บทที่ 93 ศิลายักษ์ในทะเลทราย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“อยากโชคดีเหมือนเจ้าจริงๆ มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย” จินเฟยเหยาจุปาก มองอี้จือพลางเอ่ยอย่างอิจฉา

“ข้าสุขสบายอะไร เจ้าก็อยู่อย่างสบายมิใช่หรือ” อี้จือมองพั่งจื่อด้านหลังนาง ถามอย่างสงสัย “กบของเจ้าเป็นสัตว์ภูติอะไร ท่าทางเชื่อฟังยิ่ง ข้าไม่เคยเห็นสายพันธุ์นี้มาก่อน”

“นี่หรือ? ไม่ใช่สัตว์ภูติล้ำค่าอะไร เป็นแค่สัตว์ปิศาจธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น หาได้ง่ายยิ่ง” จินเฟยเหยายิ้มอย่างเกรงอกเกรงใจ

“โอ๋? เป็นสัตว์ภูติอะไรกันแน่”

จินเฟยเหยาอยากจะบอกว่าเป็นกบผานอวิ๋น ทว่าพินิจลักษณะของพั่งจื่อ นอกจากลายเมฆแล้วก็มีลักษณะเหมือนกบผานอวิ๋นแค่สองอย่าง เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก หลังจากครุ่นคิดนางจึงเอ่ยว่า “นี่เรียกว่าไท่จื่อโซ่ว เป็นสัตว์ภูติที่ข้าซื้อมาจากแผงข้างทาง เจ้ากลับไปลองหาดูในเมืองลั่วเซียน น่าจะหาไม่ยาก”

“ไท่จื่อโซ่ว[1]? ชื่อนี้ประหลาดนัก” อี้จือมองพินิจพั่งจื่ออย่างสังสัย ส่วนพั่งจื่อหลังจากได้ยินจินเฟยเหยาบอกว่ามันเป็นไท่จื่อโซ่ว พลันเชิดคางขึ้น ยืดอกไพล่แขนไว้ด้านหลัง ทำท่าทางอหังการอย่างเต็มที่

ประหลาดหรือ? ย่อมประหลาดแน่นอน กบที่มีระดับความสำราญในการใช้ชีวิตไม่ด้อยไปกว่าไท่จื่อ ผู้ใดเลี้ยงผู้นั้นย่อมรู้รสชาติ จินเฟยเหยาหัวเราะหึหึ ตำหนิในใจ

จินเฟยเหยาเพียงแค่พูดไปอย่างนั้นเอง อี้จือกลับเชื่อ ปรบมืออย่างดีใจพลางเอ่ยว่า “ข้าจะไปหาอาจารย์เดี๋ยวนี้ ให้นางหาไท่จื่อโซ่วให้ข้าสักตัว ท่าทางมันโง่งม ข้าชอบเป็นพิเศษ น่าสนใจจริงๆ”

“อืม เจ้าค่อยๆ หาไป ต้องหาพบแน่ ตอนนั้นข้าใช้ไข่แมวบินได้แลกมา เจ้าอย่าจ่ายแพงนัก ราคาเท่านี้เพียงพอแล้ว” จินเฟยเหยาเอ่ยเตือนด้วยเจตนาดี

“ขอบคุณ” อี้จือรับคำ วิ่งไปที่หอน้อยภายในเรือ

“อ๊บ” หลังอี้จือจากไป มันรีบเรียกจินเฟยเหยาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

“มีอะไรไม่พอใจ ข้าเห็นว่าเจ้าก็ชอบชื่อไท่จื่อโซ่วมากนี่นา ดูเจ้าเชิดคางยืดอกสิ อย่าได้ฝันไปเลย” จินเฟยเหยาหันหน้ามามองพั่งจื่อ หัวเราะฮาๆ เสียงดัง

พั่งจื่อได้ยินคำพูดของนาง ก็ไม่ปฏิเสธ เพียงแต่กลิ่นอายเย่อหยิ่งอหังการยิ่งเห็นได้ชัดเจน มันเชื่อว่าตนเองเป็นไท่จื่อโซ่ว เช่นนั้นก็ต้องมีท่วงท่าที่เหมาะสมให้สอดคล้องกัน มันตัดสินใจแล้วว่าจากนี้ไป จะมีชีวิตอยู่ด้วยบุคลิกของไท่จื่อ[2]

