บทที่ 95: พวกเขาปลอดภัยดี !

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 95: พวกเขาปลอดภัยดี !

แสงริบหรี่สุดท้ายค่อย ๆ ดับลงจากภูเขาพร้อมดวงอาทิตย์ที่ลอยลับขอบฟ้าไป กองไฟเริ่มถูกจุดขึ้นมาข้าง ๆ ค่ายที่ตั้งอยู่ตามทางลาดของภูเขา ผู้คนค่อย ๆ รวมตัวกันรอบ ๆ กองไฟเหล่านั้นพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

แม้เทศกาลล่าสัตว์ปีใหม่ครั้งนี้จะเริ่มขึ้นตามอำเภอใจแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เนื่องจากในกลุ่มของพวกเขามีมาร์ควิสคาร์เตอร์ ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอยู่ด้วย คณะล่าสัตว์นี้จึงแทบจะไม่มีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นเลยตลอดการเดินทาง

พวกเขาเดินทางออกมาจากพระราชวังมาที่หมู่บ้านตรงเชิงเขาเมื่อคืนก่อน ซึ่งก็ได้รู้มาจากชาวบ้านว่ามีนกประหลาดตัวใหญ่ที่สามารถพ่นพิษออกมาได้ กำลังอาละวาดอยู่ในภูเขา ส่งผลให้สัตว์อื่น ๆ ถูกไล่ออกไปจากพื้นที่

นี่เป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับคณะล่าสัตว์ที่กำลังมองหาเหยื่อที่คู่ควร เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาจึงเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา ภายใต้การนำขององค์ชายเคนและมาร์ควิสคาร์เตอร์ ทำให้เพียงแค่เที่ยงวันพวกเขาก็สามารถจัดการสังหารนกประหลาดลงได้สำเร็จ ทว่าคณะล่าสัตว์ได้พบไข่สองสามฟองในรังของมัน และเลือกที่จะส่งพวกมันกลับไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์

หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาที่เหลือชำแหละร่างของนกประหลาด ถอนขน ผิวหนัง เนื้อ และถุงพิษของมันออกมา นำมาใช้เป็นสื่อในการร่ายคาถาเวท ก่อนที่จะเผาซากที่เหลือด้วยคบเพลิง นี่ถือเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้ช่วยปกป้องวิถีชีวิตของชาวบ้านในภูมิภาคภูเขาไปด้วย มันเป็นโอกาสอันควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง ทำให้บรรยากาศก็มีชีวิตชีวายิ่งกว่าที่เคย

แต่ตรงหัวมุมของกองไฟ มีเด็กสาวผมสีเงินคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ด้วยสีหน้าอันมืดมน ทำให้บรรยากาศดูสลดลงไปเล็กน้อย

อลิเซียอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก คิ้วอันสวยงามของเธอโค้งลงมา ดวงตาสะท้อนให้เห็นถึงความกังวล และความหงุดหงิด มันเป็นบรรยากาศที่ทำให้คนรอบตัวต่างก็ต้องรู้สึกเห็นอกเห็นใจไปตาม ๆ กัน

แม้เด็กสาวจะติดอยู่บนภูเขาลูกนี้ แต่หัวใจของเธอนั้นอยู่ไกลออกไปในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริง อลิเซียควรได้เข้าร่วมงานเลี้ยงของราชวงศ์นี้ร่วมกับโรเอล และเทศกาลล่าสัตว์ปีใหม่นี้ก็ควรจะกลายเป็นความทรงจำอันล้ำค่าระหว่างพวกเขาทั้งสอง ทว่าโรเอลกลับถูกเชิญโดยพระสังฆราชจอห์นทำให้ทั้งสองแยกจากกัน

แค่นี้มันก็น่าหดหู่ใจมากแล้วสำหรับอลิเซียที่ไม่สามารถใช้เวลาปีใหม่ร่วมกับพี่ชายสุดที่รักของเธอ ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายเคนและคนอื่น ๆ ยังได้ส่งนอร่าไปที่คฤหาสน์เขาวงกตในช่วงที่เธอไม่อยู่เสียอีก? นั่นก็ไม่ต่างอะไรไปจากการราดน้ำเกลือลงบนแผลของเธอเลยจริง ๆ!

