บทที่ 82 จริงด้วย Ink Stone_Romance
ไก่ขันสามครั้ง ทางตะวันออกก็เริ่มสว่างขึ้น คนงานของที่พักคนหนึ่งปีนขึ้นมา เห็นว่าตนนอนอยู่มุมกำแพง นอนทับฟางข้าวอยู่ ด้านข้างเป็นกองไฟที่ดับแล้ว ทันใดนั้นก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขาจำได้ว่าเมื่อคืนกลางดึกเหมือนว่ามีคนมามากมาย เบียดเสียดกันจนในห้องอยู่ไม่ได้ ยังได้ดูการกรีดเนื้อรักษาโรคกันอย่างคึกคักอีกด้วย…
คนงานที่พักสะดุ้งตื่นได้สติ มองสังเกตไปรอบข้าง เงียบสงัด มีเสียงสูดน้ำมูกของล่อม้าเป็นครั้งคราว ไม่มีเสียงผู้คนเจี๊ยวจ๊าว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มคนจอแจวุ่นวายเลย
เมื่อฟ้าสว่างตลาดผีก็หายไป…
ผีหลอก…จริงๆ หรือ…
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ต้มยาเสร็จแล้ว…”
มีเสียงตะโกนอันแหบพร่าของชายหนุ่มลอยมาจากในที่พัก
คนงานของที่พักรีบหันไปมอง เห็นชายหนุ่มวิ่งยกถ้วยมาจากที่เตาไฟไปยังห้องห้องหนึ่ง
หน้าประตูห้องมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนขึ้นมา
“เร็วเข้า ป้อนน้องสามเร็ว” เขากล่าว
“ยังไม่ฟื้น จะดื่มอย่างไร”
“นายหญิงผู้นั้นบอกว่าใช้กรวยกรอกเข้าไป…”
ในห้องมีเสียงเจี๊ยวจ๊าววุ่นวายลอยออกมา
ไม่ใช่ความฝัน และไม่ได้โดนผีหลอก คนงานที่พักโล่งใจ เมื่อคืนรักษาโรคช่วยชีวิตคนกันจริงๆ
แต่ว่า จะช่วยชีวิตไว้ได้หรือ ทั้งมีดทั้งไฟทั้งของเน่าขึ้นรา
เมื่อฟ้าสว่างขึ้น กลุ่มคนที่เต็มไปด้วยคำถามนั้นต่างก็รวมตัวกันในเรือน ถกเถียงเรื่องเมื่อคืนไปพลาง มองไปทางห้องพักพวกทหารสี่ห้าคนนั้นไปพลาง คนที่เก็บของใส่รถแล้วก็ลืมที่จะเร่งเดินทาง
“ช่วยชีวิตไว้ได้หรือ”
“นั่นสิ ทรมานซ้ำๆ เช่นนั้น ถึงแม้ไม่ได้ป่วยก็คงเหลือแค่ครึ่งชีวิต…”
ในเรือนต่างถกเถียงกันเซ็งแซ่
ในห้องนั้น นายเฉินสี่ไม่ได้นอนทั้งคืน เพียงแต่เอนตัวบนเตียง ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวนอกห้องก็รีบลุกขึ้นนั่ง
“เป็นอย่างไรบ้าง ตายหรือยัง” เขาเอ่ยถาม
บ่าวนอกห้องยื่นหน้าไปดูแล้วหยุดไปสักพัก
“ยังไม่ได้บอกกระมัง เหมือนว่าเพิ่งจะกรอกยานะขอรับ” เขากล่าว
นายเฉินสี่ขมวดคิ้ว แล้วหลุดหัวเราะออกมา
“นั่นก็ถือเป็นยาหรือ” เขากล่าว
หยิบหญ้าไปเรื่อยมากำหนึ่ง ขูดฝุ่นก้นหม้ออะไรพวกนี้แล้วต้มออกมา…
“นายท่าน เราออกเดินทางกันเลยหรือไม่ขอรับ เช้าแล้วขอรับ” บ่าวเอ่ยถาม
หากเป็นเมื่อก่อนตอนนี้พวกเขาคงอยู่ระหว่างทางแล้ว
นายเฉินสี่ครางเสียงต่ำสักพัก แล้วส่ายหน้า
“รออีกเดี๋ยวเถิด” เขากล่าว
รออะไรกัน บ่าวไม่ค่อยเข้าใจ
ทำไมตอนนี้ไม่รีบร้อนแล้วเล่า
เวลาเหมือนจะเดินไปช้ามาก คนในเรือนกระวนกระวายกันขึ้นมา คนในห้องก็เดินไปมายืนนั่งไม่สงบ
“พี่ใหญ่ น้องสามเขา จะหายได้จริงหรือ” มีคนเอ่ยถาม