“ดูท่าทางเจ้าสิ ไม่รู้ว่าไท่จื่อเป็นอย่างไรสินะ” จินเฟยเหยาหันหน้ามาเย้ยหยันมัน

พั่งจื่อไม่สนใจนาง ยังนั่งวางมาดอยู่บนพรมบินดังเดิม ดวงตาที่ปกติลืมอยู่ตลอดเวลา เริ่มหลุบลงครึ่งหนึ่ง คิดว่าตนเองไร้เทียมทานถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นเมฆาที่ล่องลอย

การบินครั้งนี้บินมาครึ่งเดือนกว่า คิดไม่ถึงว่าหนทางจะไกลปานนี้ เรือเหาะถือว่าบินไม่เร็ว ทว่าต่อให้บินช้า บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนที่ขี่ของวิเศษก็ยังลำบากเหมือนเดิม ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนมากเริ่มกินยาเสริมพลัง หลังจากเจรจากับสำนักเฉวียนเซียน พวกเขาจึงฝืนใจตกลงให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่ใช้พลังวิญญาณหมดเกลี้ยงขึ้นมาฟื้นฟูพลังวิญญาณบนเรือได้ ทว่าอย่างมากขึ้นได้แค่ครั้งละสองคน

“ฟู่ว…” จินเฟยเหยาถอนหายใจยาว เงยหน้ามองไปยังที่ไกลๆ อีกนานเพียงใดจึงถึงจุดหมาย ตะเกียบในมือยืนเข้าไปในหม้อ นางคีบเนื้อชิ้นหนึ่ง เป่าแล้วใส่ปาก เคี้ยวเนื้อพลางเอ่ยพึมพำ “ฝีมือของต้านิวดีขึ้นทุกที จ๋าจู่[3]หม้อนี้อร่อยจริงๆ รสชาติเยี่ยมทั้งยังสดใหม่ ข้าว่านะพั่งจื่อ เจ้ารีบแต่งงานกับต้านิวเถอะ ฝีมือเยี่ยมขนาดนี้ ถ้ากบตัวอื่นแย่งไป เจ้าอย่าเสียใจภายหลังนะ”

“อ๊บๆ” พั่งจื่อไม่สนใจคำเตือนของจินเฟยเหยาเลยสักนิด กบผานอวิ๋นในโลกนี้ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีที่ตัวใหญ่สักตัว

บนพรมบิน กบร่างใหญ่เกินขนาดตัวหนึ่ง กำลังนั่งล้อมหม้อขนาดใหญ่บนเตาหิน กินอาหารนานาชนิดที่ต้มในนั้นราวกับสาวน้อยผู้งดงามและบอบบาง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่จินเฟยเหยาซื้อไว้ล่วงหน้าและใส่ไว้ในอ่างเรียกทรัพย์ระยะหนึ่งแล้ว หลายวันนี้ต้านิวพบว่าอาหารจำนวนมากใกล้จะเสีย จึงรีบออกมาหารือกับจินเฟยเหยา ว่าจะกินทั้งหมดหรือไม่

กินให้หมดนั้นไม่มีปัญหาเลยสักนิด เพียงแต่อาหารมีมากเกินไปและผสมปนเปกัน จินเฟยเหยาจึงแนะนำให้ต้มทุกอย่าง ระหว่างทางนางสูญเสียพลังวิญญาณในการใช้งานพรมบิน ถ้าหากไม่กินยา ก็ต้องกินอาหารมาเสริมพลังวิญญาณในร่างกาย นี่คือความแตกต่างอย่างมากระหว่างนางกับผู้บำเพ็ญเซียนอื่นๆ พวกเขาต้องอาศัยการดูดซับปราณวิญญาณระหว่างฟ้าดิน ทว่าจินเฟยเหยาสามารถดูดซับพลังวิญญาณจากอาหารได้โดยตรงเนื่องจากฝึกเคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ

