บทที่ 83 หวังดี Ink Stone_Romance
คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็เหม่อไป คำพูดนี้พูดได้ช่าง…
ดูสิ ดูสิ หญิงผู้นี้ก็แปลกพิลึกเช่นนี้ล่ะ! พ่อบ้านเฉาที่ยืนอยู่หลังกลุ่มคนตะโกนอยู่ในใจ
ชายฉกรรจ์สามคนต่างก็ตะลึงเหม่อลอยไป โดยเฉพาะคนที่พูดเมื่อครู่ คอแดงไปหมด
“ข้า ข้า ข้าไม่ได้…” เขากล่าวเสียงดัง
“เจ้าได้” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
คนรอบข้างก็ตะลึงเหม่อลอยไปอีก
“ท่าน…ท่านมีเงินแล้ว แล้วรังแกคนได้…” ชายผู้นี้ปกติแล้วไม่ค่อยได้คุยกับหญิงสาวสักเท่าไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่ต้องมาถกเถียงกับนายหญิงน้อยเช่นนี้เลย ทั้งโมโหทั้งร้อนรนไม่รู้จะพูดอะไร
“เจ้าไม่มีเงิน ก็รังแกคนไม่ได้” เฉิงเจียวเหนียงยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ
คนรอบข้างเงยหน้ามองฟ้า อยากจะถอนหายใจกัน
การงอแงไร้เหตุผลดั่งเด็กน้อยเช่นนี้ นายเฉินสี่เชื่อแล้วว่านายหญิงตระกูลเฉิงผู้นี้เคยเป็นเด็กสติไม่สมประกอบมาก่อนในทันใด ถึงแม้เขายังคงไม่เชื่อว่าโรคสติไม่สมประกอบนี้จะรักษาหายได้
“ปั้งฉุย!” ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าตบหัวชายหนุ่มผู้นั้น ตบจนเขาหัวทิ่ม
ชายหนุ่มโขกหัวให้เฉิงเจียวเหนียงอีกครั้ง
“บุญคุณใหญ่หลวงไม่กล่าวขอบคุณ จะจดจำบุญคุณครั้งนี้เอาไว้ วันหลังจะต้องตอบแทนแน่นอนขอรับ” เขากล่าว “ขอทราบชื่อนายหญิงด้วยขอรับ”
ทางนี้กำลังพูดคุยอยู่ ทางนั้นก็วุ่นวายขึ้น ชายหนุ่มสองคนยกบานประตูรีบวิ่งมา
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่” พวกเขาตะโกน
ภาพนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ตกใจกัน หรือว่าผู้ป่วยนี้จะไม่ไหวอีกแล้ว
ชายหนุ่มสามคนก็รีบลุกขึ้นมาเช่นกัน
“ทำไมหรือ” พวกเขาเอ่ยถามกันอย่างพร้อมเพรียง
ชายหนุ่มวิ่งเข้ามาใกล้ หายใจเหนื่อยหอบ
“พี่สามอยากมาขอบคุณต่อหน้าให้ได้” พวกเขากล่าว
ทุกคนจึงได้เห็นชายหนุ่มที่อยู่บนบานประตูนั้นลืมตาอยู่ วางลงบนพื้นแล้วก็อยากจะใช้แรงพยุงตัวนั่งขึ้นมา สุดท้ายก็ล้มเหลวล้มนอนลงไป เหล่าชายหนุ่มรีบเข้าไปรุมล้อม
“ได้ ชีวิต ไม่รู้ หน้าผู้มีบุญคุณ เสียดายที่เกิดเป็นคน…” ชายหนุ่มบนบานประตูกล่าวติดๆ ขัดๆ ด้วยเสียงแหบและเบา
“ข้าโขกหัวขอบคุณนายหญิงแทนน้องข้าด้วย” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่รีบคุกเข่าลงอีกครั้ง แล้วโขกหัวให้เฉิงเจียวเหนียงสามครั้ง
เฉิงเจียวเหนียงรับการคำนับจากเขา
“พวกเจ้าไม่มีเงินหรือ” นางเอ่ยถามต่อ
