ความสงสัยในใจเพิ่มมากขึ้นทุกที ผู้บำเพ็ญเซียนบางคนระงับความสงสัยในใจไว้ไม่ไหว สายตาจ้องมองเรือเหาะของสำนักเฉวียนเซียนไม่หยุด ไม่รู้ว่าถึงเวลาแล้วหรือสำนักเฉวียนเซียนต้องออกมาจัดการพวกเขาพอดี หลี่ว์เหนียงเนียงเดินออกมาจากเรือเหาะอย่างกะทันหัน ข้างกายนางยังมีผู้อาวุโสขั้นหลอมรวมที่ถือธงวายุขาวขังจิตคนนั้น

คนทั้งสองมองทุกคนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก หลังหลี่ว์เหนียงเนียงกระพือพัดชาววัง[1]เบาๆ หลายครั้ง นางก็เอ่ยขึ้นช้าๆ “พวกเจ้าอายุเยาว์ไม่รู้อะไร การต่อสู้ของโลกระดับดินระหว่างโลกหนานซานและโลกอื่นๆ แต่ละครั้งล้วนกระทำในศิลารองรับฟ้าก้อนนี้ วิธีประลองง่ายดายยิ่ง เข้าไปในถ้ำจากด้านล่าง หาวงเวทส่งตัวออกมาได้อย่างราบรื่นก็พอ จำกัดเวลาที่หนึ่งเดือน ถ้าเกินเวลานี้ ภายในศิลารองรับฟ้าจะทำลายสิ่งแปลกปลอมทั้งหมด และพวกเจ้าก็คือสิ่งแปลกปลอม ดังนั้นพวกเจ้าอย่าได้ลืมเวลาเสียล่ะ”

เห็นผู้บำเพ็ญเซียนทุกคนใช้ดวงตาจับจ้องบนธงวายุขาวขังจิต ไม่สนใจคำพูดของนาง หลี่ว์เหนียงเนียงใช้พัดชาววังป้องปากหัวเราะ “พวกเจ้าไม่ต้องรีบร้อน ก่อนเข้าศิลารองรับฟ้าจะคืนการรับรู้ให้พวกเจ้า พวกเรามิใช่คนเลวร้ายอะไร ไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากหรอก”

ได้ยินคำพูดจอมปลอมเช่นนี้ บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนล้วนไม่เอ่ยวาจา แค่รอให้พวกเขาคืนการรับรู้ก่อนเข้าไปในศิลารองรับฟ้าจริงๆ หลี่ว์เหนียงเนียงพูดง่ายๆ ทว่าทุกคนรู้ดี ต้องออกมาไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นแน่ๆ คาดว่าต้องเป็นการต่อสู้นองเลือด

“ของวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนและถ้ำเซียนสำหรับฝึกบำเพ็ญกำลังรอพวกเจ้าอยู่ ไปเถอะ” พัดชาววังของหลี่ว์เหนียงเนียงชี้ไปด้านล่าง เอ่ยปลุกใจด้วยรอยยิ้ม

ทว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมข้างกายนางคนนั้นถือธงวายุขาวขังจิตด้วยสีหน้าเย็นชาตลอดเวลา ยามนี้เหาะเหินไปด้านล่างศิลารองรับฟ้าก่อน การรับรู้อยู่ในตัวเขา ทุกคนติดตามด้านหลังเขาไปร่อนลงตรงปากถ้ำด้วย ยามนี้ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนอื่นๆ เดินเข้าไปในศิลารองรับฟ้า ผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเฉวียนเซียนจึงรออยู่ด้านข้างชั่วคราว จึงได้รู้ว่าผู้บำเพ็ญเซียนของสำนักเฉวียนเซียนเข้าไปในศิลารองรับฟ้าเป็นชุดสุดท้ายตามการจัดการของตำหนักลั่วเซียน

จินเฟยเหยายืนอยู่ด้านข้างมองผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานที่เข้าไปก่อนเหล่านี้ด้วยสายตาเย็นชา พบว่าพวกเขาดูเหมือนตื่นเต้นยินดีมองเห็นอารมณ์ตื่นเต้นบนใบหน้าได้ชัดเจนยิ่ง นางไม่เข้าใจอยู่บ้าง หรือว่าภายในศิลารองรับฟ้าจะมีสิ่งของดีๆ เหตุใดคนเหล่านี้จึงยิ้มอย่างเบิกบานใจเช่นนี้ จินเฟยเหยาเงยหน้ามองศิลาขนาดยักษ์ก้อนนี้ หรือว่าด้านในจะมิใช่ถ้ำศิลา?

