บทที่ 94: เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ที่เลือกเขา?

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 94: เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ที่เลือกเขา?

ภูมิประเทศภายในพื้นที่เขาวงกตเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง บ้านเรือนต่างพังทลาย และทหารของทั้งสองฝ่ายต่างล้มลงไปกองกับพื้น ทั่วทั้งบริเวณนี้กลายเป็นพื้นที่ราบเรียบ

การปะทะกันของโรเอลและเวตได้สร้างพลังมหาศาลเหนือจินตนาการ ฝุ่นก้อนมหึมาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับมังกรทะยาน ต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่ทุกอย่างจะสงบลงในที่สุด

เหลือเพียงร่างของเด็กชายผมดำยืนอยู่ตรงใจกลางของการระเบิด เขาจ้องไปที่เวตที่ทรุดตัวลงก่อนจะเดินโซเซไปด้วยร่างกายที่ใกล้หมดสภาพของเขา

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเวตได้พ่ายแพ้ให้กับโรเอลในการปะทะกันระหว่างพลัง แน่นอนว่าด้วยร่างกายที่อ่อนแอของโรเอลนั้น กรันด้าจึงทำได้เพียงแค่ลบล้างคาถาเวทของเวต แต่มันก็มากเกินพอแล้วที่จะทำให้เด็กชายบรรลุชัยชนะ เนื่องจากองค์ชายเวตนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีก่อนหน้านี้ของพอนเต้และวิกตอเรีย ทำให้เขาไม่สามารถคงสภาพตัวเองเอาไว้ได้อีกต่อไปหลังจากที่ต้องสูญเสียพลังเวทเกือบทั้งหมดของเขา

“ข้าไม่เข้าใจ เจ้าเป็นคนนอกรีตไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงเข้ามาขวางทางของข้ากัน?”

เวตนั้นอ่อนแรงจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกต่อไป นับตั้งแต่ตอนที่เขาใช้พละกำลังทั้งหมดเพื่อผลักดันยกระดับตัวเองเข้าสู่ระดับแก่นแท้ 2 เขาก็ต้องแข่งกับเวลา เพื่อที่จะเอาชนะวิกตอเรียและพอนเต้ให้ได้ก่อนที่ร่างกายของเขาจะถึงขีดจำกัด จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้แพ้ให้กับโรเอล แต่แพ้เพราะสภาพร่างกายของตัวเอง

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว โรเอลจึงไม่ได้แสดงท่าทีของผู้ชนะต่อหน้าเวต

โรเอลลากร่างอันอ่อนล้าของเขาไปข้าง ๆ เวต เด็กชายมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้า ไม่ใช่สายตาแห่งการดูถูก แต่เป็นสายตาอันเปี่ยมไปด้วยความเคารพ เขาไตร่ตรองคำถามของเวต ก่อนจะตอบไปอย่างช้า ๆ

“มีหลายสาเหตุ ประการแรก แทนที่ท่านจะก่อสงครามเพื่อการหลอมรวมมนุษยชาติ ผมเชื่อว่าการอุทิศทรัพยากรของเราเพื่อปรับปรุงชีวิตของราษฎรนั้นคุ้มค่ากว่า แต่ถ้าให้ผมต้องเลือกคำตอบสักอย่างจริง ๆ ล่ะก็… ถ้าท่านมีโอกาสจะยกแขนขึ้นมาปกป้องคนที่ท่านรัก ท่านจะทำไหมล่ะ?”

โรเอลกล่าวขณะเหลือบมองไปยังเด็กสาวผมทองที่กำลังวิ่งเข้ามาหาเขา

เด็กสาวคนนั้นก็คือ นอร่าที่รอดมาจากคลื่นกระแทกด้วยอุปกรณ์เวทของเธอ ทันทีที่เด็กสาวได้ยินคำพูดของโรเอลระหว่างทาง ฝีเท้าของเธอก็หยุดลงในทันที ประจวบเหมาะกับเวตที่บังเอิญเหลือบมองไปเห็นช่วงเวลานี้ จากนั้นทั้งสองก็หันมาสบตากัน

“แบบนี้นี่เอง ดูเหมือนเราจะเป็นคนประเภทเดียวกัน…”

เวตแหงนมองท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต พลางหวนนึกถึงภาพของพระมเหสีแมรี่

“ทว่า สำหรับข้าแล้ว ข้าไม่สามารถยกแขนขึ้นมาปกป้องคนที่ข้ารักได้ในยามที่นางตกอยู่ในอันตราย และตอนที่ข้าพร้อมจะปกป้องนาง นางก็จากไปแล้ว”

