต้นเสียง

ขณะนี้ในห้องโถงกระจกมีผู้คนนั่งรออยู่สองคน คนหนึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลี่เคอหมิง ส่วนอีกคนมีอายุรุ่นเดียวกับซูเย่ ซึ่งชายหนุ่มคนนั้นก็กำลังจ้องมองมาที่ซูเย่ไม่วางตา

“อาจารย์จาง?”

หลี่เคอหมิงยิ้มกว้างพร้อมกับเดินเข้าไปหา

“พาลูกศิษย์มาสอบหรือครับ?”

คนที่ถูกเรียกว่าอาจารย์จางยกมือชี้มาที่ซูเย่ด้วยความสงสัย

“ใช่ครับ”

หลี่เคอหมิงพยักหน้าตอบรับ

“บังเอิญจังเลย”

อาจารย์จางมองหน้าซูเย่ ก่อนจะหันกลับไปยิ้มให้หลี่เคอหมิง “ครั้งสุดท้าย คุณพาชินเอ้อมาสอบแต่ก็ต้องแพ้ให้กับลูกศิษย์ผม ไม่เจอกันได้ปีหนึ่งแล้ว ป่านนี้ชินเอ้อคงเก่งขึ้นเยอะแล้วสินะ”

หลี่เคอหมิงหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ถึงยังไงผลการสอบในวันนี้ ก็ไม่มีทางที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมเด็ดขาด”

“แหม มั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ?” อาจารย์จางหัวเราะในลำคอ “งั้นเดี๋ยวเราคงได้รู้กัน”

หลังจากนั้น ต่างฝ่ายต่างก็พูดคุยก่อนร่ำลากันพอเป็นพิธี

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างอาจารย์จางหันหน้ามาชำเลืองมองซูเย่ด้วยแววตามั่นอกมั่นใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหมุนตัวเดินตามอาจารย์จางไปในที่สุด

“อาจารย์จางไม่ใช่คนไม่ดีหรอก แต่เขาแค่เป็นพวกที่ปากไม่มีหูรูดเท่านั้นเอง ความจริงเขาเป็นแพทย์ฝีมือดีนะ อาจจะเก่งกว่าฉันด้วยซ้ำไป”

หลี่เคอหมิงเดินนำซูเย่มาหาเก้าอี้นั่ง

หลังจากนั้น ผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ก็ทยอยปรากฏตัว

จนถึงเวลา 9:00 น.

การสอบในส่วนแรกกำลังจะเริ่มขึ้น ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะต้องเขียนคำตอบตามโจทย์ที่ได้รับ

ซูเย่หันหน้ามองกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน และนับได้ว่าวันนี้มีผู้เข้าแข่งขันทั้งสิ้น 10 คน

บางคนก็อายุมากแล้ว บางคนก็ยังเป็นเพียงนักศึกษา อย่างเช่นตัวเขาเองกับลูกศิษย์ของอาจารย์จาง

“สู้ ๆ นะ”

หลี่เคอหมิงให้กำลังใจลูกศิษย์

ซูเย่พยักหน้า ก่อนจะเดินตามเจ้าหน้าที่ของสมาคมไปพร้อมกับผู้เข้าแข่งขันอีก 9 คน หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็พบตนเองอยู่ในห้องสอบที่มีลักษณะเหมือนห้องเรียน โต๊ะเรียนถูกจัดวางเอาไว้แยกห่างกันสิบกว่าตัว

“พวกคุณจะผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้หรือไม่ การสอบครั้งนี้คือบททดสอบแรก และในฐานะที่ทุกคนต่างก็ใฝ่ฝันอยากจะเป็นแพทย์แผนจีนผู้มีเกียรติและศักดิ์ศรี ผมจึงมั่นใจว่าคงไม่มีใครคิดจะโกงข้อสอบหรอกใช่ไหม”

ผู้คุมสอบพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง

ทุกคนพยักหน้ายิ้มแย้ม เมื่อผู้คุมสอบเดินแจกข้อสอบให้ครบทุกคนแล้ว เขาก็กำชับว่า “พวกคุณมีเวลาทำข้อสอบทั้งสิ้นหนึ่งชั่วโมง เริ่มการสอบได้ ณ บัดนี้”

ซูเย่ก้มหน้ามองกระดาษข้อสอบ

นี่คือข้อสอบที่มีหลายคำตอบให้เลือก มีทั้งสิ่งที่เป็นคำถามหลอก มีทั้งคำถามแบบให้เติมคำในช่องว่าง รวมถึงมีคำถามที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์อาการอีกเล็กน้อยเช่นกัน

คำถามส่วนใหญ่แม้ผู้ที่ไม่ได้เรียนคณะแพทย์แผนจีนโดยตรงก็สามารถตอบได้ มีแค่ในส่วนของการวิเคราะห์อาการเท่านั้นที่ต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึกเล็กน้อย

ซูเย่หยิบปากกาออกมาเริ่มทำข้อสอบโดยไม่ลังเล

ห่างออกไปไม่ไกล

เหออี้เฉินผู้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์จางกำลังแอบมองซูเย่