อลิเซียไม่ได้เกลียดนอร่า กลับกันแล้วเธอชื่นชมองค์หญิงเป็นอย่างมาก พรสวรรค์ของนอร่าในฐานะองค์หญิงแห่งจักรวรรดิเซนต์เมซิทและบรรยากาศอันทรงพลัง สง่างาม สูงส่ง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ติดตามรับใช้ของเธอล้วนเป็นของจริง หากไม่ใช่เพราะโรเอลแล้วล่ะก็ อลิเซียก็อาจยอมเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของนอร่า อย่างไรก็ตามโชคชะตาไม่ได้เป็นไปตามนั้น…

สำหรับอลิเซียแล้ว การพบกับโรเอลนั้นเป็นดั่งดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาที่ได้รับหยาดน้ำค้างในยามเช้า แม้ว่าจะมีน้ำอื่น ๆ บนโลกที่สามารถทำให้เธอเบ่งบานได้อย่างสวยงามยิ่งขึ้น แต่เด็กสาวก็ไม่มีทางที่จะเลือกสิ่งอื่น เนื่องจากเธอได้ตัดสินใจแล้วว่าน้ำค้างยามเช้านั้นเป็นสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุด

แต่ใครเล่าจะไปคิดว่าพี่ชายผู้อบอุ่นและใจดีของเธอ จะไปต้องตาขององค์หญิงนอร่าซะได้ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนกำลังอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน!

นี่มันอันตรายมากจริง ๆ! พี่ใหญ่โรเอล ต้องอยู่ให้ห่างจากเธอนะคะ!

เสียงระฆังเตือนเหตุร้ายดังขึ้นในหัวของอลิเซีย ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เด็กสาวก็ไม่สามารถทำอะไรได้ มันไม่มีเหตุผลสำหรับเธอที่จะขอให้คาร์เตอร์ส่งตัวเธอกลับไปในตอนนี้ ดังนั้นอลิเซียจึงทำได้เพียงแค่นั่งอย่างเหงา ๆ บนท่อนไม้ เคี้ยวเนื้อนกย่างสด ๆ และเฝ้าดูเหล่าคุณลุงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

แม้ค่ำคืนจะมืดมิด แต่พวกผู้ใหญ่ก็ยังคงร้องเพลงเต้นรำกันอย่างสนุกสนานร่าเริงรอบกองไฟ แต่สำหรับเด็กอย่างอลิเซียมันถึงเวลานอนแล้ว เหล่าคนรับใช้จึงได้เตรียมเต็นท์นอนและอุปกรณ์เวทสำหรับกำจัดเสียงรบกวนให้กับเธอ เพื่อที่อลิเซียจะได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่

นี่เป็นความคิดริเริ่มของแอนนา หัวหน้าสาวใช้ที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่ง อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าคณะแฟนคลับคู่รัก โรเอล X อลิเซีย แอนนาคิดว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเธอที่จะต้องบริการความสะดวกสบายให้กับว่าที่นายหญิงในอนาคตของตระกูลแอสคาร์ด

แอนนาเตือนอลิเซียอย่างเงียบ ๆ ว่าตอนนี้ถึงเวลาที่เธอจะต้องนอนพักผ่อนแล้ว จากนั้นพวกเธอทั้งสองคนจึงเดินกลับไปที่เต็นท์ ทว่าระหว่างทางพวกเธอก็ได้ยินเสียงอุทานอย่างประหลาดใจของมาร์ควิสคาร์เตอร์ดังขึ้นมา

“อะไรนะ? มีเหตุฉุกเฉินที่คฤหาสน์เขาวงกตงั้นเหรอ?”

บิชอปฟิลิปเพิ่งพบปัญหาเล็ก ๆ ในชีวิต

ฟิลิปนั้นแต่งกายด้วยชุดคลุมศักดิ์สิทธิ์สีขาวโดยมีเสื้อเกราะลูกโซ่เสริมด้านใน มาพร้อมกับอาวุธประจำตัวอย่างไม้เท้าเวท ขณะนี้เขากำลังยืนอยู่หน้าห้องสมุดในคฤหาสน์เขาวงกต มองดูเด็กสองคนกอดกันแน่นต่อหน้าต่อตา

ข่าวดีก็คือเด็กทั้งสองคนนี้คือเป้าหมายที่ฟิลิปจะต้องช่วยให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกลัทธิชั่วร้าย โรเอล แอสคาร์ด และนอร่า เซไซต์

ฟิลิปน่าจะดีใจที่ได้เห็นว่าพวกเขาปลอดภัยดี แต่ปัญหาก็คือสภาพที่พวกเขาปรากฏตัวออกมา จู่ ๆ ทั้งสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นมาในห้องพร้อมกับแสงสว่างอย่างกะทันหัน

อันที่จริงแล้วฟิลิปรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเขาได้รับคำสั่งจากพระสังฆราชจอห์น ให้ช่วยชีวิตองค์หญิงน้อยผู้ล้ำค่าของราชวงศ์เซไซต์

องค์หญิงนอร่านั้นถือเป็นสมบัติของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ภัยคุกคามต่อชีวิตของเธอจึงถือว่าเป็นวิกฤตระดับชาติ!

