ตอนที่ 82 คาดไม่ถึง

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ครั้นเอ่ยถึงตระกูลจวง หยวนซื่อกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็พลันกระจ่างขึ้นมาทันที

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าเองก็จำได้แล้วเหมือนกัน

 

 

“ข้ายังคิดอยู่ว่า ทำไมเด็กสาวคนนี้ถึงได้คุ้นหน้าคุ้นตาขนาดนี้!” นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวขึ้นอย่างาต่อว่าต่อขาน “พวกเจ้ายังจะหาว่าข้าจำผิดคน ข้าไม่ได้จำผิดคนเสียหน่อย ข้าจำคุณหนูของตระกูลจวงได้แม่น! ในตอนนั้นนายท่านผู้เฒ่าจวงยังคิดจะให้คุณหนูตระกูลจวงแต่งงานเข้าตระกูลของพวกเรา! แต่น่าเสียดายที่นายท่านที่สิบห้า นายท่านที่สิบหกต่างแต่งงานกันไปหมดแล้ว ส่วนนายท่านที่สิบเจ็ดและนายท่านที่สิบแปดก็อายุน้อยเกินไป ภายหลังนายท่านที่สิบสองจึงเป็นพ่อสื่อให้…แต่งเข้าตระกูลอะไรนะ? คลับคล้ายคลับคลาว่าแซ่เดียวกับฮ่องเต้จี”

 

 

เหมียวมามาจึงกระซิบเตือนข้างหูนายหญิงผู้เฒ่าว่า “แซ่โจวเจ้าค่ะ!”

 

 

“ใช่แล้ว แซ่โจว แซ่โจวนั่นเอง” นายหญิงผู้เฒ่ากล่าว “ตอนนั้นข้ายังส่งแจกันมงคลคู่หนึ่งเป็นของขวัญแต่งงานให้แก่คุณหนูของตระกูลจวงอยู่เลย แต่น่าเสียดาย ทั้งๆ ที่เหนียงที่สิบเก้าของตระกูลเรากับคุณหนูตระกูลจวงเที่ยวเล่นกันอย่างสนิทสนมเยี่ยงนั้น คุณหนูตระกูลจวงได้แต่งงานออกไปอย่างราบรื่น ส่วนนางพอถึงเวลาต้องมองหาคู่ครองแล้วบ้างนั้นกลับป่วยเป็นวัณโรค สุดท้ายกลับจบชีวิตลงตัวคนเดียวอย่างเดียวดาย แม้แต่ลูกหลานที่จะมาขึ้นธูปกราบไหว้สักคนก็ไม่มี…”

 

 

“นั่นล้วนแต่เป็นเรื่องเก่าแก่นมนานแล้วเจ้าค่ะ” เหมียวมามารีบกล่าวแทรกขึ้น “ท่านจะกล่าวถึงเรื่องราวเหล่านี้อยู่บ่อยๆ ไปเพื่ออะไร ประเดี๋ยวนายท่านผู้เฒ่าจะเสียใจนะเจ้าคะ!”

 

 

“เฮ้อ!” นายหญิงผู้เฒ่าถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไม่กล่าวถึงอีกแล้วๆ”

 

 

“ทำอย่างนี้ถึงจะถูกเจ้าค่ะ” เหมียวมามายิ้มพลางหยิบขนมเม็ดบัวชิ้นหนึ่งให้นายหญิงผู้เฒ่า “ท่านก็ทานสักชิ้นด้วยสิเจ้าคะ นี่เป็นน้ำจิตน้ำใจของนายท่านสี่! รู้ว่าท่านชื่นชอบ จึงส่งคนไปนำกลับมาจากเมืองหลวงเป็นการเฉพาะเลยนะเจ้าคะ”

 

 

“ดีๆๆ” นายหญิงผู้เฒ่าถึงได้รู้สึกเปรมปรีดิ์ขึ้นอีกครั้ง

 

 

“ขอประทานโทษนะเจ้าคะ!” เหมียวมามากระซิบกล่าวขอโทษ “นายหญิงผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ชอบกล่าวถึงเรื่องอดีตอยู่บ่อยๆ เจ้าค่ะ”

 

 

“อายุเจ็ดสิบปีแล้วอยากจะทำตามใจปรารถนาก็ไม่ผิดเจ้าค่ะ” หยวนซื่อรีบกล่าว “นายหญิงผู้เฒ่าเป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ พวกเรารู้สึกยินดีแทนนายหญิงผู้เฒ่า ยินดีแทนตระกูลกู้ของพวกเจ้ายิ่งนัก มีตรงไหนให้ต้องกล่าวขออภัยกัน?”