เมื่อได้ฟังคำพูดของเวต ทันใดนั้นโรเอลก็รู้สึกขัดแย้งเล็กน้อยภายในใจ เวตเป็นคนที่อุทิศชีวิตของตนเพื่อป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมที่เขาเคยประสบเกิดขึ้นกับผู้อื่นซ้ำสอง เขาลุกขึ้นต่อสู้เพื่อพวกนอกรีต ก่อการปฏิวัติเพื่อยื่นอนาคตอันสดใสให้แก่พวกเขา ขณะเดียวกัน เวตก็นำความทุกข์ทรมานและความตายมาสู่ผู้บริสุทธิ์มากมาย

โรเอลอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะเดินไปบนเส้นทางเดียวกันกับเวตหรือไม่ หากตัวเองต้องเจอสถานการณ์แบบเดียวกันกับเขา

ความเงียบงันเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาอยู่พักใหญ่ ๆ ก่อนที่โรเอลจะพูดขึ้นในที่สุด

“แม้ท่านจะล้มเหลวในการปฏิวัติ แต่ท่านก็ยังเป็นจักรพรรดิที่คู่ควรสำหรับประชาชนของท่านนะ”

“โอ้? แล้วทำไมเจ้าถึงยังหันมาต่อต้านข้าอีกงั้นเหรอ?”

“ผมยอมรับในพรสวรรค์และจิตวิญญาณของท่าน แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการและความทะเยอทะยานของท่าน”

“อย่างนั้นหรือ? ช่างเป็นคนที่ดื้อรั้นจริง ๆ สาวน้อย ดูเหมือนว่าในอนาคตเจ้าคงจะต้องลำบากไม่น้อยเลยทีเดียว”

รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเวต ขณะที่เขามองไปยังนอร่าผู้กำลังเดินไปที่ด้านข้างของ โรเอลเพื่อพยุงเขา คำพูดของเวตดูมีความหมายลึกซึ้ง ทำให้นอร่าไม่รู้ว่าเธอควรตอบกลับไปอย่างไรดี

เมื่อมองไปที่เด็กสองคนนี้ เวตก็รู้สึกได้ว่าความโกรธแค้นที่เผาไหม้มาตลอดในตัวเขานับตั้งแต่การเสียชีวิตของพระมเหสีแมรี่ค่อย ๆ สงบลง

บางทีพวกเขาทั้งสองอาจจะนำจักรวรรดิเซนต์เมซิท ไปสู่อนาคตที่ดีกว่าสิ่งที่ข้าวาดฝันเอาไว้ก็ได้? หากความแข็งแกร่งของเด็กคนนี้ ผนวกรวมเข้ากับพรสวรรค์เฉพาะตัวของตระกูลเซไซต์ล่ะก็…

ความคิดดังกล่าวแล่บเข้ามาในหัวของเวต จากนั้นสีหน้าของเขาก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายขึ้น ราวกับว่าองค์ชายเวตนั้นได้ละทิ้งภาระทั้งหมดที่ตนเองแบกรับให้กับโรเอลและนอร่า ก่อนที่จะหลับตาลงเป็นครั้งสุดท้าย

【เวลานับถอยหลังสู่จุดสิ้นสุดของสถานะผู้เฝ้ามอง : 4 ชั่วโมง 2 นาที】

【การประเมินอย่างละเอียด : สมบูรณ์แบบ (102)】

“เป็นอะไรไปเหรอ โรเอล?”

ทันทีที่โรเอลเห็นคำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ สะท้อนอยู่บนระบบ ร่างกายของเขาก็ถึงขีดจำกัดพอดี เด็กชายโยกตัวไปมาอย่างไม่มั่นคงเกือบจะล้มลงไปกับพื้น หากไม่ใช่เพราะนอร่าสังเกตเห็นได้ทันเวลาและเข้ามาพยุงร่างของเขา

“ฉันไม่เป็นไร… แค่ไม่มีแรงจะยืนแล้วเท่านั้นแหละ”

โรเอลแทบจะยืนไม่ไหว เขาเหนื่อยจนรู้สึกหมดหนทาง วิธีเดียวที่จะทำให้เขายืนขึ้นได้ มีเพียงการโอบแขนพิงไปที่ไหล่ของนอร่า เด็กชายแทบไม่รู้สึกถึงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเลย