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้านั่งอยู่บนพื้น มองดูชายหนุ่มที่ห่มผ้าเหมือนนอนหลับอยู่นั้น ไม่ได้พูดอะไร
“ของพวกนี้จะรักษาโรคได้จริงหรือ” มีอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะนั่งลงตรงนั้นแล้วยื่นมือไปเปิดผ้าห่มของชายหนุ่ม
เสื้อผ้าบนตัวชายหนุ่มถูกกรีดจนไม่เป็นชิ้นดี เหลือแต่ที่ปกปิดส่วนลับเพียงไม่กี่ชิ้น แผลที่เผยอยู่ด้านนอกเต็มไปด้วยสีขาวเขียว ดูแล้วน่ากลัวยิ่งนัก
“อืม…หนาว…”
มีคนกล่าวพึมพำ
“หนาวอะไรกัน นี่มันเวลาไหนแล้ว…” ชายหนุ่มที่เปิดผ้าห่มออกเงยหน้าจ้องเขม็งตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์ พูดไปครึ่งประโยคแล้วก็เหม่อไป
“ทำไมหรือ” คนอื่นสังเกตเห็นความผิดปกติของเขาจึงรีบเอ่ยถาม
“หนาว…หนาว…” ชายหนุ่มพูดจาตะกุกตะกัก
“เจ้าจะเพิ่มความวุ่นวายอะไรอีก!” คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตบหัวเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ใช่ข้าที่พูดว่าหนาว” ชายหนุ่มจับหัวแล้วตะโกนออกมา มือที่ดึงผ้าห่มไว้ก็ปล่อยคลายลง “น้องสาม น้องสามพูดว่าหนาว!”
ในห้องเงียบสงัดไปสักพัก
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้านั่งเหยียดตรงทันใด มือที่วางอยู่บนเข่ากำไว้แน่น จ้องมองดูชายหนุ่มที่นอนอยู่
“น้องสาม เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” เขาเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ
คนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่กลั้นหายใจ ลูกตาจ้องชายหนุ่มผู้นั้นไม่ละสายตา นานเหมือนผ่านไปทั้งชีวิต แต่ก็เหมือนเพียงแค่อึดใจเดียว
“อืม…หิวน้ำ…”
เสียงแหบพร่าแผ่วเบาดังขึ้น
ในห้องมีเสียงร้องตะโกนดังสนั่น หน้าต่างสั่นไปหมด ทำเอาคนข้างนอกตกใจแทบจะกระโดดหนี
จากนั้นก็ได้ยินเสียงปัง ชายหนุ่มสองสามคนเบียดกันกระโจนออกมา ประตูถูกชนหลุดออกมาบานหนึ่งหล่นลงกระแทกพื้น ทำเอาคนในเรือนตกใจอีกครั้ง
“นี่ นี่ พ่อหนุ่ม ทำลายประตูหน้าต่าง ต้องชดใช้ค่าเสียหายนะ!” คนงานที่พักที่ยืนรอดูความเป็นความตายอยู่ในเรือนสะบัดมือตะโกนกล่าว
ที่พักนี้ไม่ใหญ่นัก มีเพียงสองเรือนหน้าหลัง เสียงร้องตะโกนทางด้านหน้า ด้านหลังก็ได้ยินในเวลาเดียวกัน
นายเฉินสี่พลิกตัวลุกขึ้นมา
เป็นหรือตายกัน
“นายท่าน ชายฉกรรจ์เหล่านั้นคุกเข่าอยู่หน้าห้องนายหญิงกล่าวขอบคุณกันใหญ่เลยขอรับ” บ่าวยื่นหน้าไปดูแล้วตะโกน สีหน้าดีใจ “คนฟื้นแล้วขอรับ”
จริงด้วยหรือ จริงหรือ
นายเฉินสี่เร่งฝีเท้าเดินออกมา เห็นชายฉกรรจ์สามคนกำลังโขกหัวคำนับไปทางห้องของเฉิงเจียวเหนียง
“อย่าโวยวาย” สาวใช้เปิดประตูออกมาด้วยความอารมณ์เสีย กล่าวเสียงแผ่วเบา “นายหญิงยังนอนหลับอยู่นะ”