เมื่อเห็นว่าซูเย่เริ่มต้นทำข้อสอบอย่างรวดเร็ว เขาก็เลิกคิ้วขึ้นสูงประหลาดใจเล็กน้อย และรีบล้วงปากกาออกมากวาดสายตาดูข้อสอบบ้างเช่นกัน

ผู้เข้าร่วมการสอบคนอื่น ๆ ก็หยิบปากกาขึ้นมาถือในมือแล้ว

“ครืด ครืด…”

บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงของปลายปากกาลูกลื่น

ผ่านไป 20 นาที

ซูเย่ที่เขียนคำตอบโดยไม่หยุดพักในที่สุดก็วางปากกาลงแล้ว

เขาไล่สายตาอ่านทวนคำตอบเพียงเล็กน้อยก็ลุกขึ้นยืน และหันหน้าไปมองผู้คุมสอบ

“จะส่งข้อสอบแล้วเหรอ?”

ผู้คุมสอบถามด้วยความไม่อยากเชื่อ เพิ่งผ่านไปได้เพียง 20 นาทีเท่านั้น ทำไมชายหนุ่มคนนี้ถึงได้ทำข้อสอบเสร็จเร็วนัก?

ผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ต่างก็หันมามองซูเย่ด้วยเช่นกัน

ทำไมถึงได้ทำเสร็จเร็วจริง?

แน่ใจนะว่าทำเสร็จแล้ว?

“ครับ”

ซูเย่พยักหน้ายืนยันหนักแน่น

ผู้คุมสอบเดินเข้ามารับกระดาษคำตอบของซูเย่ไปด้วยความสงสัย คำถามทุกข้อได้รับคำตอบครบถ้วน และเท่าที่ลองใช้สายตาสำรวจดู กระดาษข้อสอบก็ค่อนข้างเรียบร้อยดีทีเดียว

เมื่อผู้เข้าร่วมสอบคนอื่น ๆ ได้เห็นดังนั้น พวกเขาก็ถึงกับตกตะลึง

โดยเฉพาะเหออี้เฉิน

หลังจากชำเลืองมองซูเย่ เขาก็เริ่มทำข้อสอบต่อไป แต่เป็นการทำข้อสอบที่เพิ่มระดับความเร็วมากขึ้น และเห็นได้ชัดว่าเหออี้เฉินเริ่มมีสีหน้าร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย

เหนือห้องโถงกระจกที่ทอดนำไปสู่ห้องสอบแห่งนั้น เป็นห้องรับรองที่อยู่บนชั้นสองของตึกที่ทำการสมาคม

หลี่เคอหมิงกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่กับอาจารย์จาง

“ครั้งที่แล้วชินเอ้อต้องแพ้ให้กับลูกศิษย์ของผม ก็เพราะมีจุดอ่อนเรื่องการเขียนใบสั่งยา หวังว่าลูกศิษย์ของคุณคนนี้ คงไม่ได้มีจุดอ่อนเดียวกันนะ”

อาจารย์จางพูดก่อนจะยิ้มกว้าง

ก็ในเมื่อนี่คือปากของเขา ทำไมเขาจะพูดสิ่งที่ใจคิดไม่ได้ล่ะ!

หลี่เคอหมิงพยักหน้า ตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี “ผมก็ว่าจะสอนอยู่นั่นแหละครับ แต่พอดีงานช่วงหลังค่อนข้างยุ่ง”

อาจารย์จางผู้มีนามเต็มว่าจางกงอี้ชะงักไปเล็กน้อย แล้วตอบด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “พูดแบบนี้หมายความว่าไงกัน ผมก็เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยจี้หยางเหมือนกัน คุณจะบอกว่าผมไม่ตั้งใจทำงานอย่างนั้นหรือ?”

“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” หลี่เคอหมิงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ผมแค่อยากบอกว่าผมไม่เหมือนคุณ เพราะนอกจากจะต้องแวะไปคอยดูแลอาจารย์แล้ว ผมยังต้องแบ่งเวลาไปรักษาคนไข้ด้วย”

เห็นไหมล่ะ! นี่มันตั้งใจถากถางกันชัด ๆ

สีหน้าของจางกงอี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

เมื่อหลี่เคอหมิงพูดคำว่า “อาจารย์” ออกมา หัวใจขอจางกงอี้ก็เหมือนกับจะหยุดเต้นลงไปทันที

เพราะตัวเขาเองกับหลี่เคอหมิงล้วนอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน มีชื่อเสียงในวงการแพทย์แผนจีนด้วยฐานะของหมออัจฉริยะเหมือนกัน และฝีมือของหลี่เคอหมิงก็ได้รับการยอมรับน้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ

แต่สิ่งที่น่ารำคาญใจที่สุดก็คือ หลี่เคอหมิงกลับมีสถานะเป็นลูกศิษย์ของฮั่วเหรินเซิง ปรมาจารย์ด้านแพทย์แผนจีน ส่วนตัวจางกงอี้เองนั้น ไม่สามารถขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ได้สำเร็จ

“หึหึ”