เพียงแต่เนี่ยนซีมีลักษณะเหมือนคนเกินไป ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนจะเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ภูติ ถ้าพาเนี่ยนซีออกมา จะทำให้คนสงสัยฐานะของนางได้ง่าย สัตว์ภูติที่หน้าตาเหมือนคน หาได้ยากยิ่ง อาจจะถูกบรรดาสัตว์ประหลาดเฒ่าเอาตัวไปทันที ถูกคนสงสัยฐานะของนางนั้นยังดี ถ้ามีคนนึกว่าในตัวจินเฟยเหยามีพื้นที่มิติ ดังนั้นจึงสามารถให้คนเข้าออกได้ เกรงว่าคงต้องถูกรุมสับเละตายคาที่

ถ้าทิ้งเนี่ยนซีไว้ในอ่างมายาจิ่งเทียนคนเดียวก็น่าสงสารเกินไป ดังนั้นจึงทิ้งต้านิวไว้ในนั้นด้วย เป็นเพื่อนนางกินอาหารอีกหม้อ หม้อนี้หลังจากที่ต้านิวปรุงเสร็จแล้ว ก็ให้จินเฟยเหยาแสร้งหยิบออกมาจากในกระเป๋าเก็บของ

เห็นบนพรมของพวกนางมีทั้งสุราและเนื้อ อีกทั้งพื้นที่พรมก็กว้างขวาง กินอิ่มหนำแล้วจินเฟยเหยายังสามารถนอนได้อย่างสบาย ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนที่ขี่ของวิเศษโดยรอบอิจฉาอย่างยิ่ง พวกเขาแอบตัดสินใจว่า ต่อไปจะต้องหาของวิเศษบินได้ที่ทั้งกว้างทั้งใหญ่ จะไม่ใช้สิ่งที่ต้องยืนจนสองขาเป็นเหน็บเช่นนี้อีก

เดิมทีคนเหล่านี้งดอาหารมานานแล้ว อาจจะมีบางคนไม่ได้กินอาหารมาหลายสิบปี เพื่อประหยัดเวลา และรู้สึกว่ายุ่งยาก ทว่าถูกจินเฟยเหยาทางด้านข้างกินตลอดตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทำให้คนอดเกิดความอยากอาหารขึ้นมาไม่ได้ อีกทั้งหนึ่งคนหนึ่งตัวนี้เป็นผีหิวโหยกลับชาติมาเกิดโดยแท้ บอกว่าพวกนางเป็นหมูสองตัวก็ไม่เกินเลย ไม่ว่าอาหารอะไรก็สามารถทำให้พวกนางน้ำลายไหลได้

แม้แต่อี้จือ ไม่มีอะไรก็วิ่งมาข้างเรือ มองจินเฟยเหยาอย่างตะลึงงัน กำยางดอาหารในมือแน่น ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจินเฟยเหยาจึงกินอาหารธรรมดาพวกนี้อย่างเอร็ดอร่อยยิ่งนัก

กินอิ่มแล้ว จินเฟยเหยาก็คาบไม้จิ้มฟัน กึ่งนั่งกึ่งนอนบนพรมอย่างเกียจคร้าน รับลมอย่างสบายอุรา ลืมตาขึ้นมองไปข้างหน้า พลันเห็นทะเลทรายอันไร้ขอบเขตผืนหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ลมที่พัดมาเริ่มเปลี่ยนเป็นร้อนระอุ

“ต้องบินผ่านทะเลทรายอีก? บนร่างใกล้จะส่งกลิ่นเหม็นแล้วนะ ยังต้องผ่านสถานที่ร้อนแทบตายเช่นนี้อีก” จินเฟยเหยาลุกขึ้นนั่ง หยิบร่มดอกไม้ออกมาจากในกระเป๋าเก็บของ กางร่มบดบังศีรษะ แล้วลงไปนอนอีกครั้ง สุดท้ายยังไม่ลืมสั่งการพั่งจื่อ “พั่งจื่อ ข้าหลับครู่หนึ่งนะ ย่อยอาหารให้เป็นพลังงานวิญญาณสักหน่อย เจ้าจับตาดูที่นี่ไว้ ถ้ามีอะไรให้ปลุกข้า”

