ตอนที่ 109 มิใช่ เหตุใดข้าถึงมิเป็นอะไรเล่า ?

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 109 มิใช่ เหตุใดข้าถึงมิเป็นอะไรเล่า ?

เมื่อเย่ฉางชิงส่งไตย่างชิ้นเล็กไปที่มุมปากของถูสือซาน

กลิ่นหอมฉุยทะปะเข้าจมูกทันที จนถูสือซานอดน้ำลายสอมิได้ ดวงตาดำขลับเป็นประกายจับจ้องไปยังไตย่างตรงหน้า

แต่สุดท้ายก็ยังมิกล้าอ้าปาก

นี่เป็นเนื้อของจ้าวปีศาจเชียวนะ !

ภายในแฝงพลังและปราณชีวิตอันเข้มข้น ด้วยตบะบารมีของนางในตอนนี้มิอาจทนได้อย่างแน่นอน

มิแน่ หลังจากนางกลืนเนื้อชิ้นนี้เข้าไป คาดว่ามินานร่างของนางอาจจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ก็เป็นได้

คิดถึงตรงนี้ ถูสือซานจึงเหลือบมองเย่ฉางชิงเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หดคอลง

เย่ฉางชิงเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น

มินานเขาก็ตบหน้าผากของตัวเองเบา ๆ

ก่อนจะคิดออกว่า เขาเพิ่งจะทำแผลให้จิ้งจอกน้อยตัวนี้ไป

เวลานี้จิ้งจอกน้อยคงอ่อนแออย่างมาก

เช่นนั้นจึงมิยอมกินของเลี่ยน ๆ เช่นนี้สินะ

เวลานี้เขามิควรเอาอาหารที่ย่อยยากเช่นนี้ให้เจ้าจิ้งจอกน้อย

“เจ้าตัวเล็กนี่นิสัยเหมือนคนจริง ๆ งั้นรอกลับไปแล้ว ข้าจะหาอย่างอื่นให้เจ้ากินก็แล้วกัน”

เอ่ยเพียงเท่านั้น เย่ฉางชิงก็ยื่นมือออกไปปัดปลายจมูกสีแดงสดราวกับเลือดของถูสือซานเบา ๆ ท่าทางเต็มไปด้วยความรักใคร่

ก่อนที่เย่ฉางชิงจะเงยหน้าขึ้นมองราชันทมิฬที่นั่งยอง ๆ อยู่มิไกลนัก

“ราชันทมิฬ มานี่เร็ว”

เมื่อเผชิญหน้ากับราชันทมิฬ รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่ฉางชิงก็จางหายไปในพริบตา น้ำเสียงเต็มไปด้วยคำสั่ง

นั่นเป็นเพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่ฉางชิง ราชันทมิฬมักจะทำท่าทางขี้ขลาด

แล้วก็เป็นจริงตามนั้น เพียงแค่เย่ฉางชิงตะโกนเรียก

ราชันทมิฬที่นั่งยอง ๆ อยู่มิไกลก็พลันหมอบลงกับพื้นทันที พร้อมกับส่งเสียงครางหงิง ๆ ออกมา

เย่ฉางชิงที่เห็นภาพตรงหน้าก็รู้สึกหงุดหงิดจนเส้นเลือดที่บริเวณขมับปูดขึ้นมาทันที พลางกรอกตาไปมาอย่างเอือมระอา

‘เจ้าหมาตัวนี้เมื่อไหร่ถึงจะมีความกล้ากับเขาเสียที’

เย่ฉางชิงคิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

ตอนนั้นเองนายพรานจางที่นั่งอยู่มิไกลจากเย่ฉางชิง จึงเอ่ยหยอกล้อขึ้นว่า “ท่านเย่ ราชันทมิฬของท่านขี้ขลาดเช่นนี้ แต่กลับมีร่างกายกำยำ เช่นนั้นมิสู้หาวันให้คนขายเนื้อซุนเฉือดทิ้งเสียดีหรือไม่ ? ”

คนขายเนื้อซุนที่อยู่มิไกลจึงเอ่ยแนะนำขึ้นอีกว่า “ตอนนี้เข้าปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว รอจนฤดูหนาวหิมะตก พวกเรามาทำหม้อไฟเนื้อสุนัขกันเถิด มันต้องยอดมากแน่ ๆ ! ”

ขณะเดียวกันเถ้าแก่เว่ยก็เอ่ยเสริมขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำว่า “ความคิดนี้มิเลวจริง ๆ ขอเพียงท่านเย่ตกลง ข้าจะยอมนำสุราชั้นดีที่ข้าเก็บเอาไว้นานกว่าสิบกว่าปีออกมาเลย”

เย่ฉางชิง “……”

ราชันทมิฬแม้จะขี้ขลาด มิค่อยได้เรื่องได้ราว แต่เยี่ยงไรก็ติดตามตนเองมาหลายปี

ต่อให้เป็นก้อนหินก็คงจะรับรู้ความรู้สึกได้กระมัง ?

