ตอนที่ 110 จิ้งจอกชิงชิวก็เป็นเซียนได้เช่นกัน

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 110 จิ้งจอกชิงชิวก็เป็นเซียนได้เช่นกัน

แล้วเสียงหอนของราชันทมิฬก็ดังอย่างต่อเนื่องจนทุกคนทยอยกลับไป

จวบจนดึกดื่นค่อนคืนเสียงนั้นจึงได้ค่อย ๆ เงียบลง

ขณะที่ชาวเมืองเสี่ยวฉือกำลังทยอยกลับนั้น เย่ฉางชิงก็ได้อุ้มถูสือซานเอาไว้แนบอกและจากไปเช่นกัน

เมื่อกลับมาถึงร้านขายของชำ เย่ฉางชิงก็รีบวิ่งเข้าไปหาอาหารในครัวให้แก่ถูสือซานทันที

จากนั้นด้วยความง่วงหลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย เขาจึงกลับห้องไปนอน

และแม้เย่ฉางชิงจะตั้งใจเตรียมอาหารไว้ให้ถูสือซาน

แต่เวลานี้ถูสือซานกลับมิรู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย

เพราะด้วยตบะบารมีของนางในตอนนี้ แค่ก่อนหน้านี้นางเผลอกลืนกินปราณชีวิตที่แผ่ออกมาจากเนื้อย่างเข้าไป

นั่นก็ทำให้พลังวิญญาณภายในร่างของนางไหลเวียนอย่างรวดเร็วจนมิอาจควบคุมได้

‘คาดมิถึงว่าจะมียอดฝีมือมากมายเร้นกายอยู่ในเมืองที่ห่างไกลเช่นนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ’

‘ก่อนหน้านี้เพียงแต่เคยได้ยินผู้อาวุโสในเผ่าบอกว่าปีศาจเผ่าต่าง ๆ ล้วนซ่องสุมกองกำลัง หวังว่าวันหนึ่งจะได้ยึดครองจงหยวนอีกครา’

‘แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเพียงแค่ยอดฝีมือที่เร้นกายในเมืองที่ห่างไกลเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะต่อกรกับกองทัพของปีศาจเผ่าต่าง ๆ ได้แล้วกระมัง ? ’

‘ยิ่งไปกว่านั้นยังมียอดฝีมือที่สุภาพและมีนิสัยอ่อนโยนท่านนี้อยู่ด้วย มิหนำซ้ำตบะบารมียังแก่กล้าเกินกว่าที่จะประเมินได้…’

ร่างอันงดงามของถูสือซาน หมอบอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งภายในห้อง

ดวงตาดำขลับที่เปล่งประกายคู่นั้น จ้องมองเย่ฉางชิงที่หลับสนิทอย่างครุ่นคิด

พลางเอ่ยขึ้นมาภายในใจ

จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ถูสือซานจึงได้สติอีกครั้ง

‘ใช่แล้ว ราชันทมิฬคงมิเป็นอะไรไปหรอกนะ ? ’

ถูสือซานคิดได้ดังนั้น ก็รีบพุ่งตัวออกนอกห้องเพื่อไปตามหาราชันทมิฬทันที

แต่เมื่อนางคิดถึงเหล่าชาวเมืองเสี่ยวฉือที่มิอาจคาดเดาได้ พลันก็หดคอลงและละทิ้งความคิดต่าง ๆ ไปจนสิ้น

หากมียอดฝีมือคนใดคนหนึ่งในเมืองเสี่ยวฉือปรารถนาในตัวนางขึ้นมา

หากออกไปแล้วมีคนพบนางเข้า ตอนนั้นเกรงว่านางคงมิอาจจะกลับมาที่นี่ได้อีกเป็นแน่

ถูสือซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ เดินมาที่ข้างเตียงของเย่ฉางชิง

เพียงกระโดดเบา ๆ ก็สามารถขึ้นไปบนเตียงของเย่ฉางชิงได้อย่างเงียบเชียบ

นางมองดูใบหน้าคมคายด้านข้างของเย่ฉางชิง พลางคิดในใจว่า ‘หากผู้แข็งแกร่งบนโลกนี้ สุภาพอ่อนโยนเหมือนยอดฝีมือท่านนี้ก็คงจะดีมิน้อย’