ฟิลิปจึงได้รวบรวมอัครสาวกผู้กรำศึกมาถึง 100 คนจากพระราชวัง พวกเขารีบรุดควบม้าตรงมายังคฤหาสน์เขาวงกตของตระกูลแอสคาร์ด

ทันทีที่มาถึงเขาก็แจ้งให้เหล่าทหารองครักษ์ที่ประจำอยู่ ณ คฤหาสน์ว่าโรเอลและนอร่านั้นกำลังตกอยู่ในอันตราย ทุกคนต่างก็ตอบกลับด้วยท่าทีสงสัย แต่ก็ไม่มีใครชะล่าใจและเริ่มตรวจสอบในทันที

หลังจากนั้นทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด

กองกำลังอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งประกอบไปด้วยบิชอป อัครสาวก ราชองครักษ์ และองครักษ์ส่วนตัวของตระกูลแอสคาร์ด ล้วนพุ่งมาที่ห้องสมุดในคฤหาสน์อย่างบ้าคลั่งด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ทำให้สาวใช้ที่ประจำการอยู่นอกห้องอย่างมีอาเกือบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นกลัว

เมื่อประตูถูกเปิดออก เหล่าชายหญิงที่กำลังหายใจหอบต่างก็ต้องเห็นสภาพห้องอันว่างเปล่า ปราศจากผู้คน ทำให้ความเงียบอันหนักอึ้งปกคลุมพร้อมกับความตื่นตระหนกที่คุกรุ่นอยู่ในใจของทุกผู้

ผู้บัญชาการกองกำลังส่วนตัวของตระกูลแอสคาร์ดรีบติดต่อไปที่มาร์ควิสคาร์เตอร์ทันที เพื่อแจ้งสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ให้เขาทราบ ซึ่งหัวหน้าราชองครักษ์เองก็ทำเช่นเดียวกัน เพียงแต่แจ้งไปที่องค์ชายเคนแทน

ฟิลิปจ้องมองไปยังที่เกิดเหตุด้วยความตื่นตกใจจนต้องอ้าปากค้าง ได้แต่สงสัยว่าพระสังฆราชชราภาพด้วยวัยชรา จนส่งตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องมาให้เขางั้นหรือ?

จากนั้นท่ามกลางความโกลาหล แสงสว่างก็วูบวาบขึ้นมาในห้องสมุด

ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น ล้วนเป็นนักรบฝีมือดีพร้อมด้วยประสาทสัมผัสอันเฉียบแหลม ปฏิกิริยาแรกของพวกเขา จึงคิดว่าพวกเขากำลังถูกโจมตี

ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง !

แม้จะยังไม่ได้รับคำสั่งใด ๆ แต่ทหารทั้งหมดต่างก็ดึงดาบออกมาจากฝักดาบโดยพร้อมเพรียง ตั้งท่าพร้อมรบสังเกตสถานการณ์อย่างระมัดระวัง

“นี่มันฝีมือของใครกัน? ศัตรูอยู่ที่ไหนแล้ว?”

“เกิดอะไรขึ้น?”

“เดี๋ยวก่อน มีคนอยู่ในแสงสว่างนั่น!”

“ฝ..ฝ่าบาท!”

และนี่ก็คือสถานการณ์ทั้งหมดในปัจจุบันของฟิลิป

อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งสรุปเหตุการณ์ การปรากฏตัวของโรเอลและนอร่านั้นเป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น เพราะฟิลิปได้สังเกตเห็นข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้น ซึ่งทำให้เปลือกตาของเขากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้

แม้ว่าฟิลิปจะโสดมานานกว่า 40 ปีแล้ว แต่ความรู้สึกสะดุ้งแปลบ ๆ ของผู้ใหญ่ก็กำลังบอกเขาว่า การที่เด็กทั้งสองคนกอดกันระหว่างหมดสติอย่างผิดธรรมชาติเช่นนี้ต้องมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ๆ หากเขาเดาไม่ผิดล่ะก็ หมายความว่าความหวังของจักรวรรดิเซนต์เมซิทอย่างองค์หญิงนอร่าผู้เป็นที่รักของพวกเขา กำลังประกบริมฝีปากกับเด็กชายจากตระกูลแอสคาร์ดคนนี้ ก่อนที่พวกเขาจะหมดสติล้มลงไป!

