ตอนที่ 111 หรือว่าเป็นเพราะท่านบรรพบุรุษ ?

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 111 หรือว่าเป็นเพราะท่านบรรพบุรุษ ?

ทันทีที่ได้ยิน ถูสือซานที่เพิ่งโผล่หัวออกมาจากประตูก็นิ่งไปครู่หนึ่ง

‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ’

‘ที่ท่านยอดฝีมือพูดมาหมายความว่าอย่างไรกัน ? ’

‘หรือว่าเขาเคยไปชิงชิวงั้นหรือ ? ’

ราชันทมิฬที่บังเอิญเหลือบเห็นถูสือซานที่กำลังตกตะลึง ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นทันที

“เด็กน้อย ดูเหมือนว่านายท่านจะโปรดปรานเจ้ามากนะ”

ราชันทมิฬเอ่ยขึ้น

“ราชันทมิฬ ท่านผู้อาวุโสจะทำสิ่งใดกันแน่ ? ”

ถูสือซานได้สติอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปยังข้างกายของราชันทมิฬ ดวงตาดำขลับกะพริบปริบ ๆ พลางเอ่ยถามขึ้น

“เด็กน้อย ก่อนอื่นข้าขอแก้ไขความเข้าใจผิดของเจ้าก่อน”

ราชันทมิฬหยุดลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ “ตั้งแต่เมื่อคืนข้าก็ได้บรรลุจุดสูงสุดของขั้นราชาปีศาจ และสามารถเลื่อนขึ้นเป็นระดับจักรพรรดิปีศาจได้สำเร็จแล้ว”

“อีกเรื่องคือ นายท่านมิชอบให้คนอื่นเรียกเขาว่าผู้อาวุโส เช่นนั้นนับแต่นี้ต่อไปให้เจ้าเรียกเขาว่านายท่านก็แล้วกัน”

‘จักรพรรดิปีศาจงั้นหรือ ? ’

ถูสือซานหูอื้อไปทันทีที่ได้ยินคำบอกกล่าวจากปากของราชันทมิฬ ก่อนจะมีท่าทางประหลาดใจ

เพราะก่อนหน้านี้ขณะที่ราชันทมิฬเพิ่งปรากฏตัวที่เทือกเขาแดนใต้ เขายังมิผ่านช่วงต้นของระดับราชาปีศาจเลยด้วยซ้ำ

แต่นี่เพิ่งผ่านไปมิเท่าไหร่

ทว่าเขากลับสามารถบรรลุจากระดับราชาปีศาจเข้าสู่ระดับจักรพรรดิปีศาจได้สำเร็จแล้ว

อีกทั้งการบำเพ็ญเพียรจนบรรลุของเผ่าปีศาจนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งนัก ต่อให้เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริงของแต่ล่ะเผ่า อย่างเร็วที่สุดที่จะสามารถบรรลุจากระดับราชาปีศาจไปเป็นจักรพรรดิปีศาจได้ อย่างน้อยต้องใช้เวลาถึงสองร้อยปีหรือมากกว่านั้น

อย่างเช่นเฮยจวงแห่งเผ่าพยัคฆ์ดำ

จากระดับราชาปีศาจช่วงต้นจนถึงระดับราชาปีศาจช่วงกลาง เขาใช้เวลาเกือบครึ่งปี

จากระดับราชาปีศาจช่วงกลางถึงช่วงปลาย ใช้เวลาถึง 150 ปีเต็ม ๆ

จนถึงทุกวันนี้ตบะบารมีของเขาก็ยังคงหยุดอยู่แค่ระดับราชาปีศาจช่วงปลาย มาเป็นเวลาหกสิบถึงเจ็ดสิบปีแล้ว

ดูก็รู้แล้วว่าราชันทมิฬใช้เวลาในการบรรลุบำเพ็ญเพียร เร็วกว่าราชาปีศาจของเผ่าต่าง ๆ ในเทือกเขาแดนใต้เพียงใด

“รา… ราชันทมิฬ ท่านบรรลุแล้วจริงหรือ ? ”

ถูสือซานยังคงมองราชันทมิฬด้วยสายตาที่ยากจะเชื่อได้

ทว่าราชันทมิฬกลับพยักหน้ารับด้วยท่าทางภาคภูมิใจ ยิ้มจนปากแทบจะฉีกถึงหู

“เด็กน้อย เจ้ามิต้องอิจฉาข้าหรอก เวลานี้นายท่านกำลังจะมอบวาสนาอันใหญ่หลวงให้กับเจ้าบ้างแล้ว”

ราชันทมิฬหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางกล่าวอย่างมีเลศนัย “หากข้าเดามิผิด อีกมินาน เจ้าก็จะสามารถเลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิปีศาจได้เช่นกัน”

ถูสือซานได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโพลง สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง

วาสนาอะไรกันถึงจะทำให้นางสามารถบรรลุเป็นจักรพรรดิปีศาจได้รวดเร็วปานนั้น ?