ไม่รู้ว่านางหลอมรวมพลังวิญญาณจริงหรือไม่ อย่างไรเสียจินเฟยเหยาก็หลับใหลไปเช่นนี้ รูปแบบชีวิตที่อิสรเสรี ดึงดูดความเคียดแค้นของผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนนับไม่ถ้วนโดยอัตโนมัติ

ตอนที่จินเฟยเหยาตื่นขึ้นคือโดนพั่งจื่อเตะปลุก คิดไม่ถึงว่าสัตว์ภูติร่างกบจะยกฝ่าเท้าขึ้นเตะเจ้านายที่นอนอยู่บนพรมอย่างบ้าคลั่งต่อหน้าสายตาของทุกคน อีกทั้งยังดูออกว่าการเตะแต่ละทีของมันออกแรงเตะอย่างสุดกำลัง ไม่ใช่การหยอกล้อเลยสักนิด ส่วนเจ้านายของมันถูกเตะอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ก็ยังไม่ขยับตัวอยู่นาน ขณะที่ผู้บำเพ็ญเซียนที่ไม่รู้ความจริงนึกว่าจินเฟยเหยาได้รับบาดเจ็บจนสลบไป นางก็บิดขี้เกียจลุกขึ้นนั่ง นวดไหล่นวดเอว มองไปรอบด้านราวกับไม่เป็นไร ดวงตาสลึมสลือเห็นกองหินสีแดงขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

กองศิลาสีแดงราวกับโม่หินขนาดยักษ์ จากเหนือจรดใต้ยาวนับพันจั้ง สูงหลายร้อยจั้ง ทว่าหลังบินเข้าไปใกล้จึงพบว่านี่มิใช่กองหิน ทว่าเป็นก้อนศิลาขนาดยักษ์ก้อนหนึ่ง ทั้งภูเขาคือศิลาก้อนเดียว

จินเฟยเหยาหายง่วงงุนเป็นปลิดทิ้ง ลุกขึ้นมองศิลายักษ์กลางทะเลทรายเบื้องหน้า รอบด้านราบเรียบ จากยอดเขาถึงเชิงเขาดิ่งชัน ไม่เห็นพื้นที่ลาดเอียง ในยามนี้เอง ศิลายักษ์ฝั่งตรงข้ามพลันปรากฏเรือเหาะสายหนึ่ง จากนั้นก็เป็นสองแถว สามแถว ของวิเศษบินได้ปรากฏขึ้นบนฝั่งตรงข้ามมากขึ้นทุกที ท่าทางจะเป็นคู่ต่อสู้ในครั้งนี้ ผู้บำเพ็ญเซียนแห่งโลกเซียวไท่มาถึงแล้ว

ฟังชื่อโลกของผู้อื่น โลกเซียวไท่[4] แล้วดูชื่อโลกของตนเอง โลกหนานซาน[5] หลังจากรู้ชื่อของอีกฝ่าย จินเฟยเหยาก็รู้สึกไม่สบายใจ โลกที่ตนเองถือกำเนิดจนเติบใหญ่แห่งนี้ แค่ชื่อก็วุ่นวายพอดูแล้ว หนานซาน หนานซานคือสถานที่ใดกันแน่ ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทว่าโลกเซียวไท่ของอีกฝ่าย แค่ได้ยินชื่อก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายล่องลอยราวกับมีและไม่มี

เรือเหาะของทั้งสองฝั่งล้วนเข้าไปใกล้บนก้อนหินยักษ์ จินเฟยเหยาประมาณด้วยสายตา จำนวนคนของทั้งสองฝ่ายใกล้เคียงกัน ท่าทางนี่ต้องเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงอย่างยิ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเลือกใช้วิธีใดมาตัดสินแพ้ชนะ จินเฟยเหยาไม่อยากประลองตัวต่อตัวที่สุด เพราะพลังการบำเพ็ญเพียรของนางเพิ่งขั้นสร้างฐานช่วงต้น นางนึกว่าตนเองอ่อนแอที่สุด เรือเหาะหยุดอยู่เหนือศิลายักษ์