ผลข้างเคียงจากพลังอันท่วมท้นของกรันด้า ได้สร้างภาระให้กับร่างกายของโรเอลมากเสียจนจิตใต้สำนึกของเขาเริ่มเบลอ ระดับที่ว่าเด็กชายแอบสงสัยด้วยซ้ำว่าเขาจะเสียชีวิตเหมือนเวตทันทีที่หลับตาไปรึเปล่า

กลิ่นของนอร่า ทำให้โรเอลพยายามอย่างเต็มที่จะตั้งสติเอาไว้ พลางเหลือบมองดูการแจ้งเตือนล่าสุดของระบบ

【เวลานับถอยหลังสู่จุดสิ้นสุดของสถานะผู้เฝ้ามอง : 4 นาที 42 วินาที】

เด็กชายถอนหายใจอย่างโล่งอก เวลาในระบบนั้นได้รับการเปลี่ยนแปลงแล้ว หลังจากสามวันที่เต็มไปด้วยอันตรายจนทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว ในที่สุดพวกเขาทั้งสองก็กำลังจะได้ออกไปจากสถานที่แห่งนี้เสียที ดวงตาของโรเอลรื้นขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้

ก่อนจะมาที่นี่ โรเอลนั้นใช้ชีวิตอย่างหรูหรามาโดยตลอด แค่การจัดการรับมือกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันสองสามคนก็ถือเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว

แม้ว่าการถูกทดสอบอย่างกะทันหันเช่นนี้ จะเป็นวิธีการพัฒนาตนเองที่ฝืนเกินไป แต่เพื่อปกป้องนอร่าและปลุกพลังสายเลือด เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันอดทนก้าวข้ามผ่านวิกฤตต่าง ๆ

หลังจากความพยายามทั้งหมดในที่สุดอีก 4 นาทีโรเอลก็จะได้ออกจากสถานที่แห่งนี้แล้ว มันอาจจะไม่พอสำหรับการกล่าวคำอำลาให้กับพอนเต้และคนอื่น ๆ แต่เด็กชายก็ไม่น่าจะสามารถทำแบบนั้นได้อยู่ดี ด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับคำพูดของพวกเขา

เมื่อคิดได้เช่นนั้น โรเอลก็หันไปบอกเรื่องนี้กับนอร่า

“นอร่า พวกเรากำลังจะไปกันแล้ว…”

“พวกเจ้าสองคนไม่เป็นไรใช่ไหม?”

ทันใดนั้นเองวิกตอเรียและพอนเต้ก็วิ่งเข้ามา ขัดจังหวะคำพูดของโรเอลพอดิบพอดี

เมื่อวิกตอเรียสังเกตเห็นร่างของเวตที่ตัวแข็งทื่อหยุดเคลื่อนไหวไปแล้วโดยสิ้นเชิง น้ำตาก็ปริ่มออกมาจากดวงตาของเธอ องค์หญิงผู้สูงส่งเริ่มร้องไห้อย่างเงียบ ๆ ให้กับการจากไปของน้องชายฝาแฝด โดยมีพอนเต้ก้าวออกมาข้างหน้าคอยปลอบโยนเธอ

องค์หญิงวิกตอเรียรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาโศกเศร้าอยู่กับการเสียชีวิตของเวต เธอจึงรีบดึงสติตัวเองกลับมา พร้อมหันไปหาโรเอล เพื่อที่จะถามถึงคำพูดสุดท้ายของเวตในตอนที่เขากำลังจะตาย แต่เมื่อเธอได้เห็นสภาพของโรเอล หญิงสาวก็ต้องสะดุ้งด้วยความประหลาดใจ

“เกิดอะไรขึ้น? ร่างกายของเจ้าได้รับการฟื้นคืนชีพของอันเดธงั้นเหรอ?”

วิกตอเรียมองดูสภาพร่างกายของโรเอลอย่างใกล้ชิดก่อนจะพูดด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง พอนเต้เข้ามาตรวจสอบสภาพของโรเอลอย่างรวดเร็วพร้อมขมวดคิ้ว

“มันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน? นี่คือราคาที่เทพโบราณเรียกร้องจากเขางั้นหรือ?”

“ฟื้นคืนชีพอันเดธ? เทพโบราณ?”

