ตอนที่ 81 จวนตระกูลกู้

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

บริเวณที่ลงจากเกี้ยวเป็นลานขนาดไม่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง พื้นปูเอาไว้ด้วยอิฐหินคราม มีประตูพระจันทร์บนกำแพงสีขาวที่มุงหลังคาไว้ด้วยกระเบื้องสีขี้เถ้า ดอกอวี้หลาน ดอกทับทิม ดอกยี่โถ และดอกพุทธรักษาล้วนแข่งกันเบ่งบานสะพรั่ง สาวใช้สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยสีครามเดินเข้าๆ ออกๆ กันอย่างขวักไขว่ ห่างออกไปไม่ไกลนักภายในห้องข้างที่ประตูสีแดงเปิดอ้าเอาไว้มีพวกสตรียืนอยู่ใต้ระเบียง หรือนั่งล้อมโต๊ะทรงกลมคุยเล่นกันอยู่เป็นกลุ่มสามถึงห้าคน เสียงพูดคุยหัวเราะดังเจื้อยแจ้ว เป็นฉากหนึ่งที่รื่นเริงและครึกครื้นยิ่ง

 

 

ผู้ที่ออกมาต้อนรับพวกนางเป็นสตรีวัยสามสิบปีคนหนึ่ง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นำทางพวกนางผ่านประตูพระจันทร์เข้าไปข้างในอย่างกระตือรือร้น “ฮูหยินหยวน เชิญทางนี้เจ้าค่ะ!”

 

 

ในชาติก่อนโจวเสาจิ่นจำต้องเข้าวังไปถวายคำอวยพรให้แก่ไทเฮาและฮองเฮาในวันขึ้นปีใหม่ของทุกปี นางเคยขอให้ท่านป้าที่ออกมาจากวังช่วยสอนมารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติให้ จึงทราบดีว่าหากเพิ่งมาเป็นครั้งแรก สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงห้ามทำที่สุดก็คือการเหลียวซ้ายแลขวา จะทำให้ผู้คนมองว่าเหลาะแหละ ทำให้ผู้คนมองว่าไม่เคยเห็นโลกมาก่อน

 

 

นางจึงก้มหน้าก้มตาเดินตามอยู่ด้านหลังของพี่สาว

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเห็นแล้วก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

 

 

เมื่อผ่านเข้าประตูพระจันทร์ไป ก็ผ่านทางเดินหินสายหนึ่งที่ปลูกต้นทับทิมเต็มสองข้างทาง ด้านหน้าเป็นโถงรับแขกขนาดสามห้องห้องหนึ่ง

 

 

ทว่าบรรยากาศกลับแตกต่างจากลานที่จอดเกี้ยวเมื่อครู่ แม้ว่าโถงรับแขกจะเปิดประตูอ้าเอาไว้เหมือนกัน แต่กลับมีสตรีนั่งอยู่เพียงเจ็ดแปดคน ทุกคนต่างกระซิบคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา เครื่องประดับทองบนศีรษะและลายปักบนตัว เมื่อต้องแสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาในโถงรับแขกต่างเปล่งประกายระยิบระยับเป็นครั้งคราว เจิดจ้าจนผู้คนไม่อาจลืมตาขึ้นมา

 

 

“ท่านอาสะใภ้มาแล้ว” สตรีวัยเยาว์หน้าตางดงามราวดอกไม้ราวพระจันทร์ผู้หนึ่งออกมาต้อนรับทักทายหยวนซื่อด้วยรอยยิ้ม

 

 

“นายหญิงกู้ที่เจ็ด” หยวนซื่อยิ้มพลางกล่าวทักทายนาง แล้วแนะนำฮูหยินใหญ่เหมี่ยนให้กับสตรีผู้นี้ “นี่คือฮูหยินใหญ่ของจวนสี่ของพวกเรา ส่วนนี่คือฮูหยินของกู้จิ่นเฉิงนายท่านที่เจ็ดของจวนหลักแห่งตระกูลกู้ เป็นบุตรสาวของตระกูลอวี้จากผูโข่ว เป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือฮูหยินผู้เฒ่าดูแลจัดการงานบ้านงานเรือนต่างๆ ภายในจวน เป็นสตรีที่สุภาพและสดใสเป็นที่สุด ทั้งยังวางตัวได้อย่างเหมาะสมรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง คุณหนูสิบหกแห่งตระกูลกู้ผู้ที่หมั้นหมายในครั้งนี้เป็นน้องสาวแท้ๆ ของสามีนาง”