เพียงพริบตา ราตรีผ่านพ้น เย่ฉางชิงค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมา ก่อนจะบังเอิญสบเข้ากับจิ้งจอกน้อยที่หมอบอยู่ข้างกายของเขาเข้าพอดี

มุมปากของเย่ฉางชิงหยักโค้งขึ้นจนเกิดเป็นรอยยิ้ม เมื่อเห็นจิ้งจอกน้อยที่กำลังหลับสนิท

เขาค่อย ๆ ยื่นมือออกไปลูบขนสีขาวโพลนของจิ้งจอกน้อยเบา ๆ พลางถอนหายใจออกมา ‘ดูเหมือนราชันทมิฬก็มิได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างน้อยครานี้เจ้าตัวเล็กที่พากลับมาด้วย นอกจากจะน่ารักแล้วยังมีนิสัยเหมือนมนุษย์อีกด้วย’

‘อยู่ที่นี่มาตั้งหลายปี หากมีเจ้าตัวเล็กเช่นนี้อยู่ด้วยมาตั้งนานแล้วก็คงดี…’

เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ก็เหมือนนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้

‘เยี่ยนปิงซิน’

‘หญิงงามที่จู่ ๆ เช้าวันหนึ่งก็มาปรากฏตัวอยู่บนเตียงของเขา’

‘ราชันทมิฬสามารถพาจิ้งจอกน้อยตัวนี้กลับมาได้’

‘หรือว่าเยี่ยนปิงซินก็เป็นราชันทมิฬที่พากลับมาด้วยงั้นหรือ ? ’

เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาวเปล่งประกายวาววับ

เขาค่อย ๆ ขยับจิ้งจอกน้อยให้ไปอยู่ข้าง ๆ เพื่อป้องกันมิให้จิ้งจอกน้อยที่บาดเจ็บตกใจตื่น ก่อนจะย่องลงจากเตียง

หลังจากแต่งอาภรณ์เรียบร้อย เขาจึงเปิดประตูออกไป ทันใดนั้นก็เห็นสุนัขสีดำสนิท ขนเป็นมันวาว มีขนาดใหญ่ราวกับเสือตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่หน้าประตู

เย่ฉางชิงตะลึงงันไปชั่วขณะ

‘นี่คือราชันทมิฬเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘รูปร่างใหญ่โตกว่าก่อนหน้านี้เกือบเท่าตัว ! ’

‘พระเจ้า ! ’

‘นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ! ’

เหมือนราชันทมิฬจะรับรู้ได้ จึงลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นเย่ฉางชิงที่ยืนอยู่หน้าประตู

มันก็รีบฉีกยิ้มให้จนเห็นเขี้ยวสีขาววาววับเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ แต่ท่าทางยังคงเต็มไปด้วยความขี้ขลาดเช่นเดิม

เย่ฉางชิงเห็นดังนั้นก็ชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะออกมาอย่างอดมิได้

‘ใช่แน่ ๆ ! ’

‘แค่แววตาก็ยืนยันได้แล้วว่านี่คือราชันทมิฬ’

‘แต่เวลาเพียงแค่คืนเดียว เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของราชันทมิฬกันแน่นะ ? ’

‘เหตุใดจึงเปลี่ยนไปได้มากมายถึงเพียงนี้ ! ’

‘หรือว่า… จะเป็นเพราะไตของเสือดำนั่น ? ’

เย่ฉางชิงคิดดังนั้นก็กะพริบตาเล็กน้อย ท่าทางเผยความยินดีออกมาอย่างห้ามมิอยู่

‘ราชันทมิฬสามารถเปลี่ยนแปลงได้มากเช่นนี้’

‘เช่นนั้นคนที่มิมีรากวิญญาณเยี่ยงข้า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่คาดมิถึงบ้างหรือไม่นะ ? ’

‘อย่างเช่น’

‘มีรากวิญญาณชั้นยอดสักสองสามอย่าง’

‘หรือมีสักอย่างก็ยังดี’

เย่ฉางชิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะคิดถึงเคล็ดวิชา《หากฝึกเคล็ดวิชานี้สำเร็จเจ้าจะไร้เทียมทาน》ที่เขาเผาไปก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้

