ตอนที่ 108 เป็นคนแน่วแน่จริง ๆ

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 108 เป็นคนแน่วแน่จริง ๆ

ราชันทมิฬได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับพูดมิออก

ความจริงแล้วชาวเมืองเสี่ยวฉือเหล่านี้เป็นใครกันแน่นั้น เขาเองก็มิเคยรู้เช่นกัน

เขารู้เพียงแค่ว่าชาวเมืองเสี่ยวฉือที่ใสซื่อเหล่านี้ ทุกวันเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นก็จะออกไปทำไร่ไถนา และจะกลับเข้าบ้านเมื่ออาทิตย์ตกดิน

ยามพลบค่ำทุกคนก็จะมารวมตัวพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ณ ลานแห่งนี้

ตกดึกทุกคนก็จะทยอยแยกย้ายกันไป

จากนั้นยามราตรีทั่วทั้งเมืองเสี่ยวฉือก็จะตกอยู่ในความเงียบสงบ

ส่วนคนเหล่านี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรหรือไม่ ?

เป็นผู้แข็งแกร่งที่เร้นกายในตำนานหรือไม่ ?

ราชันทมิฬรู้เพียงแค่ว่า ตลอดหลายปีที่เขาอยู่ในเมืองเสี่ยวฉือ มิเคยสัมผัสถึงความแปรปรวนของปราณวิญญาณฟ้าดินแม้แต่น้อย

หรือไอพลังแข็งแกร่งใด ๆ เลย

คิดถึงตรงนี้เขาจึงหันไปมองชาวเมืองเสี่ยวฉืออีกครั้ง

นอกจากเหล่าเด็กน้อยที่มีใบหน้าแดงก่ำ และพ่นปราณชีวิตออกมาทันทีที่กัดเนื้อย่างเข้าไปได้เพียงหนึ่งคำ ราวกับทนมิได้แล้ว

คนอื่น ๆ กลับกินเนื้อย่างหอมกรุ่นไปพลาง ดื่มสุราอึกใหญ่ไปพลาง ราวกับกำลังกินเนื้อสัตว์ธรรมดาก็มิปาน

มิมีความผิดปกติใด ๆ ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

‘นี่คือจ้าวปีศาจตัวจริงเสียงจริงเชียวนะ ! ’

ราชันทมิฬหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมาภายในใจ

‘หรือว่าทุกคนในเมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้ล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่เร้นกายอยู่ที่นี่จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘หรือเพราะตบะบารมีเหนือกว่าเรามาก ทำให้มิอาจสัมผัสได้ถึงความแปรปรวนและไอพลังที่เกิดขึ้นขณะที่พวกเขาบำเพ็ญเพียร’

‘ใช่แล้ว ! ’

‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’

ครู่หนึ่งราชันทมิฬจึงส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะตอบว่า “บางทีตบะบารมีของพวกเขาอาจจะอยู่เหนือกว่าข้ามาก เช่นนั้นก่อนหน้านี้ข้าจึงมิอาจสัมผัสถึงได้”

ในตอนนั้นเองเปาต้าเหมยที่ขณะนี้มีใบหน้าแดงก่ำ ก็ได้เดินถือเนื้อย่างชุ่มฉ่ำสองไม้เข้ามาหาเย่ฉางชิง

ส่วนเย่ฉางชิงนั้นกำลังใช้มีดด้ามเล็กหั่นเนื้อเข้าปาก พลางจิบสุราเป็นครั้งคราว

ดูท่าทางสบาย ๆ แต่ยังคงสุภาพอ่อนโยนอยู่เป็นนิจ

“ท่านเย่ สองไม้นี้ข้าตั้งใจให้เจ้าซุนเก็บไว้ให้ท่านโดยเฉพาะ”

เปาต้าเหมยเดินมาตรงหน้าเย่ฉางชิง พร้อมเอ่ยเสียงเบา “ในเมืองของเราท่านดูผอมบางที่สุด เช่นนั้นของบำรุงเช่นนี้ท่านควรกินให้มากหน่อย”

“ซ้อเปา นี่มิเหมือนเนื้อย่างก่อนหน้านี้นี่นา ? ”

เย่ฉางชิงทำจมูกฟุดฟิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามเปาต้าเหมยอย่างสงสัย

เปาต้าเหมยตบบ่าของเย่ฉางชิงเบา ๆ และเอ่ยเสียงเข้มว่า “ท่านวางใจเถิด ข้ามิมีทางทำร้ายท่านแน่นอน”