เช่นนั้นอย่าว่าแต่ฤดูหนาวจะเฉือดราชันทมิฬไปทำหม้อไฟเนื้อสุนัขเลย

หากมีผู้ใดในเมืองเสี่ยวฉือรังแกราชันทมิฬ เย่ฉางชิงก็คงมิพอใจทั้งนั้น

จากนั้นเย่ฉางชิงบังเอิญเหลือบมองท่าทีของราชันทมิฬ จู่ ๆ ก็มิรู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี

ราชันทมิฬยังคงหมอบอยู่ที่พื้น

เพียงแต่มิรู้ทำไม ร่างกายใหญ่โตนั่นจึงได้สั่นเทาขึ้นมา

ทั้งยังย้ายตัวเองเข้ามาอย่างเงียบเชียบ

ท่าทางนั้นช่างดูน่าขันยิ่งนัก

ในตอนนั้นเองผู้เฒ่าสูงวัยท่านหนึ่งก็ได้โบกมือไปมาและตะโกนขึ้นว่า “เจ้าพวกคนใจดำอำมหิต ท่านเย่พาเจ้าราชันทมิฬมาด้วยตั้งแต่ตอนมาถึงเมืองเสี่ยวฉือ อีกทั้งยังอยู่ข้างกายกันมาหลายปี เขาจะทำใจได้เยี่ยงไรกัน”

เอ่ยถึงตรงนี้ จู่ ๆ ผู้เฒ่าท่านนี้ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ อดีตที่จวบจนวันนี้เขาก็ยังมิอาจลืมได้

นั่นคือก่อนหน้าที่เย่ฉางชิงจะมายังเมืองเสี่ยวฉือ เขาเคยเลี้ยงสุนัขสีเหลืองตัวใหญ่ตัวหนึ่ง

สุดท้ายในฤดูหนาวปีหนึ่ง จู่ ๆ มันก็หายตัวไปอย่างลึกลับ

บัดนี้เมื่อคนพวกนี้พูดว่าจะเฉือดราชันทมิฬมาทำหม้อไฟเนื้อสุนัข เช่นนั้นสุนัขเหลืองของเขาก็เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกคนพวกนี้จับไปเฉือดแล้วก็เป็นได้

คิดถึงตรงนี้ ท่านผู้เฒ่าจึงหันไปมองนายพรานจางและคนขายเนื้อซุนด้วยหน้าตาถมึงทึง “สุนัขเหลืองตัวใหญ่ของข้าในตอนนั้นก็ถูกพวกเจ้าเฉือดใช่หรือไม่ ? ”

นายพรานจางและคนขายเนื้อซุนได้ยินเช่นนั้นพลันนิ่งอึ้งไปทันที ก่อนจะรีบโบกมือและส่ายหน้าไปมา

“ท่านลุงสอง เรื่องต้าหวงของท่าน พวกเรามิได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยนะ ! ”

“ใช่แล้ว ท่านลุงสองเจ้าต้าหวงของท่านน่าจะถูกเสือภูเขาจับไปกิน พวกเรามิได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย”

เมื่อสังเกตเห็นท่าทางร้อนตัวของนายพรานจางและคนขายเนื้อซุน ท่านผู้เฒ่าจึงหยิบไม้เท้าข้างกาย ทุบไปที่คนขายเนื้อซุนที่อยู่ใกล้สุด

คนขายเนื้อซุนเห็นเช่นนั้นก็รีบตีลังกาหลบทันที

“ท่านลุงสอง เรื่องต้าหวงของท่านมิเกี่ยวอะไรกับพวกเราจริง ๆ นะ ! ”

“มิเป็นไร เมืองนี้มีมิกี่บ้านที่เคยเลี้ยงหมา แต่เจ้ากลับเรียกร้องจะกินหม้อไฟเนื้อสุนัข คืนนี้ข้าจะเอาเลือดหัวของพวกเจ้าออกมาให้ได้คอยดู”