รอคอยอยู่นาน นอกจากคนของสำนักเฉวียนเซียน ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานของทั้งสองฝ่ายล้วนเข้าไปในศิลารองรับฟ้าหมดแล้ว ในที่สุด ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมหน้าตาเย็นชาก็ถือธงวายุขาวขังจิตเดินมาหน้าปากถ้ำ ห่างจากหมอกขาวเพียงหนึ่งนิ้วมือ ถึงขั้นนี้แล้ว บ่นไปก็ไร้ความหมาย ทุกคนเดินไปเบื้องหน้าเขาอย่างรู้ตัว ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมใบหน้าเย็นชา แค่พินิจผู้บำเพ็ญเซียนเบื้องหน้า ก็ใช้มือควานในธงวายุขาวขังจิต การรับรู้สายหนึ่งก็ถูกคว้าจับไว้ในความว่างเปล่า

การรับรู้ที่อ่อนจางราวกับมีและไม่มี ผนึกรวมเป็นดวงแสงขนาดเท่าเมล็ดข้าว ถูกเขาถือไว้ในมือ ภายใต้สายตาของทุกคน การรับรู้ก็บินวูบเข้าไปในร่างของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานคนนั้น ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานตรวจสอบรอบหนึ่ง หลังพบว่าการรับรู้ที่กลับมาไม่แปลกปลอม เขาก็เดินเข้าไปในหมอกขาวโดยไม่พูดไม่จา

“ร้ายกาจจริงๆ” เห็นผู้บำเพ็ญเซียนใบหน้าเย็นชาไม่ต้องแยกแยะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเบื้องหน้าว่าเป็นใคร แค่มองแวบเดียว ยื่นมือเข้าไปในธงวายุขาวขังจิตก็ได้การรับรู้ของคนผู้นี้ออกมาแล้ว จินเฟยเหยารู้สึกว่าผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมร้ายกาจยิ่งนัก

เห็นคนน้อยลงทุกที จินเฟยเหยาก็เดินไปข้างหน้า นำการรับรู้ของตนเองกลับคืนจากผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมใบหน้าเย็นชา ตรวจสอบตามปกติ มั่นใจว่าไม่ถูกเล่นลูกไม้ ทว่านางยังวางการรับรู้สายใยนี้ไว้ในห้วงการรับรู้ ใช้ฟองแสงนรกแยกออกมาโดดๆ ระวังป้องกันการรับรู้ถูกลงยาแบบที่นางตรวจสอบไม่พบ จากนั้นนางก็ฉุดลากพั่งจื่อสาวเท้ายาวๆ เข้าไปในหมอกขาว

พอเข้าไปในหมอกขาว เบื้องหน้าจินเฟยเหยาก็พร่าเลือน อย่างที่คิดจริงๆ หมอกขาวตรงปากถ้ำ เป็นวิธีการซ่อนวงเวทส่งตัว นางจับพั่งจื่อไว้แน่น ไม่อยากให้สุดท้ายต้องถูกส่งตัวไปคนละทิศคนละทางเพราะพั่งจื่อไม่ยอมเข้าถุงสัตว์ภูติ ผ่านไปครู่หนึ่ง พวกนางก็ถูกส่งตัวเข้ามาภายในศิลารองรับฟ้า

“นี่คืออะไร ข้ามาผิดที่หรือไม่?” เห็นทิวทัศน์ภายในศิลารองรับฟ้าเกินกว่าที่จินตนาการไว้ จินเฟยเหยาก็ตกตะลึงสุดขีด ถ้าที่นี่เป็นภาพมายา เช่นนั้นฝีพู่กันก็ล้ำเลิศยิ่ง