 

 

“ไม่กล้าๆ ท่านมาแต่ละครั้งก็พูดชมข้าเช่นนี้อยู่ทุกครั้ง…” นายหญิงกู้ที่เจ็ดแห่งตระกูลกู้ยิ้มร่าดั่งดอกไม้ผลิบาน กล่าวถ้อยคำถ่อมตนสองสามประโยค แล้วย่อเข่าลงคารวะฮูหยินใหญ่เหมี่ยน

 

 

หลังจากฮูหยินใหญ่เหมี่ยนทำความเคารพแล้ว ยิ้มพลางกล่าวเป็นนัยว่า “ที่แท้บ้านเดิมของนายหญิงกู้ที่เจ็ดอยู่ที่ผูโข่ว บ้านเดิมของข้าก็อยู่ที่ผูโข่ว ตระกูลเหอแห่งสะพานซานเหยี่ยน ไม่ทราบว่านายหญิงกู้ที่เจ็ดเคยได้ยินหรือไม่”

 

 

“ไอ้หยา! ที่แท้บ้านเดิมของท่านแซ่เหอ!” นายหญิงกู้ที่เจ็ดทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ แล้วจับมือของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างสนิทสนม “จะไม่เคยได้ยินมาก่อนได้อย่างไร ตระกูลเหอแห่งสะพานซานเหยี่ยน จวนจอหงวน นั่นเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับท่าน ข้ามีญาติผู้น้องคนหนึ่งที่แต่งงานเข้าตระกูลเหอ แต่งกับนายท่านที่ห้าของจวนสามแห่งตระกูลเหอ”

 

 

“ข้าทราบๆ” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ้มกล่าว “เป็นหลานชายที่แยกออกมาจากจวนสายหลัก”

 

 

ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนกล่าวคำทักทายกันแล้วก็สนิทสนมขึ้นมาทันที

 

 

หยวนซื่อหัวเราะอยู่ข้างๆ

 

 

นายหญิงกู้ที่เจ็ดกล่าวอย่างเคืองๆ ขึ้นว่า “ท่านอาสะใภ้ยังจะหัวเราะอยู่อีก ทั้งที่รู้ดีว่าบ้านเดิมของข้ากับฮูหยินใหญ่อยู่ที่ผูโข่ว กลับไม่รีบแนะนำข้าให้รู้จักกับฮูหยินใหญ่ให้เร็วกว่านี้ เรื่องนี้ล้วนเป็นความผิดของท่าน รอถึงเวลาที่หลานสะใภ้ยื่นจอกสุราให้ท่าน ท่านไม่อาจหาข้ออ้างปฏิเสธได้เป็นแน่!”

 

 

“นี่เจ้าคิดจะถือโอกาสรินสุราของข้าหรือ” หยวนซื่อยิ้ม ทั้งสามคนทักทายปราศรัยกันอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของนายหญิงกู้ที่เจ็ดก็ตกมาอยู่ที่ร่างของโจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่น

 

 

ดวงตาของนางเผยให้เห็นความประหลาดใจสายหนึ่ง แล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “นี่คือ?”

 

 

“เป็นคุณหนูสองท่านจากจวนสี่ เป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลโจวแห่งถนนผิงเฉียว” หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ “นายท่านโจวไปรับราชการอยู่ต่างถิ่น คุณหนูทั้งสองจึงมาอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลเฉิงเป็นการชั่วคราว”

 

 

ทุกสามปีมีการสอบคัดเลือกขุนนางหนึ่งครั้ง ในการสอบแต่ละครั้งมีผู้สอบผ่านเพียงสามร้อยคน เมืองจินหลิงมีตระกูลที่สอบผ่านเป็นจิ้นซื่อสองสามตระกูล นั่นล้วนแล้วแต่เป็นจำนวนที่ไม่มากสักเท่าใด

 

 

ตระกูลกู้เป็นผู้คงแก่เรียน ครั้นหยวนซื่อเอ่ยขึ้นมานายหญิงกู้ที่เจ็ดก็รู้แล้วว่าหมายถึงผู้ใด