บนเรือเหาะของทั้งสองฝ่ายล้วนมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่กลายเป็นแสงสายหนึ่งร่อนลงบนศิลายักษ์ จินเฟยเหยายื่นหน้ามาดู เห็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่สิบกว่าคนรวมอยู่ด้วยกัน ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร นางไม่กล้าปลดปล่อยการรับรู้ไปแอบฟัง คนที่มาของโลกเซียวไท่เป็นใครนางไม่รู้จัก ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ฝั่งพวกนางที่ไป จินเฟยเหยามองเห็นได้ชัดเจน ทั้งห้าล้วนลงมาจากเรือเหาะของตำหนักลั่วเซียน หนึ่งเกาะไปหนึ่งคนพอดี

พวกเขาหารืออยู่ครู่หนึ่ง ราวกับเห็นพ้องต้องกัน ทั้งหมดจึงบินกลับมายังเรือเหาะของตนเอง ผ่านไปชั่วจิบชาหนึ่งถ้วย ยันต์ถ่ายทอดเสียงร้อยกว่าใบก็บินออกมาจากเรือเหาะเหล่านั้น ร่อนลงบนของวิเศษบินได้แต่ละชิ้น ท่าทางจะเป็นคำสั่งจัดการประลองของตำหนักลั่วเซียนส่งให้พวกเขา มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานของสำนักเฉวียนเซียนที่ไม่มีใครแจ้ง แต่ละคนได้แต่ครุ่นคิดเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างสงบ

ในที่สุด ครึ่งชั่วยามต่อมา ของวิเศษบินได้ของทั้งสองฝ่ายก็เคลื่อนไหว ทิศทางเป็นด้านเหนือของศิลายักษ์ รอจนอ้อมมาถึงด้านนั้น จินเฟยเหยาจึงพบว่าด้านล่างสุดของศิลายักษ์ทางเหนือมีถ้ำขนาดใหญ่สูงห้าจั้ง มีหมอกขาวปกคลุม ดูแล้วแปลกประหลาดเป็นพิเศษ

รอจนของวิเศษบินได้ทั้งหมดบินมาถึงด้านเหนือ แพไม้ไผ่ของหอซวีชิงร่อนลงหน้าถ้ำก่อน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานของหอซวีชิงทั้งหมดลงจากแพไม้ไผ่ หลังจากกราบกรานคนทั้งสามบนแพไม้ไผ่ ก็เข้าไปในถ้ำที่เต็มไปด้วยหมอกขาวโดยไม่หันกลับมา หลังจากผู้บำเพ็ญเซียนของหอซวีชิงเข้าไป ทางโลกเซียวไท่ก็มีเรือเหาะบินออกมาลำหนึ่ง มีผู้บำเพ็ญเซียนลงมาจากบนนั้นจำนวนไม่น้อย ตามพวกเขาเข้าไปในถ้ำอย่างกระชั้นชิด

ต่อไปก็เป็นเช่นนี้ โลกหนานซานปล่อยผู้บำเพ็ญเซียนเข้าไปหนึ่งลำ โลกเซียวไท่ก็ปล่อยเข้าไปหนึ่งลำ ผู้บำเพ็ญเซียนส่วนมากถูกส่งเข้าไปในถ้ำแห่งนี้ซ้ำไปซ้ำมา โลกหนานซานมีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานของสำนักเฉวียนเซียนที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นเดิม เห็นผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านี้เข้าไปทีละชุด กลับไม่รู้เหตุผล


[1] ไท่จื่อโซ่ว หมายถึง สัตว์ที่เป็นรัชทายาท

[2] ไท่จื่อ หมายถึง รัชทายาท

[3] จ๋าจู่ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เหนียนเกาทัง (ซุปขนมเข่ง) ทว่ารู้จักกันดีในชื่อภาษาญี่ปุ่นว่า โอโซนิ เครื่องปรุงประกอบด้วย โมจิ หรือเหนียนเกา (ขนมเข่ง) ใส่พวกผักต่างๆ และอาหารทะเลลงต้มหรือตุ๋นเข้าด้วยกัน ถือว่าเป็นอาหารมงคล มักกินกันช่วงปีใหม่

[4] เซียวไท่ หมายถึง กำจัดได้อย่างสง่างาม

[5] หนานซาน หมายถึง ภูเขาทางใต้