“ท่านลุงสอง ท่านเข้าใจผิดแล้ว”

“เข้าใจผิดงั้นหรือ เข้าใจผิดกับผีน่ะสิ ! ”

“ท่านลุงสอง ข้าเจ็บจริง ๆ นะ”

“ท่านลุงสอง ถ้าตีข้าอีกครั้ง ข้าจะตอบโต้แล้วนะ ! ”

“……”

เพียงพริบตา หลังจากเรื่องน่าขันเรื่องนี้เริ่มขึ้น ทั่วทั้งลานก็เต็มไปด้วยเสียงต่าง ๆ นานา

ทั้งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด

เสียงด่าทอ

บางคนก็หัวเราะชอบใจ…

ในที่สุดตอนนั้นเองราชันทมิฬก็ค่อย ๆ ปีนขึ้นหลังของเย่ฉางชิง

เย่ฉางชิงจึงยิ้มออกมา แววตาที่มองราชันทมิฬดูสับสนเล็กน้อย

เขายื่นมือออกไปลูบเบา ๆ ที่หัวของราชันทมิฬ ก่อนจะหั่นไตย่างชิ้นหนึ่งส่งไปที่ปากของราชันทมิฬ

ส่วนราชันทมิฬในเวลานี้เรียกได้ว่าซาบซึ้งจนแทบจะกลั้นน้ำตามิอยู่

เพราะหลังจากเขาบรรลุระดับราชาปีศาจ กายเนื้อเริ่มกำยำอย่างเห็นได้ชัด

นายท่านก็มิเคยลูบหัวมันอีกเลย

เช่นนั้นสำหรับราชันทมิฬแล้ว นายท่านยังมิได้หมดหวังต่อเขาเสียทีเดียว

คิดได้เช่นนั้น ราชันทมิฬก็อ้าปากแล้วกลืนไตย่างชิ้นนั้นลงไปอย่างมิมีลังเล

แต่สุดท้ายหลังจากราชันทมิฬกลืนไตย่างชิ้นนั้นลงไปแล้ว

เขาเพิ่งจะได้สติว่าเนื้อที่พึ่งกลืนลงไปนั้น เป็นเนื้อของจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำ !

ส่วนเขามีตบะบารมีเพียงระดับราชาปีศาจเท่านั้น จะทนรับพลังและปราณชีวิตเข้มข้นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

มิกี่อึดใจต่อมา ราชันทมิฬก็เบิกตาโพลง จมูกและปากมีไอพ่นออกมามิหยุด

พริบตา ร่างกายของเขาพลันกระตุก ก่อนจะลุกขึ้นยืนในทันที

จากนั้นราชันทมิฬก็ได้วิ่งออกไปทางนอกเมืองเสี่ยวฉือราวกับเสียสติ

ภาพที่เห็นตรงหน้ามิเพียงแต่จะทำให้เย่ฉางชิงที่ตะลึงงัน แต่ชาวเมืองเสี่ยวฉือคนอื่น ๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน

‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ’

‘ราชันทมิฬเป็นอะไรไป ? ’

“บรู้… บรู้ว์… บรู้ววว์…..”

มินานก็มีเสียงเห่าหอนดังขึ้นทางทิศใต้ของเมืองเสี่ยวฉือ

ทันใดนั้นลานทั้งลานพลันเงียบกริบลงทันที ทุกคนต่างก็มองหน้ากัน

“ท่านเย่ เมื่อครู่ท่านทำอะไรราชันทมิฬงั้นหรือ ? ”

ครู่หนึ่งก็มีบางคนเอ่ยถามเย่ฉางชิงขึ้นมา

เย่ฉางชิงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความงงงวย ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมาอย่างครุ่นคิดว่า “ข้าก็แค่ลูบหัว แล้วก็ป้อนไตย่างไปชิ้นหนึ่ง”

“หรือว่าไตย่างจะมีอะไรผิดปกติงั้นหรือ ? ”

คนขายเนื้อซุนเอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหรี่ตาลงแล้วหันไปหาเปาต้าเหมยที่อยู่ข้างกาย

สุดท้ายขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองมานั้น เปาต้าเหมยกลับยิ้มเขินอายออกมาอย่างมิเคยเป็นมาก่อน

เย่ฉางชิงเห็นเช่นนั้นก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อย พลางคิดในใจว่า “มิใช่ เหตุใดข้าเองก็กินไตนี่ แต่กลับมิเป็นอะไรเล่า ? ”