 

 

นางจับมือของโจวชูจิ่นเอาไว้ด้วยรอยยิ้มเบิกบาน กล่าวขึ้นว่า “ข้าก็คิดว่าเป็นเด็กสาวของตระกูลใด ช่วยสวยสดงดงามได้ขนาดนี้ ที่แท้ก็คือบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของนายท่านตระกูลโจว ช่างเป็นแขกที่นานทีปีหนจะมาเยี่ยมเยียนจริงๆ” นางกล่าวพลางสั่งสาวใช้ข้างกายว่า “ไปเชิญคุณหนูที่สิบเจ็ดมาที บอกว่าคุณหนูสองท่านจากตระกูลโจวแห่งถนนผิงเฉียวมาเยี่ยม ให้นางมาติดตามอยู่เป็นเพื่อน”

 

 

“ไม่ต้องต้อนรับกันขนาดนี้หรอก” หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ “ร่างกายของนายหญิงผู้เฒ่ายังแข็งแรงดีหรือไม่ ข้าได้มาคารวะนายหญิงผู้เฒ่าเมื่อช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา”

 

 

“ดูความจำของข้าผู้นี้สิ!” นายหญิงกู้ที่เจ็ดได้ยินแล้วก็ตบหน้าผากเบาๆ ยิ้มพลางกล่าว “เมื่อเช้าตอนที่นายหญิงผู้เฒ่าตื่นขึ้นมาก็ยังถามถึงท่านอาสะใภ้อยู่เลย ข้าจะไปพบเป็นเพื่อนท่าน”

 

 

ขณะที่นางกล่าวอยู่นั้น ก็เรียกหญิงคนหนึ่งที่มีท่าทางเหมือนมามาผู้เป็นแม่บ้านแล้วกระซิบสั่งการไป

 

 

หยวนซื่อครุ่นคิดแล้ว ก็กล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและพี่น้องตระกูลโจวว่า “พวกเจ้าไปด้วยกันกับข้าเถอะ นายหญิงผู้เฒ่าเป็นมารดาของกู้เหมยเจินผู้เป็นผู้นำตระกูลของตระกูลกู้ในขณะนี้ ตามลำดับความอาวุโส ก็อาวุโสกว่าฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเราอยู่หนึ่งรุ่น ประเดี๋ยวตอนที่พบข้า พวกเจ้าก็เรียกนางว่า ‘ท่านย่าทวด’ ตามคุณชายใหญ่ก็แล้วกัน”

 

 

ประโยคหลังสุดเป็นการกำชับกับโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่น

 

 

โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นตอบรับเสียงเบาว่า เจ้าค่ะ

 

 

นายหญิงกู้ที่เจ็ดกลับเข้ามา ยิ้มพลางกล่าวว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”

 

 

หยวนซื่อยิ้มพลางพยักหน้า แล้วทั้งกลุ่มก็เดินไปบนทางเดินฝั่งตะวันตก

 

 

ผ่านทะเลสาบ ผ่านศาลา จากนั้นพวกนางก็มาถึงเรือนขนาดเล็กอันเงียบสงบและปลีกวิเวกหลังหนึ่ง

 

 

เห็นชัดว่าคนจากในเรือนได้รับแจ้งข่าวเอาไว้แล้ว มีมามาคนหนึ่งมารอรับพวกนางอยู่ที่ประตู

 

 

มามาผู้นั้นทักทายหยวนซื่ออย่างเป็นกันเอง หยวนซื่อบอกพวกนางว่า “นี่คือบ่าวข้างกายที่ใกล้ชิดนายหญิงผู้เฒ่าที่สุด ตระกูลสามีแซ่เหมียว”

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นยิ้มพลางกล่าวทักทายไป

 

 

“บ่าวชราผู้นี้ซาบซึ้งยิ่งนักแล้วเจ้าค่ะ!” เหมียวมามาก็เบี่ยงตัวไปหลบเลี่ยง กล่าวกับพวกนางสองสามประโยคอย่างถ่อมสุภาพ แล้วพาพวกนางเข้าไปในเรือน

 

 