สายลมเย็นพัดต้องนาง พากลิ่นหอมสดชื่นของหญ้าและกลิ่นหอมของดอกไม้จางๆ มา เบื้องหน้าจินเฟยเหยาเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีที่สูงเกินเข่า นางเงยหน้าขึ้นมองเหนือศีรษะ ด้านบนไม่ใช่ก้อนศิลาอย่างที่คิดไว้ ทว่าเหมือนเป็นท้องฟ้าของโลกอื่น เมฆสีขาวและดวงอาทิตย์ร้อนแรง ไกลออกไปบนทุ่งหญ้ามีภูเขาประหลาดลูกหนึ่ง ลักษณะแปลกอย่างยิ่ง เหมือนเห็ดแต่ละอันซ้อนกันเป็นชั้นๆ จากใหญ่ไปหาเล็ก ระหว่างเห็ดเหล่านี้ มีบันไดยาวเหยียดเชื่อมช่องว่างจากบนลงล่าง อีกทั้งสิบกว่าชั้นนี้ยังนำไปสู่ยอดภูเขาเห็ดที่สูงเสียดเมฆ ทั้งยังสร้างตึกระฟ้าอันงามประณีตอย่างที่สุด น้ำตกสิบกว่าสายดุจเข็มขัดสีเงินพุ่งลงมาจากบนภูเขาเห็ดเหล่านั้น ยังไม่ทันเข้าใกล้พื้นดินก็ถูกลมพัดกระจาย ก่อตัวเป็นหมอกขาวล่องลอยรอบภูเขาเห็ด ทำให้ภูเขาเห็ดทั้งลูกงดงามอลังการจนผู้คนอดนึกว่ามาถึงสถานที่ซึ่งเทพเซียนสถิตย์อยู่ไม่ได้

จินเฟยเหยาได้สติคืนมาจากทัศนียภาพอันงดงาม ปล่อยการรับรู้ไปกวาดดูรอบด้าน กลับไม่พบเห็นผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ หรือว่าภาพมายามีผลกับคนเพียงคนเดียว และภาพมายาของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีคนอื่นๆ ถ้าจะออกจากที่นี่ ก็ต้องหาวงเวทส่งตัวออกไปภายนอกให้พบ ทว่าขณะการรับรู้กวาดดูถึงภูเขาเห็ด ก็ถูกการป้องกันสกัดไว้ จึงไม่อาจรู้ว่าด้านบนมีวงเวทส่งตัวหรือไม่

“ท่าทางไม่ไปภูเขาเห็ดสักรอบคงไม่ได้ พั่งจื่อพวกเราไปเถอะ ดูว่าภาพมายานี้จริงแท้เพียงใด” จินเฟยเหยายิ้ม น่าสนุกกว่าทางเดินศิลาเขาวงกต ที่ด้านในมีผู้บำเพ็ญเซียนเบียดเสียดอยู่เต็มไปหมดประดุจมด แล้วทุกคนต่างเข่นฆ่ากันอย่างบ้าคลั่งเพื่อแย่งชิงวงเวทส่งตัวในจินตนาการมากนัก

นางสำราญกับภาพมายาที่ดูราวกับมีชีวิต เพิ่งเดินออกมาไม่ไกล พลันพบว่าในพุ่มไม้มีพืชสวรรค์อายุเกินสามร้อยปีเติบโตอยู่ต้นหนึ่ง จินเฟยเหยายืนอยู่หน้าพืชสวรรค์ต้นนี้อย่างสงสัยยิ่ง รู้สึกว่าภาพมายานี้จริงๆ เลย คิดไม่ถึงว่าจะทำหญ้าวิญญาณเช่นนี้มาดึงดูดคน ขอเพียงตนเองไปเด็ดพืชสวรรค์ต้นนี้ มันต้องกลายเป็นสัตว์ขนาดยักษ์ทันที แล้วกินนางจนเกลี้ยงในคำเดียวแน่ ทว่าจะให้นางเดินผ่านไปโดยแสร้งทำเป็นไม่เห็น จินเฟยเหยารู้สึกว่าตนเองคงทำไม่ได้