 

 

“ข้านึกออกแล้ว” นายหญิงกู้ที่เจ็ดผู้ที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดนั้นอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาในทันใด “นายท่านผู้เฒ่าแห่งตระกูลจวง เป็นนายท่านผู้เฒ่าที่ชื่นชอบการทำงานไม้ผู้หนึ่ง ตอนที่ข้าเพิ่งจะแต่งงานเข้ามา นายท่านผู้เฒ่าเคยส่งว่าวตัวหนึ่งที่ท่านทำด้วยตนเองมามอบให้กับคุณชายใหญ่ตระกูลพวกข้า ว่าวนั้นยังคงแขวนเอาไว้ภายในห้องของคุณชายใหญ่ตระกูลพวกข้าจนถึงทุกวันนี้ ว่าวของตระกูลอื่นก็ไม่อาจลอยได้สูงหรือลอยได้ไกลเท่า เป็นของรักของหวงของคุณชายใหญ่ตระกูลพวกข้าเลยทีเดียว ไม่ยอมให้ใครจับต้องแม้แต่น้อย” นางกล่าวพลางเผยให้เห็นความตื่นเต้นราวกับได้พบเจอสหายเก่าจากบ้านเดิมแล้วจับมือของโจวเสาจิ่น “ที่แท้เจ้าก็เป็นหลานสาวของนายท่านผู้เฒ่าตระกูลจวงนั่นเอง ต่างก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหนเลย!”

 

 

ไม่คาดคิดว่าท่านตาจะมีงานอดิเรกเช่นนี้ โจวเสาจิ่นไม่เคยรู้มาก่อน

 

 

นางอยากจะเห็นว่าวที่ท่านตาทำ

 

 

ทว่าวันนี้คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก

 

 

“ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนก็ไม่คิดว่าตระกูลจวงกับตระกูลกู้จะเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกันมายาวนาน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เห็นได้ชัดว่าเสาจิ่นของพวกเราก็เป็นผู้ที่มีวาสนาร่วมกับตระกูลของพวกเจ้าเช่นกัน!”

 

 

“ใช่แล้วๆ” นายหญิงกู้ที่เจ็ดกล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าเอ่ยถามโจวเสาจิ่นว่า “ชื่อของเจ้าคือเสาจิ่น ถ้าเช่นนั้นพี่สาวของเจ้าคงจะชื่อหยวนจิ่น ไม่ก็ชูจิ่นใช่หรือไม่”

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าท่านช่างเก่งจริงๆ เจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นหยอกเย้านายหญิงผู้เฒ่า “พี่สาวของข้าชื่อชูจิ่นเจ้าค่ะ”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่ายิ้มอย่างภูมิใจ พลางกล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “เจ้ามานี่ซิ ข้าขอดูหน้าสักหน่อย!”

 

 

โจวชูจิ่นเดินเข้าไปหา

 

 

นายหญิงผู้เฒ่ามองสำรวจนางอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้มพลางกล่าวกับหยวนซื่อ นายหญิงกู้ที่เจ็ดและคนอื่นๆ ว่า “หญิงสาวผู้นี้ก็มีหน้าตาที่งดงามมากเช่นเดียวกัน น่าจะอายุสิบแปดปีแล้วกระมัง มีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยัง อายุของนางคงจะพอๆ กับนายท่านที่ยี่สิบเอ็ดของตระกูลเรา”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าท่านนี้!