อาณาบริเวณภายในเรือนไม่ใหญ่นัก แต่งดงามละเอียดลออ บ่าวรับใช้ล้วนแต่เป็นบ่าววัยกลางคน

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ทว่ากลับมีกำลังวังชาที่กระฉับกระเฉง รอยยิ้มแฝงความรักใคร่เอ็นดู นั่งอยู่บนตั่งหลัวฮั่นรับคารวะของพวกนางอย่างมีความสุข แล้วบอกให้บ่าวรับใช้ยกตั่งมาให้พวกนางนั่ง

 

 

หยวนซื่อทักทายนายหญิงผู้เฒ่าแทนฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

ทว่านายหญิงผู้เฒ่ากลับไม่พอใจเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ทำไมนางถึงไม่มาด้วยตนเอง ทำไมต้องฝากเจ้ามาทักทายแทนนางด้วย”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเป็นหญิงหม้าย วันนี้เป็นงานหมั้นของคุณหนูที่สิบหกแห่งตระกูลกู้ ย่อมต้องหลีกเลี่ยงการมาร่วมงาน

 

 

แต่ถ้อยคำเหล่านี้กลับไม่สามารถเอ่ยต่อหน้านายหญิงผู้เฒ่าได้เลย เมื่อนายหญิงผู้เฒ่าแก่ชราลงแล้ว ก็เหมือนกับว่าย้อนกลับไปเป็นเด็กเล็กๆ ที่ไม่สนใจเหตุผลใดๆ หากว่ากล่าวออกไปเช่นนั้น มีแต่จะทำให้นายหญิงผู้เฒ่าไม่พอใจเสียเปล่าๆ

 

 

“เดิมทีอยากจะมาเจ้าค่ะ” หยวนซื่อกล่าวยิ้มๆ “ทว่าสองวันก่อนอยู่ๆ ศาลาในสวนเจ่าหยวนของน้องสี่เกิดถล่มลงมา ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราเป็นกังวลยิ่ง จึงรีบไปยังสวนเจ่าหยวนตั้งแต่เช้า นางรู้สึกผิดต่อคุณหนูที่สิบหกเป็นอย่างยิ่ง รอถึงตอนที่นางจะออกเรือน ข้ากับฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราจะมาเยี่ยมเยียนล่วงหน้าอีกครั้งเพื่อมอบของขวัญเจ้าสาวให้กับคุณหนูสิบหกเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน

 

 

มีข้ออ้างเช่นนี้ด้วยหรือ

 

 

บอกว่าศาลาของผู้อื่นถล่มลงมา!

 

 

อย่างไรก็ตาม สวนเจ่าหยวนแห่งนี้คือเรื่องอะไรกัน

 

 

กฎเกณฑ์ภายในตระกูลของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่อนุญาตให้สร้างสมบัติพัสถานส่วนตัวมิใช่หรือ

 

 

ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็ทราบกันดี แต่เหตุใดถึงไม่มีท่าทีทักท้วงอะไรเลย

 

 

นางพึมพำอยู่ในใจ ทว่ากลับเห็นนายหญิงผู้เฒ่าไม่เพียงดูเหมือนโล่งอกโล่งใจ แต่ยังทำท่าทางเสมือนกับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล กล่าวต่อไปว่า “เช่นนั้นก็จำเป็นต้องไปตรวจสอบดูสักหน่อย” จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงอีกว่า “คุณชายสี่เป็นอะไรหรือไม่”

 

 

“ไม่เป็นไรเลยเจ้าค่ะๆ” หยวนซื่อกล่าวย้ำๆ”ตอนนั้นคุณชายสี่อยู่ในเรือนเจ้าค่ะ!”

 

 

“นั่นก็ดีแล้วๆ” นายหญิงผู้เฒ่าได้ยินแล้วใบหน้าก็เต็มไปด้วยความยินดี กล่าวตัดพ้อต่อว่าขึ้นมา “พวกเจ้าต่างไม่มีความกตัญญูเช่นคุณชายสี่ สองวันก่อนคุณชายสี่ได้มาเยี่ยมข้า! ซ้ำยังนำขนมเม็ดบัวมาให้ข้า บอกว่าเป็นของบรรณาการจากในวัง อร่อยยิ่งนัก!”