นางครุ่นคิด ตัดสินใจเด็ดขาด กัดฟันให้พั่งจื่อยืนเตรียมตัวอยู่ด้านข้าง จากนั้นตนเองไปเด็ดพืชสวรรค์ต้นนี้ ถ้าพืชสวรรค์กลายเป็นสัตว์ขนาดยักษ์คิดจะกลืนกินตนเอง ก็ให้พั่งจื่อใช้ลิ้นตวัดนางไว้ จากนั้นดึงหลบการโจมตีของสัตว์ขนาดยักษ์ไปยังสถานที่ปลอดภัย

เมื่อมั่นใจว่าตนเองปลอดภัยแน่นอน จินเฟยเหยาค่อยๆ ย่อกายลง หยิบกล่องหยกบรรจุหญ้าวิญญาณออกมา ล้วงมีดออกมาขุดดิน เข้าใกล้พืชสวรรค์อย่างระมัดระวัง ปักมีดลงในดิน ไม่เป็นไร ใช้มือประคองพืชสวรรค์ ก็ไม่เป็นไร ขุดพืชสวรรค์ออกมาทั้งรากติดดิน ก็ยังไม่เป็นไร บรรจุพืชสวรรค์ลงในกล่องหยก จากนั้นใส่กลับลงในกระเป๋าเก็บของ จินเฟยเหยายืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม

“พั่งจื่อ ยังยืนบื้ออยู่ทำไม รีบไปขุดหญ้าวิญญาณสิ หญ้าวิญญาณเหล่านี้ล้วนเป็นของจริง ไม่ใช่ภาพมายา” จินเฟยเหยาลุกขึ้นคำรามใส่พั่งจื่อทันที จากนั้นก็มุดศีรษะเข้าไปในพุ่มไม้ค้นหาหญ้าวิญญาณอื่นๆ

เก็บรากราชันย์ปฐพีลงในกล่องหยกด้วยรอยยิ้มปริ่ม จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างพึงพอใจว่า “มิน่าเล่าผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นจึงมีสีหน้ายินดี มาถึงสถานที่เช่นนี้ ใครบ้างจะไม่ดีใจ แต่ไม่รู้ว่าสถานที่ที่พวกเขาเห็นจะเหมือนของตนเองหรือไม่ หรือสถานที่ของพวกเขามีสิ่งของที่ดีกว่าและมีปริมาณมากกว่า”

หญ้าวิญญาณบนทุ่งหญ้าไม่ถือว่าเยอะ ทว่ามีอายุขัยมาก อย่างน้อยเกินสามร้อยปี จินเฟยเหยาจะร่ำรวยใหญ่แล้ว แม้แต่ต้านิวยังถูกนางปล่อยออกมาให้ช่วยค้นหาหญ้าวิญญาณในทุ่งหญ้า เนี่ยนซีไม่มีประโยชน์ ทว่าจินเฟยเหยายังพานางออกมาด้วยอย่างใจกว้างและให้พั่งจื่อแบกไว้ ให้เด็กน้อยที่ถูกหวาซีทิ้งคนนี้มองดูทัศนียภาพอันงดงามอย่างประหลาดเพื่อให้อารมณ์ดีขึ้นหน่อย อย่าเรียกซีเอ๋อร์ๆ ไม่หยุดทั้งวัน น่ารำคาญยิ่ง

จากนั้นนางก็ไปยืนอยู่ในทุ่งหญ้าทอดตามองไปยังภูเขาเห็ดอันซึ่งงดงามถึงขีดสุด ในดวงตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ที่นั่นมีสิ่งปลูกสร้าง ด้านในต้องมีของดีๆ จำนวนไม่น้อยแน่ “เวลาตั้งหนึ่งเดือนเต็มๆ เจ้ารอข้าก่อนเถอะ”

ในขณะที่นางขุดหญ้าวิญญาณอย่างมีความสุข ผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ กลับไม่ได้โชคดีขนาดนี้