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนตอบว่า “มีคู่หมั้นคู่หมายแล้วเจ้าค่ะๆ เป็นตระกูลเลี่ยวแห่งเจิ้นเจียง นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลเลี่ยวจากไปแล้ว หากว่าผ่านพ้นช่วงไว้ทุกข์ไปก็จะจัดแต่งแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าพยักหน้าพลางกล่าว “ที่แท้ก็หมั้นหมายให้กับตระกูลเลี่ยวแห่งเจิ้นเจียงไปแล้ว ดูเหมือนว่าตระกูลของพวกเราจะมีใครสักคนที่แต่งงานเข้าตระกูลของพวกเขาไปด้วยเช่นกัน…”

 

 

เหมียวมามาจึงเอ่ยขึ้นว่า “เป็นเหนียงที่สิบห้าเจ้าค่ะ”

 

 

“ใช่แล้ว เหนียงที่สิบห้านั่นเอง”

 

 

อย่างไรก็ตามในเวลาเพียงพริบตาเดียว นายหญิงผู้เฒ่าก็หาพี่สะใภ้คนหนึ่งในตระกูลเดียวกันให้กับโจวชูจิ่นได้

 

 

โจวเสาจิ่นคิดว่าตนเองกับพี่สาวมาไม่เสียเที่ยวจริงๆ

 

 

ชาติที่แล้ว จวนสี่กับตระกูลกู้ไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์กัน นางไม่มีที่ใดที่จะไถ่ถามเรื่องราวของมารดาผู้ให้กำเนิด ส่วนพี่สาวก็แต่งงานเข้าตระกูลเลี่ยวด้วยตัวคนเดียวโดยที่ไม่รู้จักผู้ใดเลยเช่นกัน ตอนนี้มีเหนียงที่สิบห้าของตระกูลกู้ผู้นี้ แม้นพี่สาวจะยังไม่ได้แต่งงานก็มี ‘คนบ้านเดียวกัน’ คนหนึ่งแล้ว ภายหลังชีวิตในตระกูลเลี่ยวก็จะง่ายดายกว่าในชาติก่อนอย่างแน่นอน

 

 

แขกทั้งหลายนั่งอยู่ในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่ากว่าพักใหญ่ คุณหนูที่สิบเจ็ดแห่งตระกูลกู้ก็เดินเข้ามา

 

 

นางอายุประมาณสิบห้าถึงสิบหกปี รูปร่างสูงปานกลาง สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหูโจวสีเขียวอ่อนลายเรียบๆ ตัวหนึ่ง ผิวขาวเนียนละเอียด ใบหน้าราวลูกท้อดวงตาราวผลซิ่ง แก้มยังยุ้ยเหมือนเด็กอยู่หลายส่วน ถึงแม้จะไม่ได้งดงามมากนัก แต่กลับดูอ่อนโยนน่าเอ็นดู ทำให้คนรู้สึกประทับใจในแรกพบ

 

 

นายหญิงกู้ที่เจ็ดจึงถือโอกาสพาพวกนางกล่าวอำลา “แขกในโถงรับแขกทางด้านนั้นคงจะมาถึงกันเกือบหมดแล้ว หลังจากพวกเราทานมื้อเที่ยงแล้ว จะกลับมาพูดคุยกับท่านอีกนะเจ้าคะ!”

 

 

“ไม่ต้องมาแล้ว” นายหญิงผู้เฒ่ากล่าว “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทานมื้อเที่ยงแล้วจะไปเล่นไพ่ ข้าเองก็ต้องนอนพักกลางวัน พวกเจ้าไม่ต้องมาแล้ว นายท่านสี่บอกว่าถ้าเขามีเวลาว่าง จะมาหาข้า”

 

 

ทุกคนต่างรู้สึกเคอะเขิน

 

 

เหมียวมามากล่าวขอโทษเสียงเบา

 

 

หยวนซื่อกล่าวร่ำลาสองสามประโยค จากนั้นทุกคนก็เดินออกจากเรือนหลักมุ่งไปยังโถงรับแขกพร้อมกัน

 

 

ระหว่างทาง หยวนซื่อกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเดินอยู่ข้างหน้าโดยมีนายหญิงกู้ที่เจ็ดเดินติดตามอยู่ ส่วนคุณหนูสิบเจ็ดของตระกูลกู้เดินติดตามโจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นอยู่ข้างหลัง พลางกระซิบกล่าวกับพวกนางว่า “ทั้งสองท่านมาเยือนจวนของตระกูลกู้เป็นครั้งแรกใช่หรือไม่ แต่ก่อนแขกที่มาเยี่ยมเยียนจวนล้วนได้ท่านพี่ที่สิบห้ากับท่านพี่ที่สิบหกคอยต้อนรับ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ช่วยพวกพี่สะใภ้ต้อนรับทักทายแขกเหรื่อ หากว่าขาดตกบกพร่องประการใด ก็ขออภัยพวกเจ้าด้วย!”