 

 

ท่านน้าฉือ ไม่คาดคิดว่าจะซื้อขนมมามอบให้นายหญิงผู้เฒ่ากู้!

 

 

โจวเสาจิ่นคิดถึงหน้าตาท่าทางของเฉิงสือแล้ว ก็รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย

 

 

แท้จริงแล้วท่านน้าฉือกับตระกูลกู้มีความสัมพันธ์อันดีขนาดนี้เลยหรือ

 

 

เหตุใดในชาติก่อนกู้จิ่วเนี่ยถึงไม่ช่วยตระกูลเฉิงกันนะ?

 

 

หรือว่ากู้จิ่วเนี่ยเคยวิ่งเต้นขอความช่วยเหลือให้ตระกูลเฉิง เพียงแต่ไม่สำเร็จเท่านั้น?

 

 

นางใคร่ครวญอยู่ในใจ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าชี้ไปที่เหมียวมามา อ้าปากพะงาบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “ใครคนนั้นน่ะ เจ้าไปเอาขนมเม็ดบัวที่คุณชายสี่มอบให้ข้ามาให้พวกนางชิมสักสองสามชิ้นที”

 

 

ราวกับนึกไม่ออกว่าต้องเรียกเหมียวมามาว่าอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง

 

 

เหมียวมามาไม่ได้ใส่ใจ ยิ้มพลางขานรับ แล้วหมุนกายไปยังห้องน้ำชาที่อยู่ข้างๆ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าจึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าชอบทานขนมเม็ดบัวมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนั้นถูกแม่นมควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่ให้ทานมากเกินไป บอกว่าทานมากแล้วจะอ้วน อ้วนแล้วจะแต่งงานยาก พอแต่งงานเข้าตระกูลกู้มาเป็นเหลนสะใภ้ ก็เกรงว่าผู้คนจะหัวเราะเยาะข้าที่ตะกละ จึงไม่กล้าทานอีก ต่อมาภายหลังเมื่อกลายเป็นฮูหยิน ผู้คนต่างจับจ้องมองดูข้า ก็ยิ่งไม่กล้าทานเข้าไปใหญ่”

 

 

ทุกคนต่างหัวเราะพลางฟังนายหญิงผู้เฒ่าคุยจ้อ

 

 

เหมียวมามายกขนมเข้ามา

 

 

แป้งเม็ดบัวที่ขาวประดุจหิมะถูกปั้นเป็นรูปดอกบัว ตรงกลางแต้มจุดสีแดงเอาไว้ หน้าตาดูธรรมดายิ่ง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าเร่งพวกนาง “รีบชิมดูสิ อร่อยยิ่งกว่าของร้านฉีฟางไจเสียอีกใช่หรือไม่ ข้ารู้สึกว่ามันอร่อยกว่าของร้านฉีฟางไจ!”

 

 

เหมียวมามาขยิบตาให้กับทุกคน แล้วเรียกสาวใช้เด็กให้ยกน้ำเข้ามา

 

 

หลังจากที่พวกนางเช็ดมือกันแล้ว ต่างก็หยิบขนมเม็ดบัวคนละหนึ่งชิ้น ทว่ายังไม่ทันได้นำเข้าปาก นายหญิงผู้เฒ่าก็อดไม่ไหวกล่าวขึ้นว่า “อร่อยมากใช่หรือไม่ อร่อยกว่าของร้านฉีฟางไจ!”

 

 

ทุกคนจึงกล่าวพร้อมกันว่าอร่อยยิ่งกว่าของร้านฉีฟางไจ

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าจึงหัวเราะร่า

 

 

แล้วทุกคนก็ทานขนมเม็ดบัวกัน

 

 

อร่อยยิ่งกว่าของร้านฉีฟางไจจริงๆ หวานแต่ไม่เลี่ยน หอมแต่กลิ่นไม่แรงเกินไป

 

 

โจวเสาจิ่นทานขนมเสร็จแล้ว ก็กวักมือเรียกสาวใช้ให้หยิบผ้าเช็ดหน้ามาให้นางเช็ดมือ

 

 

ทันใดนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ชี้ไปที่นางแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “นี่คือผู้ใดหรือ ทำไมข้าเห็นแล้วก็รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาขนาดนี้”

 

 