เมื่อมองไปยังใบหน้าอันวิตกกังวลของทั้งสอง โรเอลก็เข้าใจได้โดยปริยายว่าพวกเขากำลังหมายถึงกรันด้า ร่างกายของเขาสูญเสียความรู้สึกทั้งหมดหลังจากที่ได้ใช้หมัดตรงของโครงกระดูกยักษ์ บางทีข้อต่อและเส้นประสาททั้งหมดของเขา น่าจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการใช้กำลังเกินตัว ทันทีที่ตระหนักได้ว่าตนเองอยู่ในสภาพอันน่ากลัวเพียงใด แก้มของเด็กชายก็กระตุกเล็กน้อย

ทว่าไม่ทันที่โรเอลจะได้เอะอะเกี่ยวกับสภาพของตัวเอง คนอื่นก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน

“พวกเราไม่มีพลังเวทเหลือแล้ว… เร็วเข้า นอร่า! เจ้าควรจะเป็นคนรักษาเขานะ!”

“อา? แต่ข้าไม่มีคาถาเวทฟื้นฟูเลยเนี่ยสิ ”

“ไม่ ข้าไม่ได้หมายถึงวิธีนั้น เจ้าครอบครองหนึ่งในดาบแห่งนักบุญ 12 ปีกไม่ใช่เหรอ?”

วิกตอเรียชำเลืองมองดาบสั้นที่ห้อยอยู่ตรงเอวของโรเอล แล้วชักมันออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยัดมันเข้าไปในมือของนอร่าพลางเร่งเร้า

“ใช้มันสิ!”

“ใช้… มัน?”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของโรเอลและนอร่าที่กำลังสับสน วิกตอเรียก็นึกขึ้นได้ว่าเด็ก ๆ ทั้งสองคนยังไม่รู้เกี่ยวกับความสามารถอื่น ๆ ของดาบแห่งนักบุญ 12 ปีก เธอหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจึงอธิบายให้พวกเขาฟัง

“พลังเวทของพวกเจ้าหลอมรวมเข้าด้วยกันระหว่างการเปิดผนึก ส่งผลให้เกิดการฟักตัวขึ้นเป็นความสามารถของดาบ ดังนั้นหากใช้มันเป็นสื่อกลาง พวกเจ้าก็จะสามารถถ่ายโอนพลังเวทไปยังอีกฝ่ายหนึ่งได้ ด้วยการแลกเปลี่ยนเลือดหรือการสัมผัสใกล้ชิด”

โรเอลพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของวิกตอเรียในตอนแรก แต่เมื่อวลีสองสามประโยคสุดท้ายโพล่งออกมา ตาของเขาก็แทบจะพองโตหลุดออกมาด้วยความตกใจ

เดี๋ยวนะ แลกเปลี่ยนเลือด? สัมผัสใกล้ชิด?!

เด็กชายรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่เกี่ยวกับเรื่องนี้ และต้องการให้วิกตอเรียหยุดพูด อย่างไรก็ตามวิกตอเรียไม่ได้สนใจต่อคำวิงวอนเงียบ ๆ ของเขาแต่อย่างใดและยังคง ‘ให้ความรู้’ แก่นอร่าต่อไป

“ตอนนี้เขาไม่สามารถเสียเลือดไปมากกว่านี้ได้แล้ว มิฉะนั้นอาการของเขาจะแย่ลงไปอีก แบบนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะต้องเสียสละตัวเองเพื่อช่วยเขาซะแล้วล่ะ!”

วิกตอเรียฉวยโอกาสนี้ในทันที เธอรู้โดยสัญชาตญาณว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ เป็นแม่สื่อให้กับ ‘น้องสาวคนเล็ก’ ของเธอ ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี มันก็จะไม่ต่างอะไรไปจากการปาหินก้อนเดียวได้นกสองตัว…

ไม่สิ วิกตอเรียเหลือบมองไปที่ พอนเต้ มันน่าจะกลายเป็นนกสามตัวด้วยหินก้อนเดียว…

เมื่อคิดได้ดังนั้น องค์หญิงก็หันไปทางนอร่าอย่างตั้งใจแล้วพุ่งเข้าประเด็นสำคัญในทันที

“นอร่า เจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะเลือกเขา? เจ้าจะไม่เสียใจภายหลังใช่ไหม?”