ยังจะเอาเงินอยู่หรือ
ทุกคนอึ้งไปสักครู่ ครานี้นายเฉินสี่ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว กำลังจะเอ่ยปากพูด เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าสี่ครั้ง เหมือนว่ากำลังหาอะไรอยู่
“พ่อบ้านนั่น ของตระกูลโจวล่ะ” นางเอ่ยถาม
ทุกคนต่างก็ชะงักงันไปสักครู่แล้วรีบมองไปทางพ่อบ้านเฉา
หลบอยู่หลังผู้คนก็ยังไม่ปลอดภัย ยังจะหาข้าอีกทำไม พ่อบ้านเฉามิกล้ารอช้ารีบเข้ามาอย่างร้อนรน
“นายหญิงขอรับ” เขาเอ่ยถาม “ไม่มีเงินแล้วจะตีแผลเขาให้เจ็บอีกทีหรือขอรับ”
เงินมาของไป ไม่มีเงิน ของก็ต้องเอาคืนเป็นธรรมดา ไม่มีเงิน โรคที่รักษาหายแล้วก็ทำให้เป็นสภาพเดิม เป็นหลักการแห่งฟ้าดิน ซื่อสัตย์ไม่หลอกลวง เป็นธรรมเนียมของบ้านตระกูลโจว
คำพูดของพ่อบ้านเฉาถึงแม้จะพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา แต่คนรอบข้างก็ยังได้ยิน ชายหนุ่มกลุ่มนั้นสีหน้าเปลี่ยนในทันใด อีกยังโมโหเล็กน้อย
ถึงว่า คนมีเงิน มักรู้วิธีมารังแกคนอื่น…
“พวกเจ้าบ้านตระกูลโจว อบรมสั่งสอนกันมาเช่นนี้หรือ” เฉิงเจียวเหนียงมองดูพ่อบ้านเฉาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ
พ่อบ้านเฉายกมือขึ้นมาตบตนเอง
สมน้ำหน้า พูดมากดีนัก!
“พวกเขาไม่มีเงิน เจ้า ให้เงินพวกเขาเสีย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ทุกคนตะลึงไปชั่วขณะ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือตะลึงจนไม่รู้จะตะลึงอย่างไรแล้ว
ฟังคำพูดของนายหญิงนี้ ช่างพลิกกลับไปมาขึ้นๆ ลงๆ อารมณ์แปรปรวนครบถ้วนเสียจริง
พ่อบ้านเฉาไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบถุงเงินที่เหน็บอยู่ที่เอวแล้วยื่นให้ชายหนุ่มผู้นั้น
“นี่ จะได้อย่างไรกันขอรับ” ชายหนุ่มก็ตกใจ โบกมือไม่รับ “จะเอาเงินของนายหญิงได้อย่างไรขอรับ”
“เขาแค่ฟื้นมามีชีวิตรอดได้ชั่วคราว สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ยังต้องพึ่งการดูแลฟื้นฟู” เฉิงเจียวหนียงกล่าว “ต้องบำรุงการใหญ่ด้วยปลาด้วยเนื้อ พวกเจ้า ไม่มีเงินไม่ใช่หรือ จะบำรุงอย่างไร”
ที่แท้นางถามว่าไม่มีเงินหรือหลายครั้ง ก็เพื่อการนี้
เหล่าชายหนุ่มรู้สึกถึงเพียงความร้อนใจสีหน้าแดงก่ำ
“ปั้งฉุยโขกหัวคำนับนายหญิงเสีย” ชายหนุ่มผู้นั้นยกมือขึ้นมาตบตนเอง คุกเข่าลงแล้วโขกหัวคำนับ
เขาโขกหัวอย่างรุนแรง คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รู้สึกถึงความสั่นสะเทือน ไม่นานชายหนุ่มผู้นั้นหน้าผากก็ช้ำเลือดไปหมด