โจวเสาจิ่นพลันสะดุ้งจนใจเต้นผิดจังหวะไปหนึ่งจังหวะ

 

 

หยวนซื่อยิ้มพลางแนะนำนางว่า “คือคุณหนูรองของตระกูลโจวแห่งถนนผิงเฉียวเจ้าค่ะ”

 

 

“ไม่ใช่ๆ!” นายหญิงผู้เฒ่าส่ายศีรษะด้วยสีหน้างงงวย แล้วกวักมือเรียกโจวเสาจิ่น “เจ้ามานี่ ให้ข้าดูหน้าหน่อยสักหน่อย”

 

 

โจวเสาจิ่นใจเต้นแรง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงยิ้มพลางเดินเข้าไป

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าจับมือของนาง

 

 

มืออันขาวหมดจดเต็มไปด้วยรอยเ**่ยวย่น ทว่ากลับอบอุ่นและแห้งผาก

 

 

นางสำรวจมองโจวเสาจิ่นจากศีรษะจรดเท้า แล้วกล่าวโวยวายขึ้นว่า “ไม่ใช่ เหตุใดถึงตัวเล็กเยี่ยงนี้ รูปร่างควรจะสูงกว่าเหนียงที่สิบเก้าถึงจะถูก”

 

 

เหมียวมามารีบกระซิบอธิบายให้พวกนางว่า “เหนียงที่สิบเก้าคือบุตรสาวคนเล็กสุดของนายท่านผู้เฒ่าของตระกูลพวกเราเจ้าค่ะ นางเสียชีวิตไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน เกรงว่านายหญิงผู้เฒ่าจะจำผิดคนแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

หน้าตาของโจวเสาจิ่นงดงามยิ่ง ต่อให้จำผิดคน อีกฝ่ายก็ต้องงดงามเทียบเท่ากันถึงจะถูก หรือว่าเหนียงที่สิบเก้าของตระกูลกู้จะมีหน้าตาที่งดงามเช่นเดียวกัน?

 

 

ทว่าทำไมถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน

 

 

หยวนซื่อกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต่างครุ่นคิดอยู่ในใจ

 

 

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกพอจะเข้าใจอยู่บ้าง

 

 

ผู้คนมากมายต่างบอกว่านางหน้าตาเหมือนมารดา

 

 

นายหญิงผู้เฒ่ากู้คงจะจำผิดคิดว่านางเป็นมารดาของนางแปดถึงเก้าในสิบส่วน

 

 

นางชำเลืองมองฮูหยินใหญ่เหมี่ยนครั้งหนึ่ง

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนงุนงงเล็กน้อย

 

 

นางจึงเหลือบมองไปที่พี่สาว

 

 

โจวชูจิ่นกำลังจ้องนางอย่างเคร่งเครียด

 

 

จิตใจของโจวเสาจิ่นที่กระสับกระส่ายเล็กน้อยก็สงบลงมา

 

 

นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เกรงว่าท่านย่าทวดจะจำข้าเป็นท่านแม่ของข้าเจ้าค่ะ ท่านตากับนายท่านที่สิบสองแห่งตระกูลกู้เป็นสหายสนิทกัน กล่าวกันว่าก่อนที่ท่านแม่ของข้าจะออกเรือนไป ท่านตาของข้าเคยพานางมาอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลกู้อยู่ช่วงหนึ่ง คิดว่าอาจจะเคยเข้ามาคารวะท่านย่าทวดเจ้าค่ะ”

 

 

นายหญิงกู้ที่เจ็ดกับหยวนซื่อและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

 

เหมียวมามากลับร้องตกใจขึ้นมาด้วยเสียงต่ำและหัวเราะขึ้นมา “ข้าก็คิดอยู่ว่าทำไมถึงได้คุ้นหน้าคุ้นตาเช่นนี้ เดิมทียังคิดว่า หญิงสาวที่งดงามนั้นจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกันหมด ไม่นึกว่าคุณหนูรองจะเป็นหลานสาวของนายท่านผู้เฒ่าตระกูลจวง! คุณหนูใหญ่ตระกูลจวงก็เป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมและมากด้วยความสามารถ พวกเรานึกไม่ถึงไปชั่วขณะหนึ่งเลยเจ้าค่ะ”

 

 

………………………………………………………………….