คำพูดของวิกตอเรียเป็นข้อความลับที่มีแต่คนตระกูลเซไซต์เท่านั้นที่จะเข้าใจ ในฐานะทายาทของทูตสวรรค์ ผู้คนในตระกูลเซไซต์ต่างก็ให้ความสำคัญกับความบริสุทธิ์ของตนเองเป็นอย่างมาก

ตระกูลเซไซต์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง สามารถมีคู่ชีวิตได้เพียงคนเดียวเท่านั้น แม้ว่ามันจะส่งผลให้พวกเขามีลูกหลานน้อยเพียงใดก็ตาม แต่คุณธรรมและความบริสุทธิ์ก็ย่อมสำคัญกว่า

นอร่าเข้าใจสิ่งที่วิกตอเรียกำลังสื่ออย่างรวดเร็ว นัยน์ตาสีไพลินเบิกกว้าง พร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำขึ้นด้วยความเขินอาย โรเอลสังเกตเห็นความผิดปกติในบรรยากาศนี้อย่างรวดเร็ว เขาจึงเข้าแทรกแซงในทันที

“ฉันพอจะถามได้ไหม ว่าพวกเธอสองคนกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกั…”

“ขอโทษนะ โรเอล แต่ข้าคงต้องขอให้เจ้าหุบปากไปก่อนสักพัก”

โรเอลได้แต่สับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“???”

ด้วยสีหน้าท่าทางอันสูงส่ง นอร่ารีบเข้ามาปิดปากโรเอลด้วยน้ำเสียงอันเฉียบคม ขณะเดียวกันพอนเต้ ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า วิกตอเรียคิดจะทำอะไร จอมเวทมองไปทางเด็ก ๆ ทั้งสองคนข้างหน้าเขาอย่างสงสัยว่าพวกเขายังเด็กเกินไปรึเปล่าที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น

“วิกตอเรีย เจ้าไม่คิดว่ามัน…”

“ท่านอาจารย์ ช่วยอย่าสอดเรื่องนี้จะได้รึเปล่าคะ”

พอนเต้สับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นแบบเดียวกันกับโรเอลในทันที

“???”

องค์หญิงทั้งสองแห่งตระกูลเซไซต์ ต่างแสดงบุคลิกอันโดดเด่นของพวกเขาออกมา ทำให้คู่หูชาย จากตระกูลแอสคาร์ด ได้แต่หันมามองกันและกัน พร้อมตระหนักได้ว่าพวกเขามีฐานะต่ำต้อยเพียงใดเมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าหญิงสาวทั้งสองคนนี้

“นอร่า ถ้าเจ้าตัดสินใจแล้วล่ะก็ จงทำในสิ่งที่เจ้าต้องทำ อย่าได้จบลงแบบเดียวกับข้า แม้ว่าข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เขาหนีไปไหนแน่ แต่เรื่องต่าง ๆ มันก็ไม่ง่ายสำหรับข้าอีกต่อไปแล้ว”

วิกตอเรียแบ่งปันบทเรียนที่เธอได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงให้กับนอร่า ซึ่งเด็กสาวก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างว่าง่าย

ชายจากตระกูลแอสคาร์ด มีความตั้งใจอันน่าหงุดหงิดที่จะช่วยเหลือพวกเธอ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นเลย นอกจากนี้เมื่อพวกเธอพยายามจะเข้าใกล้อีกฝ่าย พวกเขาก็จะถอยหนีทันทีด้วยความกลัว เมื่อคิดได้เช่นนั้น นัยน์ตาของนอร่าก็แน่วแน่มั่นคงขึ้นในทันที

“เข้าใจแล้วค่ะ”

นอร่าตอบยืนยันกับวิกตอเรีย ก่อนจะหันไปมองเด็กชายที่กำลังสับสนข้าง ๆ เธอ

ไม่ ๆ เดี๋ยวก่อนนะ เธอเข้าใจอะไรของเธอเนี่ย?

โรเอลยังคงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งสองคนเหมือนกำลังคุยเกี่ยวกับปริศนาบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เด็กชายกลับรู้สึกว่าสายตาที่นอร่าจ้องมาทางเขานั้นมีอันตรายแฝงอยู่ มันเป็นการจ้องมองอันดุร้าย แต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยนและความอบอุ่น แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่แปลกมากสำหรับเขา!

“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจได้แล้ว ข้าก็ขออวยพรให้เจ้าโชคดี!”

วิกตอเรียให้กำลังใจนอร่าพร้อมแสงสีเขียวที่พวยพุ่งออกมาจากศีรษะของเธอ ทันใดนั้นก่อนที่โรเอลจะตอบสนองได้ทัน นอร่าก็พยุงร่างกายของเด็กชายให้สูงขึ้นแล้วจูบปิดริมฝีปากของเขา

“อืม!”

ขณะที่โรเอลกำลังสับสนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นก็มีการแจ้งเตือนจากระบบแล่บเข้ามา

【การนับถอยหลังได้สิ้นสุดลงแล้ว กำลังดำเนินการส่งตัวกลับ】