เย่ฉางชิงได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับท่าทางชวนสงสัยของเปาต้าเหมย

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ใช้มีดสั้นอันคมกริบเฉือนเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก แล้วเคี้ยวเบา ๆ

มินาน เขาก็ได้รู้ว่าเปาต้าเหมยนั้นเอาเนื้อส่วนไหนมาให้เขากิน

‘ไต ! ’

‘นี่เป็นไตของเสือดำนี่นา ! ’

‘แต่ต้องยอมรับว่าไตย่างนี่อร่อยจริง ๆ ’

‘แม้จะมีกลิ่นคาวเล็กน้อย แต่เนื้อละเอียดนุ่ม เคี้ยวหนึบหนับ’

‘เข้ากันดีกับเครื่องเทศและเกลือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเสี่ยวฉือ นี่ก็เพียงพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นอาหารอันโอชะได้แล้ว’

เมื่อเห็นเย่ฉางชิงจิบสุรา และเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย

ดวงตาของเปาต้าเหมยก็เปล่งประกายขึ้น

นางกวาดตามองรอบกาย ก่อนจะนั่งลงข้างกายเย่ฉางชิง พร้อมกับเอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า “ท่านเย่ ท่านมาอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือของเราหลายปีแล้วใช่หรือไม่ ? ”

ได้ยินเช่นนั้นเย่ฉางชิงที่กำลังเคี้ยวไตเสือดำย่างรสเลิศ จึงพยักหน้ารับยิ้ม ๆ

เปาต้าเหมยเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา มิมีความลับอะไรในใจ

“ข้าเห็นท่านอายุมิน้อยแล้ว ถึงเวลาสร้างครอบครัวได้แล้วนะ”

นางชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อว่า “จริงสิ ที่บ้านน้าสามของข้า เขามีลูกสาวคนหนึ่งอายุไล่เลี่ยกับท่านแต่ยังมิได้ออกเรือน เด็กคนนี้มิเพียงหน้าตาน่าเอ็นดู ทั้งยังขยันขันแข็งอีกด้วยนะ”

“ที่สำคัญนางมีสะโพกผาย โบราณว่าไว้คนสะโพกเช่นนี้จะมีลูกดก…”

เย่ฉางชิงที่กำลังดื่มสุราและกินไตย่างอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้น พลันเบิกตากว้างขึ้นแทบจะทันที

เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะโบกไม้โบกมือให้กับเปาต้าเหมย

“ซ้อเปา น้ำใจของท่านข้าขอรับไว้ด้วยใจ แต่เรื่องแต่งงาน ข้าคงต้องขอไตร่ตรองดูก่อน”

เย่ฉางชิงยืดคอขึ้นเล็กน้อยและกลืนเนื้อที่ค้างอยู่ลงคอ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวลพร้อมรอยยิ้ม

ตั้งแต่เขารู้ว่าตนเองนั้นมิมีรากวิญญาณ มิสามารถบำเพ็ญเพียรได้ เขาเองก็เริ่มคิดถึงเรื่องแต่งงานเอาไว้บ้างเช่นกัน

ซึ่งเขาเองก็ได้แอบพิจารณาสาวชาวบ้านบางคนเอาไว้แล้ว หากเทียบกับข้อจำกัดของเขาก็สามารถยอมรับได้

แต่มิรู้ด้วยเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าที่เปาต้าเหมยพูดมานั้นมิน่าเชื่อถือ

หากสตรีที่นางแนะนำเกิดดุดันเช่นเดียวกับนาง

ถึงตอนนั้นเขาก็คงได้กลายเป็นคนขายเนื้อซุนคนที่สองของเมืองเสี่ยวฉือเป็นแน่

จะสู้ก็สู้มิชนะ จะด่าก็ด่ามิชนะ ชีวิตที่เหลือคงจากไปอย่างหดหู่เป็นแน่

ความจริงแล้วเย่ฉางชิงเองก็หวั่นเกรงเปาต้าเหมยที่มีพลังราวกับช้างศาล และเสียงดังกึกก้องเยี่ยงนี้อยู่มาก

คิดถึงเรื่องนี้เย่ฉางชิงก็อดที่จะรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมามิได้

“ท่านเย่ เพราะเหตุใดเล่า ? ”

เมื่อถูกเย่ฉางชิงปฏิเสธ เปาต้าเหมยจึงขมวดคิ้วมุ่น พลางเอียงคอถาม

“ซ้อเปา บ้านเดิมของข้ามีคำกล่าวไว้ว่า ไร้บ้านไร้ที่ดินแต่กล้าขอภรรยา ก็เท่ากับมิให้เกียรติกัน”