 

 

เป็นเหมือนกับเมื่อก่อน โจวชูจิ่นเป็นผู้ที่กล่าวแทนพวกนางสองพี่น้อง “ข้ากับน้องสาวต่างมาเยือนเป็นครั้งแรก จวนของท่านช่างงดงามยิ่งนัก! ได้ยินมาว่าวันแต่งงานของคุณหนูที่สิบหกคือวันที่สิบหกเดือนเก้าหรือ”

 

 

นี่คือสิ่งที่ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้บอกพวกนางเอาไว้เมื่อคืน

 

 

คุณหนูสิบเจ็ดพยักหน้าพลางกล่าวยิ้มๆ “เมื่อสามปีก่อนท่านพ่อสามีของท่านพี่สิบหกสอบผ่านขุนนางได้เป็นซู่จี๋ซื่อ ในเดือนหกของปีนี้ได้รับตำแหน่งเป็นจู่ป๋อแห่งศาลต้าหลี่ เขาจึงเขียนจดหมายกลับมาขอให้ท่านแม่สามีของนางพาพวกเขาไปอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงด้วย ดังนั้นวันแต่งงานจึงจัดขึ้นอย่างเร่งด่วนเช่นนี้”

 

 

ทั้งสามคนคุยกันไปหัวเราะกันไป ไม่นานนักก็มาถึงโถงรับแขก

 

 

มีป้าผู้เป็นบ่าวรับใช้ยิ้มพลางแจ้งว่า “นายหญิงที่เจ็ด ฮูหยินของนายท่านอู๋ผู้เป็นเจ้าเมืองจินหลิงมาเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นคิ้วของนายหญิงกู้ที่เจ็ดขมวดมุ่นอย่างรางๆ ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยิ้มพลางพยักหน้ารับ ทว่ากลับยังคงไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิมที่จะติดตามพวกนางมุ่งไปยังโถงรับแขกอย่างไม่ช้าไม่เร็ว

 

 

คุณหนูกู้ที่สิบเจ็ดกระซิบกล่าวกับโจวชูจิ่นว่า “พี่น้องในตระกูลของพวกเรามากยิ่งนัก นอกจากญาติสนิทมิตรสหายและเพื่อนบ้านใกล้เคียงแล้ว โดยปกติจะไม่สานสัมพันธ์ด้วยการตอบแทนของขวัญกันเจ้าค่ะ”

 

 

กล่าวอีกนัยได้ว่า ไม่ได้มีการส่งเทียบเชิญให้แก่ตระกูลอู๋

 

 

โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “อย่างไรเสียใต้เท้าอู๋ก็เป็นผู้ปกครองของเมืองจินหลิง หากว่ามีงานมงคลภายในจวนของตระกูลผู้ดีมีชื่อเสียงที่อยู่ภายใต้การปกครอง เขาจะไม่มาร่วมงานได้อย่างไร!”

 

 

คุณหนูกู้ที่สิบเจ็ดไม่ได้เอ่ยตอบอะไร

 

 

ทุกคนเดินเข้าโถงรับแขกไปด้วยกัน

 

 

ฮูหยินอู๋ที่กำลังสนทนาอยู่กับผู้อื่นอยู่ พอได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็หันศีรษะมา แล้วหยุดพูดทันทีพลางเดินเข้ามาหา “ฮูหยินหยวน ไม่คาดคิดว่าจะได้พบท่านที่นี่ ฮูหยินใหญ่เหมี่ยน พวกเราพบกันครั้งสุดท้ายในงานฉลองวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลของจวนรอง ท่านยังสบายดีหรือไม่ ท่านป้าของข้าสบายดีหรือไม่”