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้สนใจ จับสาวใช้แล้วพยุงตัวขึ้นรถไป
พ่อบ้านเฉาไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกสักวินาทีเดียวจึงรีบขึ้นม้าเช่นกัน นายเฉินสี่ยืนยันแล้วว่าหญิงสาวผู้นี้ความสามารถในการรักษาอัศจรรย์นัก รีบร้อนทนรอไม่ไหวที่จะกลับเมืองหลวงไปช่วยชีวิตท่านพ่อ ตอนนี้คนกลุ่มนั้นไม่อยู่ต่อแล้ว ขบวนรถม้าและคนรีบเร่งฝีเท้าออกเดินทางไป
คนและรถม้าขบวนนี้จากไป ในที่พักก็เงียบเหงาลงทันใด กลุ่มชายหนุ่มยืนอยู่กับที่ มองดูขบวนรถบนทางค่อยๆ กลายเป็นจุดดำ
ชายที่เป็นหัวหน้านั้นก้มหน้ามองดูถุงเงินในมือตนเอง ยกมือยื่นให้คนที่อยู่ด้านข้าง
“เอาไป” เขากล่าว
“ข้าเข้าเมืองไปซื้อเนื้อวัวเนื้อแกะเนื้อปลามาเดี๋ยวนี้ล่ะ” คนนั้นตอบกลับกำลังจะยกเท้าวิ่งไป แต่กลับถูกชายหนุ่มจับยกตัวไว้
“ไม่ซื้อสิ่งนั้น ซื้อรถม้ามา” ชายหนุ่มกล่าว “เอารถม้าที่ดีที่สุด”
ทุกคนต่างก็ชะงักงันไป
“พี่ใหญ่ ตอนนี้เรายังไม่ต้องรีบร้อนออกเดินทาง อาการป่วยของน้องสามสำคัญที่สุดนะ” ทุกคนกล่าว
“เพราะต้องฟื้นฟูร่างกายนี่ล่ะ จึงต้องรีบออกเดินทาง” ชายหนุ่มกล่าว มองดูทางหลวงเส้นใหญ่นั้น “ของกินดื่มดีๆ อะไรนั่นก็วางใจได้ไม่เท่ากับการติดตามนายหญิงผู้นั้นหรอก”
นายหญิงผู้นั้น ยื่นมือมาช่วยชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนได้ในชั่วข้ามคืน ติดตามนาง ก็คือยาที่ดีที่สุดในใต้หล้า
ทุกคนเข้าใจในทันใด ขานรับเสียงแข็ง
การรีบเร่งเดินทางก็ผ่านไปอีกวัน ท้องฟ้ามืดมิด ทางเล็กๆ ระหว่างหุบเขามีเพียงม้าสองตัวเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านไปได้ คบเพลิงที่ชูขึ้นสูงกลายเป็นเงาคดเคี้ยวระหว่างหุบเขา
“พ่อบ้านเฉา ไม่ไหวแล้วขอรับ พักหน่อยเถิดขอรับ มืดเกินไปแล้ว เดินทางช้าลงเรื่อยๆ แล้วขอรับ” ข้างหน้ามีคนตะโกนขึ้น
พ่อบ้านเฉารีบให้คนไปสอบถามเฉิงเจียวเหนียง
“ไม่ถามนายเฉินสี่หรือขอรับ” ผู้ติดตามเอ่ยถาม
“นี่เป็นนายหญิงของเรา ส่วนเขาเป็นคนขอให้ช่วยรักษา” พ่อบ้านเฉากล่าว “ใครถามใครกันเล่า”
ผู้ติดตามเบะปาก
นายหญิงของเจ้า ขนาดหน้ายังไม่กล้าไปเสนอเลย…
เฉิงเจียวเหนียงตกลงจะพักก่อน
ผู้ติดตามบ้านตระกูลโจวเป็นทหารมาก่อน การค้างแรมในป่าสำหรับพวกเขาแล้วง่ายดายมาก ไม่ช้ากระโจมและกองไฟก็ก่อตั้งขึ้น ถึงแม้ว่าลมในยามค่ำคืนนั้นหนาวเย็นนัก แต่เฉิงเจียวเหนียงก็ยังนั่งอยู่ข้างกองไฟเพื่อพักผ่อน
ข้างกองไฟกองนี้มีสองนายบ่าวอยู่ คนอื่นจึงได้หลบไป นายเฉินสี่เข้ามาทักทายสองสามคำ