หากตัดสินจากท่าทางของพวกเขาล่ะก็… มันไม่ใช่แค่การจูบเล่น ๆ ทั่ว ๆ ไปแน่!

ฟิลิปตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้เป็นอย่างยิ่ง ตลอด 40 ปีแห่งความเป็นโสดของเขา ไม่มีวันไหนเลยที่ทำให้เขาจะสามารถรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้ นอกจากนี้…

“อย่าแตะต้องพวกเขานะ! พวกเขาทั้งสองกำลังเชื่อมโยงกันด้วยคาถาเวทบางอย่าง!”

ฟิลิปตะโกนอย่างร้อนรนใส่ทหารองครักษ์ที่กำลังวิ่งเข้าไปหาเด็กทั้งสองคนด้วยความกระวนกระวายใจ ดวงตาอันแหลมคมของเขา ทำให้ฟิลิปเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างคร่าว ๆ นั่นก็เพราะบิชอปสังเกตเห็นดาบสั้นสีเงินที่ห้อยอยู่ตรงเอวของโรเอล

“พวกเขากำลังใช้ความสามารถของดาบแห่งนักบุญ 12 ปีก ตอนนี้อย่าเพิ่งไปแตะต้องพวกเขา มันเป็นไปได้ว่าหนึ่งในพวกเขามีคนนึงได้รับบาดเจ็บสาหัส และอีกคนกำลังส่งพลังเวทไปให้เพื่อรักษาอาการนั้น ตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนปลอดภัยแล้ว แต่ถ้าหากพวกเราคนใดคนหนึ่งเคลื่อนไหวพวกเขาโดยประมาทล่ะก็ไม่แน่..”

ฟิลิปมองดูใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินของเด็ก ๆ ทั้งสอง บิชอปไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่าใครคือคนที่ได้รับบาดเจ็บ ในฐานะอดีตสมาชิกของภาคีอัครสาวก ความสามารถในการต่อสู้ของเขาในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติถือว่าแข็งแกร่งมาก อย่างไรก็ตาม การรักษาฟื้นฟูนั้นไม่ใช่สาขาความรู้ที่เขาเชี่ยวชาญ ฟิลิปจึงไม่กล้าลงมือทำอะไรโดยประมาท

เขาจึงออกคำสั่งให้ผู้ที่มีความสามารถด้านการฟื้นฟูมาตรวจสอบสภาพของเด็ก ๆ แทน

“เรียกนักบวชจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์มาที่นี่สิ!”

สิ้นเสียงออกคำสั่ง ลูกน้องคนหนึ่งของฟิลิปก็ติดต่อไปทางโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอกำลังเสริมในทันที

ขณะนี้ห้องสมุดได้เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายสถานะ ไม่ว่าจะเป็นบิชอป ผู้บัญชาการทหารระดับสูง หรือคนรับใช้ผู้ถ่อมตน ทุกคนต่างจ้องมองกันและกันอย่างอึดอัด โดยไม่รู้ว่าตัวเองควรจะต้องทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ ความต้องการที่จะพูดคุยซุบซิบของพวกเขาถูกจุดขึ้น หลังจากได้เห็นสภาพของเด็กชายและเด็กหญิงที่กำลังโอบกอดกันแน่นอยู่บนพรม

จริง ๆ แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก สำหรับเด็กในวัยเดียวกันที่จะโอบกอดกัน เว้นแต่จะมีการจูบกันเหมือนในกรณีนี้

มันเป็นเรื่องปกติของผู้คนในทวีปเซียที่จะแต่งงาน เมื่ออายุได้ 14 หรือ 15 ปี ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กอายุ 12 หรือ 13 ปีจะหมั้นหมายกัน แต่พวกโรเอลมีอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้น… พวกเขาจึงสงสัยว่านี่มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?

นอกจากนี้ตระกูลเซไซต์ยังเป็นที่รู้จักกันในเรื่องแนวคิดมีคู่ชีวิตเพียงคนเดียวตลอดชีวิต จากสภาพในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าองค์หญิงของพวกเขาจะมีคนในใจนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากทายาทของตระกูลแอสคาร์ดคนนี้นั่นเอง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเสียจนพวกเขาไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้

“มีอา พวกเราควรจะนำอะไรมาให้พวกเข… หืม? ม..มีอา?”