แต่เมื่อเขาเดินตรงไปยังใต้ต้นหลิว

หางตาของเขาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นหินสีดำสนิทสี่ก้อนที่วางอยู่บนชุดน้ำชา

สิ่งที่เย่ฉางชิงคาดมิถึงที่สุดก็คือ

หินสีดำทั้งสี่ก้อนนั้น

มีลักษณะเหมือนกับหินที่ผู้เฒ่าเหอฉางเสวียนมอบให้แก่เขาก่อนหน้านี้อย่างมาก

เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก

เย่ฉางชิงหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะหันไปมองทางราชันทมิฬ

“ราชันทมิฬ หรือว่าหินสี่ก้อนนี้เจ้าก็เป็นคนเอากลับมาด้วยงั้นหรือ ? ”

เย่ฉางชิงเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

ส่วนราชันทมิฬที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเกือบเท่าตัว เพียงแค่นอนหมอบอยู่กับพื้นพร้อมฉีกยิ้มออกมา

เย่ฉางชิงชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะมีท่าทีอ่อนลง

‘ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ อย่าว่าแต่เยี่ยนปิงซินก่อนหน้านี้เลย’

‘มิว่าจะเป็นจิ้งจอกน้อยตัวนั้น หรือว่าหินที่ไร้ประโยชน์สี่ก้อนนี้ ก็คงจะเป็นราชันทมิฬที่นำกลับมาทั้งสิ้นสินะ’

‘นั่นหมายความว่าราชันทมิฬนั้นเข้าใจนิสัยมนุษย์ เพียงแต่สติปัญญายังมิสูงส่งเท่าไรนัก’

‘รู้จักเอาของดีกลับมาบ้าน’

เย่ฉางชิงคิดถึงตรงนี้ ก็เกิดรู้สึกปวดใจขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

ตั้งแต่เขามายังโลกเซียนแห่งนี้ ก็มีราชันทมิฬคอยอยู่เป็นเพื่อน

มาวันนี้ราชันทมิฬเริ่มเข้าใจนิสัยมนุษย์เช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเขามีเพื่อนที่มีสติปัญญาต่ำต้อยเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว

ผ่านไปครู่ใหญ่ เย่ฉางชิงจึงค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเดินมาที่ข้างกายของราชันทมิฬด้วยความรู้สึกสับสน พร้อมกับยื่นมือไปลูบหัวมันเบา ๆ

“ราชันทมิฬ ในที่สุดเจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ ! ”

เย่ฉางชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นเย่ฉางชิงก็เดินไปหาก้อนหินสีดำนั่นอีกครั้ง ก่อนจะท่องเคล็ดวิชาออกมา

มินานทั่วทั้งเมืองเสี่ยวฉือพลันก็เกิดภาพนิมิตขึ้นมาอีกครั้ง

เย่ฉางชิงสัมผัสได้ถึงไอพลังอันอ่อนโยนที่ไหลเข้าสู่ร่าง…

จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม

เย่ฉางชิงก็หยุดท่อง ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา

พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างจับตามร่างกายของตัวเองเพื่อสำรวจ จากนั้นจึงยิ้มออกมา

‘คนที่มิมีรากวิญญาณมิอาจบำเพ็ญเพียรได้จริง ๆ ด้วย ต่อให้กินไตย่างนั่นเข้าไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดีสินะ’

เพียงแต่เย่ฉางชิงเคยประสบกับความผิดหวังครั้งใหญ่จากครั้งก่อนมาแล้ว ในครั้งนี้จึงมิได้คาดหวังอะไรมากนัก

“เฮ้อ ! ”

เขาเพียงแค่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะลุกขึ้นยืนเตรียมตัวฝึกเขียนอักษรต่อ

แต่ในขณะที่เขายืนอยู่หน้าโต๊ะนั้น

ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นจิ้งจอกน้อยที่โผล่หัวออกมาจากในห้องพอดี

“วันนี้มิฝึกเขียนตัวอักษรแล้ว พวกเรามาวาดภาพกันดีกว่า”

เย่ฉางชิงที่เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมากะทันหัน เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “จิ้งจอกชิงชิวก็เป็นเซียนได้เช่นกัน ! ”