“อ๊า!” เสียงร้องอนาถดังขึ้นอีกครั้ง โลหิตสดกระเซ็นมาโดนใบหน้าของสยงเทียนคุน เขาเก็บกระบี่ดอกจวี๋สังหารที่คมไม่เปื้อนโลหิตกลับคืน มองรอบด้านอย่างเย็นชา ภายในทางเดินศิลาที่มืดมิดและเย็นเยียบ มีสยงเทียนคุนยืนอยู่เพียงผู้เดียว ทว่าใต้เท้าของเขา มีซากศพผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานห้าคนนอนเกลื่อนพื้น มือของเขามีโลหิตสดหยดลงด้านล่าง เห็นชัดว่าได้รับบาดเจ็บ

สยงเทียนคุนมองคนทั้งห้าที่กระโดดออกมารนหาที่ตายอย่างกะทันหัน แล้วเช็ดโลหิตบนใบหน้า เมื่อครู่เขาเพิ่งเข้ามาในศิลารองรับฟ้า ก็ถูกส่งตัวมาในบึงน้ำอันมืดมิด เขาเดินอยู่บนบึงน้ำ บัวผลึกสวรรค์แต่ละดอกก็ปลดปล่อยแสงรัศมีสีขาวออกมา เบ่งบานในบึงน้ำอันมืดมิด นี่เป็นวัตถุดิบชั้นยอดในการหลอมสร้างของวิเศษ หลายสิบปีถึงหลายร้อยปีจึงจะพบสักดอกที่ร้านประมูลในตลาดมืด ทว่าบัดนี้ เบื้องหน้าของเขา กลับมีบัวผลึกสวรรค์ขนาดเท่ากำปั้นมากกว่าร้อยดอก แม้แต่สยงเทียนคุนที่ไม่ค่อยสนใจสมบัติมากนักยังหวั่นไหวเพราะมัน เก็บบัวผลึกสวรรค์ใส่ลงในกระเป๋าเก็บของทีละดอกอย่างระมัดระวัง

ในขณะที่เขาเด็ดบัวผลึกสวรรค์ไปสามสิบกว่าดอก ทัศนียภาพเบื้องหน้าพลันพร่าพราย  เขาปรากฏตัวขึ้นที่ถ้ำศิลาอันมืดมิดสายหนึ่ง ส่วนบัวผลึกสวรรค์ดอกที่มือสัมผัสยังไม่ทันได้เก็บก็หายไป

สิ่งที่ปรากฏขึ้นแทนบัวผลึกสวรรค์ที่หายไปคือผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานห้าคน มีตั้งแต่ขั้นสร้างฐานช่วงต้นถึงช่วงกลาง สายตาของพวกเขาเผยประกายดุร้าย ไอสังหารปกคลุมไปทั่วทางเดินศิลา ของวิเศษในมือเปล่งแสงประหลาด พุ่งเข้าใส่สยงเทียนคุนที่ไม่ได้เตรียมตัวทันที

ดอกจวี๋ร่วงหล่น เจตนาสังหารไร้ขอบเขต สยงเทียนคุนใช้หนึ่งต้านรับห้า สู้ชนะผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานกลุ่มนี้ ตนเองได้รับบาดเจ็บหนัก ในเวลาเดียวกับที่เขากำลังทอดถอนใจว่าสูญเสียบัวผลึกสวรรค์จำนวนมากไป และเป็นห่วงจินเฟยเหยา ในคนทั้งห้า มีสองคนที่ไม่ใช่คนของโลกเซียวไท่ ทว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซาน ท่าทางเรื่องนี้จะไม่ใช่การประลองที่เรียบง่ายอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าผู้บำเพ็ญเซียนของโลกหนานซานจะร่วมมือกับผู้บำเพ็ญเซียนของโลกเซียวไท่มาโจมตีผู้บำเพ็ญเซียนโลกหนานซานด้วยกัน

เกรงว่าเส้นทางไปยังวงเวทส่งตัวของศิลารองรับฟ้าคงหาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว


[1] พัดชาววัง เรียกอีกอย่างว่า พัดกลม สตรีใช้ภายในวังสมัยโบราณ