ฟิลิปตั้งใจจะขอให้มีอานำอะไรมาคลุมปกปิดเด็ก ๆ ทั้งสองเอาไว้ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของพวกเขา ทว่าสาวใช้กลับเริ่มร้องไห้ขึ้นมา ทำให้บิชอปต้องประหลาดใจ

???

ก…เกิดอะไรขึ้น?

องค์หญิงปลอดภัยดีนี่นา แล้วเธอจะร้องไห้ไปทำไมกัน?

ฟิลิปคงนึกไม่ถึงว่าที่เขากำลังเห็นอยู่คือการถือกำเนิดของหัวหน้าแฟนคลับคนใหม่ ขณะเดียวกัน มีอาก็ไม่ได้กังวลว่าคนนอกจะมองเธออย่างไร นั่นก็เพราะสาวใช้กำลังหมกมุ่นอยู่กับความตื่นเต้นนั่นเอง

กี่ปีแล้วนะที่องค์หญิงของเราต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว? ในที่สุดฝ่าบาทก็พบความสุขของตัวเองเสียที!

มีอากัดผ้าเช็ดหน้าด้วยความปลื้มปริ่มพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาอาบบนใบหน้า

ฟิลิปได้แต่งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาหันมองไปมา สลับระหว่างเด็กทั้งสองคนที่กำลังโอบกอดกันอยู่ และ มีอาอยู่หลายครั้ง แต่บิชอปก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าสาวใช้ร้องไห้ออกมาเพราะอะไร

อา เธอน่าจะกำลังตกใจสินะ

หลังจากพยายามหาเหตุผลอยู่พักใหญ่ ๆ ฟิลิปก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะสร้างกำแพงสีทองมาล้อมรอบเด็ก ๆ ทั้งสองเอาไว้ จากนั้นเขาก็ปรบมือเพื่อเรียกความสนใจของทุกคน

“ไม่จำเป็นที่พวกเราทุกคนจะต้องยืนรอนักบวชจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ พวกเจ้าทุกคนควรกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองกันได้แล้ว ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกลนัก!”

คำพูดของฟิลิปทำให้ทุกคนได้สติ และองครักษ์ต่างก็รีบวิ่งกลับไปยังจุดประจำการของตนอย่างรวดเร็ว พวกเขารู้อยู่แล้วว่าคืนนี้คงจะไม่ใช่คืนที่สงบสุข

แม้หัวใจของพวกเขาจะยังไม่สงบลงด้วยอาการตื่นตระหนก จากการหายตัวไปของโรเอลและนอร่าก่อนหน้านี้ แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นอีกในค่ำคืนนี้

พวกที่มาจากโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่ได้รู้เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เท่าไหร่เช่นกัน ตอนนี้สหายของพวกเขาในภาคีอัครสาวกกำลังทำงานล่วงเวลาไล่ล่าพวกลัทธิชั่วร้ายด้วยดาบใหญ่ในมือ สำหรับพวกเขานี่คือภารกิจอันคู่ควรครั้งแรกในรอบหลายปี นับตั้งแต่เข้ามาประจำการอยู่ในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรน

หากพูดกันตามตรง พวกเขาค่อนข้างพอใจกับภารกิจนี้เช่นกัน

โดยปกติแล้วภาคีอัครสาวกถือเป็นกองทัพสำรองที่ได้รับค่าจ้างจากโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง ภารกิจของพวกเขามักจะอันตรายมากเป็นพิเศษ ทำให้พวกเขาต้องเดินทางไปตามหมู่บ้านอันห่างไกล หรือหุบเขาลึกลับเพื่อจัดการกับลัทธิชั่วร้าย

อย่างไรก็ตามศัตรูของภาคีอัครสาวกในคราวนี้นั้นอยู่ภายในเมืองลอเรน ฐานทัพของพวกเขาเอง ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงอุปกรณ์เวทต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว พร้อมด้วยบริการช่วยเหลือทางการแพทย์ ภารกิจนี้จึงปลอดภัยกว่าสิ่งที่พวกเขาทำกันตามปกติมาก

ที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาจะได้รับรางวัลพิเศษ สำหรับการจับกุมผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย ประกอบกับค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในช่วงวันหยุด ที่ทำให้พวกเขาได้รับค่าจ้างเป็นสองเท่า ซึ่งแน่นอนว่าภาคีอัครสาวกยินดีอย่างยิ่งที่จะกางแขนรับรางวัลนี้!