ชายฉกรรจ์สองสามคนรีบกลั้นหายใจแล้วเก็บเสียง
เมื่อนายเฉินสี่มายังด้านหน้า หน้าประตูห้องที่ชายหนุ่มอาศัยอยู่เต็มไปด้วยผู้คนที่เบียดเสียด แต่ละคนต่างก็แย่งกันดูด้านในห้อง
“ออกไป ออกไป ไปไปไป”
เหล่าชายหนุ่มที่วิ่งออกมาจากเรือนหลังท่าทางดุร้ายคำรามกล่าว ขับไล่กลุ่มคนออกไป นำทางนายเฉินสี่ก้าวเข้าในห้อง
บนเสื่อรอง ชายหนุ่มใต้ผ้าห่มไม่ขยับเขยื้อน ชายหนุ่มสองคนกำลังเทน้ำด้วยท่าทางเงอะงะ
นายเฉินสี่เข้าไปสำรวจดู เห็นสีหน้าชายหนุ่มซีดเซียว สองตาปิดไว้แน่น หายใจเร็วถี่
นี่…ฟื้นแล้วหรือ
เหมือนว่าจะสังเกตเห็นความคิดของเขา ชายหนุ่มลืมตาทันใด
นายเฉินสี่หงายหลังไปเล็กน้อย
สายตาน่าเกรงกลัว ดั่งมีประกาย
แค่ดวงตาคู่นี้ ก็ไร้ซึ่งความตายแล้ว
นายเฉินสี่พยักหน้า ละสายตาไป ชายหนุ่มผู้นั้นก็หลับตาไปอีก
หันมาทางนี้ นายสี่เฉินฝีเท้าผ่อนคลาย สีหน้ายินดี เงยหน้าขึ้นก็เห็นเฉิงเจียวเหนียงใส่เสื้อคลุมออกมายืนตรงทางเดินแล้ว
“นายหญิง นอนหลับสบายหรือไม่” เขารีบเข้าไปกล่าวพลางอมยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงใต้หมวกเสื้อคลุมเห็นเพียงครึ่งหน้า มุมปากเหมือนว่าจะโค้งเล็กน้อย
“ออกเดินทางได้หรือยัง” นางเอ่ยถาม
ดูเหมือนเป็นประโยคที่ไม่มีหัวไม่มีท้าย แต่นายเฉินสี่กลับเหม่อไปสักครู่ ในใจก็รู้สึกละอายเล็กน้อย
“นายหญิงพักผ่อนดีแล้วหรือ อย่างนั้นก็ออกเดินทางกันเถิด” เขากล่าว
เมื่อยามที่พระอาทิตย์ลอยขึ้นสูง ความคึกคักในเรือนก็ได้หายไป ถึงแม้จะไม่มีใครเห็นสภาพชายหนุ่มผู้นั้นกับตา แต่เห็นชายหนุ่มคนอื่นๆ ยินดีเพียงนี้ ทุกคนก็ต่างเข้าใจว่าช่วยชีวิตได้แล้วจริงๆ
เรื่องดีเรื่องนี้มีเริ่มต้นมีจุดจบ เพียงพอแล้วสำหรับใช้เป็นหัวข้อสนทนา ผู้คนต่างก็พอใจแล้วแยกย้ายออกเดินทางของตนไป
ที่พักก็รับแขกใหม่เข้ามา ท่ามกลางความโหวกเหวกนั้นเรื่องคุยสนุกของเมื่อวานก็ได้ผ่านพ้นไป
เฉิงเจียวเหนียงที่เดินมาหน้ารถม้าถูกชายฉกรรจ์ที่เดินตามมาเรียกไว้
ก่อนอื่นก็โขกหัวขอบคุณ แล้วค่อยเงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกผิด
“พวกเราไม่มีเงิน ค่ารักษาทำได้เพียงติดค้างเอาไว้ก่อน ขอถามว่านายหญิงมาจากที่ใด วันหลังจะจ่ายคืนให้แน่นอนขอรับ” เขากล่าว
เฉิงเจียวเหนียงร้อง ‘อ้อ’
“ไม่มีเงินหรือ” นางเอ่ยถาม
นายหญิงผู้นี้เสียงแข็งทื่อ ฟังแล้วรู้สึกถึงความเย้ยหยัน ชายหนุ่มสามคนก้มหัวต่ำลงไปอีก
“วันหลังพวกเราจะจ่ายคืนให้ขอรับ” หนึ่งในนั้นอดไม่ได้ที่จะยืดคอตรงตะโกนออกมา ทำเอาหน้าแดงไปหมด คล้ายว่าเขินอายแต่ก็เหมือนโมโห
เฉิงเจียวเหนียงหันข้างมองเขา
“ไม่มีเงิน ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจอะไรนัก เจ้า ยังจะมั่นใจเพียงนี้ ไปทำไม” นางกล่าว
………………………………………………….