“นายหญิงดื่มเหล้าหรือไม่” นายเฉินสี่ยิ้มกล่าว
“ขอบคุณ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ไม่ดื่ม”
ตามคาด เหล่าหญิงสาวมีสักกี่คนที่ดื่มเหล้าได้ นายเฉินสี่ยิ้มแล้วเอากลับคืนมา
“อาการป่วยของพ่อข้า นายหญิงมั่นใจสักแค่ไหน” เขาลังเลไปสักครู่แต่ก็อดไม่ไหวเอ่ยถามออกไป
“พวกท่านโชคดีนะ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว แล้วใช้ไม้เขี่ยกองไฟให้ลุกโชน “หากเป็นครึ่งเดือนก่อน ก็คงช่วยไว้ไม่ได้”
นั่นก็หมายความว่าตอนนี้ยังช่วยชีวิตได้ นายเฉินสี่ได้ยินดังนี้ก็ดีใจในทันใด อย่างไรเสียชายหญิงก็ไม่ควรใกล้ชิดกัน เขาพูดคุยเป็นมารยาทไม่กี่คำก็เดินออกไป
“นายหญิง คำพูดเมื่อครู่ของท่านไม่ถูกนี่เจ้าคะ” สาวใช้กล่าวด้วยความสงสัย “ครั้งนี้ ข้าเดาไม่ออกเจ้าค่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงพูดจาง่ายๆ มาตลอด ไม่พูดมาก ดีที่สาวใช้ผู้นี้ฟังเพียงคำพูดผิวเผินก็มักจะเข้าใจความหมายของคำพูดนั้นๆ ได้ ไม่ถามให้มากความ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เข้าใจจริงๆ
“ต้องพูดว่า หากล่าช้าอีกครึ่งเดือนก็จะช่วยไว้ไม่ได้ ไม่ใช่หรือเจ้าคะ” สาวใช้นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ มองดูเฉิงเจียวเหนียงแล้วเอ่ยถามขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงใช้มือถือไม้ที่ติดไฟหมุนเป็นลาย สะเก็ดไฟเล็กๆ ลุกขึ้นมา
“ครึ่งเดือนก่อน ข้าเองเดินไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยแล้ว นั่งรถม้านานเพียงนี้ ไม่ต้องรอถึงเมืองหลวง ข้าก็ ตายก่อนแล้ว” นางกล่าว “จะช่วยคนอื่นได้อย่างไร”
สาวใช้เข้าใจในทันที อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา
“นายหญิง ความคิดของท่านแปลกเสียจริงเจ้าค่ะ” นางยิ่งคิดก็ยิ่งอยากหัวเราะ ก็เลยหัวเราะออกมาเสียเลย
เหมือนว่ามักจะตอบไม่ตรงคำถาม แต่เมื่อคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็มีช่างมีเหตุผล ช่างแปลกและน่าสนใจเสียจริง
นางนั่งอยู่บนเบาะมองดูเงาด้านข้างของนายหญิงข้างแสงไฟ หมวกเสื้อคลุมใหญ่บดบังใบหน้า เห็นเพียงคางเล็กๆ เท่านั้น
ทางนี้นายบ่าวนั่งอยู่เงียบๆ ทางนั้นผู้ติดตามที่นั่งล้อมวงดื่มเหล้ากันอยู่ด้านข้างจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมา
“มีเสียงคนและม้ามาทางนี้” พวกเขากล่าว
กลางดึกเช่นนี้ยังมีคนเดินทางอยู่หรือ คงไม่ใช่โจรป่าหรอกนะ
บรรยากาศตึงเครียดไปชั่วขณะ หน้าไม้เตรียมพร้อมครบมือทำท่าพร้อมรับศึกโจมตี
…………………………………………………..