เย่ฉางชิงรีบหยิบยกข้ออ้างขึ้นมาว่า “ท่านก็รู้ว่าข้ามีเพียงร้านขายของชำ วัน ๆ ต้องใช้ชีวิตอย่างขัดสน เช่นนั้นตอนนี้ข้าจึงยังมิสามารถคิดเรื่องนี้ได้”

แต่หลังจากเปาต้าเหมยที่ผิวเข้มคร้ามแดดได้ยินเหตุผลของเย่ฉางชิงแล้ว ก็ตบเข่าตัวเองดังฉาด พร้อมกับหัวเราะเสียงดังลั่น

“ท่านเย่เรื่องนี้มิใช่ปัญหา ข้ารู้ว่าท่านร่างกายอ่อนแอ แต่เด็กคนนั้นแรงเยอะมาตั้งแต่เกิด ต่อไปท่านแค่ดูแลร้านไป นางจะช่วยท่านทำไร่ทำสวนเอง”

พูดแล้วเปาต้าเหมยก็ตบที่อกของตัวเอง ก่อนเอ่ยเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “หากเด็กคนนั้นกล้าบ่นอะไรล่ะก็ ท่านมาบอกข้าได้เลย ข้าจะจัดการให้ท่านเอง”

“สูด ! ”

เย่ฉางชิงสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเปาต้าเหมย ใบหน้าขาวซีดนั้นยังคงมีรอยยิ้มประดับเอาไว้ แต่ราวกับคนที่อยากจะร้องไห้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอด

‘เป็นคนแน่วแน่จริง ๆ ! ’

ตอนนั้นเองจู่ ๆ ถูสือซานที่หมอบอยู่บนหลังของราชันทมิฬก็กระโดดลงมา ก่อนวิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเย่ฉางชิง

ดวงตาดำขลับคู่นั้นแม้จะดูหวาดกลัว แต่กลับเต็มไปด้วยความหนักแน่น

เย่ฉางชิงเห็นเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไป

‘หรือว่าจิ้งจอกน้อยตัวนี้จะฟังภาษาคนออกจริง ๆ ? ’

เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้น ในใจก็ได้แต่ยิ้มขมขื่น

หลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงหันไปมองเปาต้าเหมยด้วยสายตาเคร่งขรึม พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ซ้อเปา น้ำใจของท่านข้าขอรับไว้ด้วยใจ เรื่องนี้เอาไว้เราค่อยปรึกษากันวันหลังเถิดนะ”

เปาต้าเหมยได้ยินเช่นนั้นก็เหมือนจะมองออกว่าเย่ฉางชิงนั้นมิเต็มใจเท่าไหร่นัก เมื่อรับรู้ได้ถึงความอึดอัดใจของเย่ฉางชิง นางจึงพยักหน้าให้อย่างเข้าใจพร้อมรอยยิ้ม

นางมักจะเป็นคนเข้าใจอะไรได้เร็ว แต่คนที่สุภาพอ่อนโยน ความรู้กว้างขวางเช่นท่านเย่ ทั้งชีวิตนี้นางเองก็พึ่งจะเคยได้เห็นเป็นคนแรก

ส่วนญาติห่าง ๆ ของนางผู้นั้น เยี่ยงไรเสียก็เป็นเพียงสาวบ้านป่าคนหนึ่ง จะคู่ควรกับคนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?

“ท่านเย่ ท่านรีบกินเถิด ข้าจะไปหยิบมาเพิ่มให้นะ”

เปาต้าเหมยยิ้มแห้ง ๆ ก่อนขอตัวและลุกขึ้นไป

ขณะเดียวกัน เมื่อเห็นเปาต้าเหมยเดินจากไปแล้ว เย่ฉางชิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ตอนนั้นเองที่เขาเหลือบไปเห็นจิ้งจอกน้อยกำลังมุดเข้ามาในอกของเขา

ทำให้เขาเพิ่งจะนึกออกว่าหลังจากที่พวกมันกลับมา ก็ยังมิได้กินอะไรกันเลย

อีกทั้งเนื้อย่างมากมายเช่นนี้ ต่อให้กินถึงพรุ่งนี้ก็คงกินกันมิหมด

เย่ฉางชิงคิดได้เช่นนั้นจึงใช้มีดสั้นแล่ไตย่าง ก่อนส่งไปใกล้ปากของจิ้งจอกน้อยทันที