 

 

นางพูดคุยกับพวกนางด้วยท่าทางราวกับคนที่คุ้นเคยกันดี ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายยังคงเป็นอู๋เป่าหวาบุตรสาวแท้ๆ ของนางเช่นเคย

 

 

ทว่าเมื่อโจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมา กลับเห็นอู๋เป่าจางยืนอยู่หน้าดอกไม้ห้องข้างในโถงรับแขก

 

 

นางเกล้าผมเป็นมวยคู่ คาดเอาไว้ด้วยที่คาดผมไข่มุก สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าเจียวปู้ สีแดงจ้า ผิวขาวอันเปล่งปลั่งของนางประดุจหิมะ สง่าและงดงามยิ่ง

 

 

อู๋เป่าจางมาปรากฏตัวในงานหมั้นของคุณหนูสิบหกตระกูลกู้ได้อย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่ง แต่พยายามอดกลั้นไม่แสดงออกมา ยิ้มพลางเบนสายตาราวกับว่าไม่ได้เห็นอู๋เป่าจาง

 

 

อู๋เป่าจางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

 

 

นางเม้มริมฝีปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้ามาหา

 

 

หยวนซื่อแลกเปลี่ยนคำทักทายกับฮูหยินอู๋อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็อ้างว่าเห็นคนรู้จักแล้วนำโจวเสาจิ่นกับคนอื่นๆ มุ่งไปยังโถงเล็กด้านตะวันออก

 

 

ทว่าไม่คาดคิดว่าฮูหยินอู๋กลับเดินตามพวกนางอยู่ตลอด จนกระทั่งเดินเข้าไปในโถงเล็ก หยวนซื่อจึงเห็นสตรีวัยสี่สิบปีผู้หนึ่ง กล่าวแนะนำให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่านี่คือฮูหยินหลิวของจวนดอกเหมยแห่งถนนกวนเจีย ไม่น่าเชื่อว่าฮูหยินอู๋จะก้าวออกมาแนะนำตนเองโดยไม่สนหน้าตาแต่อย่างใด

 

 

ฮูหยินหลิวดูเหมือนสตรีอารมณ์ดีผู้หนึ่ง ยิ้มร่าตลอดโดยไม่พูดจา จนกระทั่งเมื่องานเริ่มขึ้น ก็นั่งอยู่ข้างหยวนซื่ออย่างเงียบๆ พอฮูหยินอู๋เห็นว่าไม่เหลือที่ว่างรอบโต๊ะแล้ว ถึงได้ไปโต๊ะข้างๆ อย่างกระดากอาย

 

 

โจวเสาจิ่นเหลือบเห็นดวงตาของอู๋เป่าหวาฉายแววเย็นชาสายหนึ่ง

 

 

นางใจเต้นตึกตักอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

ตระหนักได้ว่าไม่ควรยั่วยุคนในตระกูลอู๋ ควรอยู่ห่างๆ ไว้ย่อมดีที่สุด

 

 

หลังจากรับมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว คนจากตระกูลสามีของคุณหนูสิบหกตระกูลกู้ก็ปักปิ่นให้นาง หยวนซื่อและพวกผู้ใหญ่ถูกเชิญให้ไปยังห้องนอนของคุณหนูสิบหกตระกูลกู้ ส่วนโจวเสาจิ่นกับพวกเด็กสาวก็ถูกทิ้งเอาไว้อยู่ในบริเวณลาน

 

 

พวกนางซึ่งเป็นเด็กสาวเหล่านี้จำต้องอยู่รวมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

 

ตอนที่โจวเสาจิ่นแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งก็ใช้หลักสามหนังสือหกพิธีการ เช่นกัน นางจึงไม่ได้สนใจพิธีหมั้นหมายเหมือนเด็กสาวคนอื่นๆ ขนาดนั้น นางยืนรอฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอยู่ใต้ต้นทับทิมในบริเวณลาน

 

 