“เปรี้ยง ! ”

ตอนนั้นเอง ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังวาดภาพอยู่นั้น ด้านหลังพลันปรากฏแสงหลากสีสันหมุนเวียน เป็นปรากฏการณ์ประหลาดเกินกว่าที่นางเคยพบ

แสงอันเจิดจ้าแผ่กระจายอยู่กลางอากาศ

มินานแสงศักดิ์สิทธิ์อันพร่างพราวก็เปล่งออกมาท่ามกลางความเจิดจ้านั้น

ขณะเดียวกันพลังปราณอันบริสุทธิ์เหลือคณาก็พวยพุ่งออกมา จนปกคลุมไปทั่วทั้งลานบ้านในพริบตา

เวลานี้พลันเกิดหมอกควันปกคลุมไปทั่วทั้งร่างของจิ้งจอกน้อยสีขาว

เพียงพริบตา เงาร่างของจิ้งจอกน้อยก็ค่อย ๆ เลือนลางไป

ก่อนจะปรากฏเป็นร่างอันงดงาม ลักษณะท่าทางสง่างาม และมีแสงเปล่งประกายทั้งตัวร่างหนึ่งขึ้น

มิกี่อึดใจต่อมา ร่างอันงดงามนี้ก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น

เป็นร่างของสตรีใบหน้าพริ้มพราว ผิวขาวเนียนราวกับหิมะ ผมยาวสยาย สวมชุดสีขาวนางหนึ่งขึ้น

เพียงแต่ใบหน้าของสตรีที่งดงามผู้นี้ คล้ายกับมีหน้ากากจิ้งจอกสีเงินชิ้นหนึ่งปิดบังเอาไว้อยู่

แต่เมื่อนางเอียงหน้าไปด้านข้าง

ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นและมุมปากที่มียิ้มจาง ๆ ประดับอยู่ ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหลแล้ว

‘งดงามยิ่งนัก ! ’

‘งามจนหาที่เปรียบมิได้ ! ’

ภาพตรงหน้านั้นเหมือนประโยคที่เย่ฉางชิงกล่าวเอาไว้มิมีผิด

จิ้งจอกชิงชิวก็เป็นเซียนได้เช่นกัน !

เวลานี้แม้แต่ราชันทมิฬยังอดมิได้ที่จะสะดุ้งจนต้องลุกขึ้นยืน

…………………………..

“ปัง!”

“ปัง ! ”

ขณะเดียวกันระหว่างที่เย่ฉางชิงกำลังวาดภาพอยู่นั้น

ณ เทือกเขาแดนใต้

                ภายในเขาดอกท้อ ที่ชิงชิว

ทันใดนั้นเมฆหลากสีสันก็ปกคลุมไปทั่ว

เกิดเมฆสีม่วงปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออก

เสียงฟ้าร้องกึกก้องไปทั่วทั้งนภา ทำให้ปราณวิญญาณฟ้าดินเกิดความปั่นป่วนไปหมด

ทันใดนั้นหลังจากปีศาจทุกตนในเผ่าจิ้งจอกวิญญาณได้ยินเสียง ต่างก็ทยอยออกมาจากบ้านเรือน

แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสที่เข้าญานมานับสิบกว่าปี หรือแม้แต่ร้อยปีก็ล้วนแล้วแต่ออกมาดูปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น

ขณะเดียวกันถูซื่อที่พึ่งกลับมาจากจงหยวนและเข้าไปอยู่ในโลงศิลาอีกครั้ง เวลานี้ก็ได้เดินออกมาจากแดนต้องห้ามของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณเช่นกัน

“นี่มันเรื่องอะไรกัน ! ”

“เมฆหลากสีสันปกคลุม เมฆสีม่วงปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออก เป็นนิมิตมงคลนี่นา ! ”

“แต่เหตุใดจู่ ๆ นิมิตมงคลนี้ถึงได้มาปรากฏอยู่บนเขาดอกท้อของเราได้เล่า ? ”