ใครเล่าจะไม่รักเงิน?

อันที่จริงฟิลิปไม่แปลกใจเลยที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงปีใหม่ ลัทธิชั่วร้ายในทวีปเซียนั้นทรงพลังมาก แต่พวกเขาต้องจ่ายราคาหนักสำหรับความแข็งแกร่งของตนเอง เงื่อนไขบางประการสำหรับผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย คือต้องถวายเครื่องบรรณาการในเทศกาลต่าง ๆ เช่นปีใหม่

เนื่องจากอิทธิพลอันทรงพลังของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างในจักรวรรดิเซนต์เมซิท ผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายจึงไม่มีใครกล้าที่จะก่อเหตุร้ายขึ้นที่นี่ แต่หากได้ทำการสอบสวนเกี่ยวกับรายงานผู้สูญหายในประเทศอื่น ๆ แล้วล่ะก็ จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ามีจำนวนผู้สูญหายมากเป็นพิเศษในช่วงปีใหม่

อันที่จริงแล้วในสถานที่อื่น ๆ ช่วงปีใหม่นั้นถือได้ว่าเป็นช่วงภัยพิบัติเลยทีเดียว พลเรือนผู้บริสุทธิ์จะต้องซ่อนตัวอยู่ในภูเขาด้วยความกลัว เลือกที่จะทนต่อความหนาวเย็นและความหิวโหยในถิ่นทุรกันดาร แทนที่จะใช้เวลาปีใหม่ในหมู่บ้านของตน เพราะลัทธิชั่วร้ายมักจะฉวยโอกาสบุกโจมตีในช่วงเวลานี้นั่นเอง ซึ่งหมู่บ้านทั่ว ๆ ไปที่อ่อนแอ ย่อมไม่มีโอกาสที่จะต่อต้านกับพวกเขาเหล่านั้นได้เลย

เมื่อนึกถึงโศกนาฏกรรมต่าง ๆ ที่ตนได้เห็นมาขณะทำภารกิจภายนอกเมืองหลวง ฟิลิปก็หลับตาลงสวดอ้อนวอนขอให้ผู้ที่ต้องอยู่ภายใต้ความกลัวอยู่รอดปลอดภัยไปได้ในปีนี้

ทันใดนั้นเองผู้ส่งสารของตระกูลแอสคาร์ดที่มีพรสวรรค์ด้านคาถาเวทสื่อสารก็เดินเข้ามาในห้องสมุด

“ท่านบิชอป ข้าคือ คาร์เตอร์ แอสคาร์ด ข้าอยากเห็นบุตรชายของข้า!”

“พี่ใหญ่โรเอล!”

“มาร์ควิสคาร์เตอร์ เรียกข้าว่าฟิลิปเถอะ บุตรชายของท่านปลอดภัยดี ท่านไม่ต้องกังวลไป อา มีเด็กสาวอยู่กับท่านด้วยงั้นเหรอ…?”

ขณะที่ฟิลิปพูดให้ความมั่นใจกับคาร์เตอร์และอลิเซีย เขาก็ก้าวออกมาเพื่อแสดงกำแพงสีทองที่เขากางขึ้นมา ขณะเดียวกัน บิชอปก็สังเกตเห็นเด็กสาวผมสีเงินในคาถาสื่อสาร และถามขึ้นมาอย่างอยากรู้อยากเห็น เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าตระกูลแอสคาร์ดมีลูกสาวอยู่ด้วย

เฮ้อ! ดูใบหน้าอันโศกเศร้ากังวลใจของเธอสิ พวกเขาทั้งสองคนต้องสนิทกันมากแน่ ๆ! เราควรรีบแสดงให้เห็นว่าพี่ชายของเธอปลอดภัยดี เพื่อที่เธอจะได้สบายใจ!

ฟิลิปโบกมือสลายกำแพงสีทองลงเหมือนม่านที่ตกลงมา ด้านบนพรมหลังกำแพงสีทอง มีร่างของเด็กสองคนกำลังกอดกันแน่นเหมือนคู่รักที่ใกล้จะจูบกัน เขาชี้ไปที่เด็กสองคนนั้นพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มอันสง่างาม

“ดูสิ พวกเขาปลอดภัยดี ไม่ต้องกังวลไปหรอก”

ที่น่าสงสัยก็คือ คาร์เตอร์และอลิเซียที่กำลังยืนตัวแข็งทื่ออยู่ในขณะนี้ ได้ยินคำพูดของเขารึเปล่า?