ข้างๆ มีเด็กสาวสองคนกระซิบกระซาบคุยกันอยู่ตรงนั้น “เจ้าเห็นหรือไม่ คนนั้นก็คือคุณหนูใหญ่ตระกูลอู๋ ได้ยินมาว่าครั้งก่อนทำตัวเป็นที่ขบขันที่ตระกูลเฉิง เหตุใดช่วงนี้ยังจะออกมาร่วมงานข้างนอกได้อีก เช่นนี้ดีแล้วหรือ”

 

 

“มีอะไรที่ไม่ดีอย่างนั้นหรือ” เด็กสาวอีกคนหนึ่งกล่าวอย่างเสียดสี “ตระกูลอู๋ไม่ใช่ตระกูลที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์อะไร พวกเจ้าคงจะยังไม่รู้ ตระกูลอู๋คงจะเป็นนางนี่แหละที่พอจะมีรูปร่างหน้าตางดงามอยู่บ้าง ใต้เท้าอู๋ได้ประกาศออกมาว่า ต้องการหาสามีในเมืองจินหลิงให้นางคนหนึ่ง นอกจากนี้ยังไม่ถามถึงอายุ สถานะของตระกูล หรือความสามารถของผู้จะมาเป็นบุตรเขยแต่อย่างใด พวกเจ้าลองคิดดู ไม่ถามถึงอายุหรือสถานะของตระกูล นั่นก็หมายความว่า ต้องการเลือกผู้ที่รับราชการในราชสำนักแล้ว ขอเพียงเป็นผู้ที่รับราชการในราชสำนักก็พอ ไม่สนใจเลยว่าผู้นั้นจะมีภรรยาที่ตายไปแล้วหรือจะมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ นี่ไหนเลยจะเป็นการเลือกบุตรเขย เป็นการเลือกสหายร่วมราชสำนักเสียมากกว่ากระมัง”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

 

 

เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ตระกูลเฉิง อู๋เป่าจางถึงได้มีชะตากรรมเช่นนี้หรือ หรือว่านายท่านอู๋ตัดสินใจอยากให้อู๋เป่าจางแต่งงานเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว?

 

 

ไม่แปลกใจที่ฮูหยินอู๋จะพาอู๋เป่าจางออกมาร่วมงานสังสรรค์ทางสังคมด้วยอีกครั้ง คงปรารถนาจะหาสามีคนหนึ่งให้นางแต่งงานด้วยให้เร็วที่สุดกระมัง

 

 

มีคนได้ยินบทสนทนาของเด็กสาวสองคนเช่นกัน กล่าวขึ้นว่า “ไม่เห็นว่านางจะน่าสงสารอย่างไรเลย!”

 

 

ซ้ำยังมีคนแย้งขึ้นว่า “น่าสงสารอะไรกัน นี่คือชะตาของนางเอง ใครกันเล่าที่ทำให้นางมีบิดาเช่นนี้!”

 

 

มีคนกระตุกแขนเสื้อของโจวเสาจิ่นเบาๆ

 

 

โจวเสาจิ่นหันกลับไป ก็เห็นใบหน้าขาวสดใสใบหน้าหนึ่ง

 

 

นางฉงนเล็กน้อย

 

 

เด็กสาวคนนั้นกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองตระกูลโจว ท่านจำข้าไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ”

 

 

เสียงของนางแผ่วเบาและพกพาความขลาดกลัวอยู่หลายส่วน โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าท่าทางการพูดจาของนางคล้ายคลึงกับท่าทางของตนในชาติก่อนเล็กน้อย แต่นางก็จำเด็กสาวผู้นี้ไม่ได้จริงๆ ว่านางาเป็นใคร

 

 

เด็กสาวรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก พลางกล่าว “ข้า ข้าคือหลานสาวของตระกูลเจ้ากรมเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นนึกออกแล้ว

 

 

นางคือเด็กสาวคนนั้นที่พูดคุยอยู่กับอู๋เป่าจางในห้องข้างของตระกูลเฉิง

 

 

และต่อมาเมื่อตนโต้เถียงกับอู๋เป่าจาง นางก็คือเด็กสาวที่วิ่งหนีออกไปผู้นั้น

 

 

………………………………………………………………….