“ท่านรอง ท่านว่านี่ใช่อิทธิฤทธิ์ที่ท่านบรรพบุรุษสำแดง ทำให้เมฆามงคลปรากฏ เป็นการประทานพรให้แก่เผ่าจิ้งจอกวิญญาณของเราหรือไม่ ? ”

“อืม เป็นไปได้”

“มิใช่ มิใช่แค่เป็นไปได้ แต่ต้องเป็นเช่นนั้นแน่”

“……”

“ดูนั่น ท่านบรรพบุรุษออกมาจากแดนลับแล้ว ! ”

ขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น

จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

ทันใดนั้นบนทุ่งหญ้ากว้างพลันก็เงียบลงจนไร้ซึ่งเสียงใด ๆ

ถูซานเหยา หัวหน้าเผ่าจิ้งจอกวิญญาณได้ยืนอยู่หน้าสุด

เมื่อถูซื่อที่ร่างถูกปกคลุมไปด้วยแสงเจิดจ้าก้าวมาหยุดตรงหน้าของทุกคนแล้ว

ถูซานเหยาจึงได้เอ่ยขึ้นเป็นคนแรก “คารวะท่านบรรพบุรุษ ! ”

“ข้าน้อยคารวะท่านบรรพบุรุษ ! ”

จากนั้นปีศาจในเผ่าจิ้งจอกวิญญาณจึงเอ่ยคารวะตาม ๆ กัน

ก่อนที่ปีศาจหลายร้อยตนที่อยู่ด้านหลัง ต่างก็คุกเข่าลงตามถูซานเหยา

“ลุกขึ้นเถิด” ถูซื่อเอ่ยขึ้น

ตอนนั้นเองถูซานเหยาจึงเงยหน้าขึ้น พร้อมเอ่ยถามออกมาอย่างนอบน้อมว่า “ท่านบรรพบุรุษ เมฆหลากสีสันปกคลุมเขาดอกท้อของเรา ทั้งยังมีเมฆสีม่วงปรากฏขึ้นทางทิศตะวันออกเช่นนี้ มันเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ ? ”

ทุกคนที่ได้ยินต่างก็มีท่าทีที่เต็มไปด้วยความสงสัย

ต่างคนต่างสื่อสารกันทางสายตาเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังถูซื่อเป็นตาเดียว

ทว่าบรรพบุรุษท่านนี้เหมือนจะยังมิเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น จึงมิมีทีท่าว่าจะตอบคำถามนี้แต่อย่างใด

จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งเค่อ

“พวกเจ้าคงยังมิรู้ แม้ทั้งหมดนี้ดูภายนอกจะเป็นนิมิตหมายที่เป็นมงคล”

ในที่สุดถูซื่อก็เอ่ยขึ้น แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา “แต่ความจริงแล้ว กำลังมีคนขโมยโชคจากเขาดอกท้อของเราอยู่”

“ห๊ะ ! ”

ทันใดนั้น มิว่าจะเป็นหัวหน้าเผ่าอย่างถูซานเหยา หรือปีศาจเผ่าจิ้งจอกวิญญาณอีกหลายร้อยตนที่อยู่ทางด้านหลัง

ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

‘ขโมยโชคของเขาดอกท้อไป’

‘หรือว่านี่จะเป็นลางบอกเหตุว่ามียอดฝีมือท่านหนึ่ง ต้องการกำจัดเผ่าจิ้งจอกวิญญาณให้สิ้นซากเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘แต่ว่ามีบางอย่างมิถูกต้อง ! ’

‘เผ่าจิ้งจอกวิญญาณมิเคยเป็นศัตรูกับใคร แล้วจะไปหาเรื่องคนที่น่ากลัวเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน ? ’

‘ยิ่งกว่านั้นการขโมยโชคของเผ่า ๆ หนึ่งไป’

‘อิทธิฤทธิ์เช่นนี้แม้แต่ท่านบรรพบุรุษที่ใกล้จะบรรลุสู่ระดับที่สูงกว่าจ้าวปีศาจก็ยังมิอาจทำได้’

‘ยิ่งมิต้องพูดถึงการหาเรื่องผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนั้น’

คิดถึงตรงนี้ ปีศาจในเผ่าจิ้งจอกวิญญาณต่างก็มองหน้ากัน

ทุกคนต่างก็มีความคิดไปในทิศทางเดียวกัน

‘ก่อนหน้านี้ ท่านบรรพบุรุษออกไปข้างนอกมานี่นา’

‘หรือว่าจะเป็นเพราะท่านบรรพบุรุษ ? ’

‘ใช่แล้ว ! ’

‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ’