“เป็นเจ้า!” โจวเสาจิ่นยิ้มกล่าว “ขออภัยด้วย ข้าจำคนไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่นัก…”
หญิงสาวหัวเราะขึ้นมา กล่าวอธิบายแทนนางว่า “ข้ารู้ คุณหนูตระกูลอู๋สร้างความเดือดร้อนให้เจ้า…เจ้าในเวลานั้นคงจะไม่ทันได้สังเกตุเห็นผู้อื่น…” นางเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้ามากับผู้ใดหรือ ส่วนข้ามากับท่านย่าของข้า ท่านปู่ของข้าเคยเป็นนักเรียนของตระกูลกู้มาก่อน แล้วพวกเจ้าเล่า?”
โจวเสาจิ่นเล่าเรื่องของตนให้ฟังอย่างรวบรัด
มีคนตะโกนเรียกนางขึ้นมาว่า “คุณหนูรองตระกูลโจว!”
โจวเสาจิ่นหันศีรษะไป เห็นอู๋เป่าจางกำลังมุ่งหน้าเดินมาทางนาง
คุณหนูซุนรีบก้มศีรษะลง ให้ความรู้สึกเหมือนต้องการหลบเลี่ยงอู๋เป่าจางอยู่เล็กน้อย
ความสนใจทั้งหมดของอู๋เป่าจางอยู่ที่โจวเสาจิ่น จึงไม่ได้สังเกตเห็นคุณหนูซุน
“คุณหนูรองตระกูลโจว” นางยิ้มร่าขณะย่อเข่าลงคาราวะโจวเสาจิ่น พลางกล่าว “เรื่องในครั้งก่อนล้วนเป็นข้าที่ทำไม่ถูก กล่าววาจาเลื่อนลอยตามคำเล่าลือโดยไร้หลักฐาน จึงขอให้เจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจ เจ้าคือคนที่ข้ารู้จักเป็นคนแรกนับตั้งแต่ที่เดินทางมาถึงเมืองจินหลิง ข้าหวังว่าพวกเรายังคงสามารถเป็นดังเช่นก่อนหน้านี้ เป็นสหายที่ดีต่อกัน เจ้าสามารถยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”
น้ำเสียงช่างจริงใจเป็นอย่างยิ่ง
โจวเสาจิ่นพบว่าผู้คนโดยรอบต่างก็กำลังเงี่ยหูฟังอยู่
นางอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มเย็นอยู่ในใจ
เมื่อเห็นว่าคำหลอกลวงใช้ไม่ได้ผล จึงเปลี่ยนกลยุทธ์โดยแสร้งทำเป็นรู้สึกผิดอย่างไม่สบายใจแทนอย่างนั้นหรือ
ไม่ว่าสิ่งที่อู๋เป่าจางกล่าวออกมาจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ แต่หากนางปฏิเสธคำขอโทษของอู๋เป่าจางในสถานการณ์นี้ ก็คงจะทำให้ผู้คนคิดได้ว่าตนไม่มีความเมตตาต่อผู้อื่นและมีจิตใจที่คับแคบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในเมื่อต้องการประชันความใจกว้าง เช่นนั้นก็มาดูว่าใครจะใจกว้างได้มากกว่ากัน!
โจวเสาจิ่นเพียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูอู๋กล่าวหนักเกินไปแล้ว! ข้าไม่เคยกล่าวโทษเจ้าเลย แล้วเหตุใดถึงกล่าวคำพูดว่า ยกโทษ ได้เล่า? เรื่องราวผ่านไปแล้วก็ให้แล้วไป ยังขอให้คุณหนูอู๋อย่าเก็บมาใส่ใจ ในทุกๆ วันนอกจากเรียนหนังสือและคัดพระธรรมแล้ว ก็ทำงานเย็บปัก หากคุณหนูอู๋มีเวลาว่างก็ไปนั่งเล่นที่จวน ข้ายินดีต้อนรับคุณหนูอู๋มาเป็นเป็นแขกยิ่งนัก”
“เช่นนี้ก็ดียิ่งนัก!” อู๋เป่าจางผ่อนลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง ด้วยท่าทางราวกับจิตใจที่แขวนอยู่บนตะขอเกี่ยวที่สุดท้ายก็ได้ผ่อนคลายลง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าได้แต่เป็นกังวลมาโดยตลอดว่าเจ้าจะกล่าวโทษข้า พอมาคิดดูอีกทีแล้ว กลับเป็นข้าเองที่คิดมากเกินไป” ขณะที่นางพูด ก็ก้าวออกมาสองสามก้าว ปรารถนาจะไปดึงแขนของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หมุนกายไปดึงแขนของคุณหนูซุน พลางกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูซุน ท่านนี้คือบุตรสาวของไต้เท้าอู๋ผู้เป็นท่านเจ้าเมืองของจินหลิง เมื่อตอนงานวันเกิดของท่านผู้นำจวนรองในคราวก่อน พวกเจ้าก็เคยพบหน้ากันมาก่อน เจ้ายังจำได้หรือไม่”
มีเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ ดังขึ้นอยู่รอบๆ
คุณหนูซุนทักทายอู๋เป่าจางอย่างฝืนๆ
อู๋เป่าจางกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยถามถึงเหตุการณ์หลังจากที่ทั้งสองแยกจากกันแล้วขึ้นมา
คุณหนูซุนตอบอย่างติดๆ ขัดๆ อยู่สองสามประโยค ก็หันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้โจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นกำลังจะช่วยคุณหนูซุนออกจากสถานการณ์อึดอัดนั้น ทันใดนั้นกลุ่มคนที่ออกันอยู่ที่หน้าประตูของคุณหนูสิบหกตระกูลกู้ก็แยกออกเป็นสองข้างราวกับถูกชะล้างด้วยน้ำหลาก ฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้เดินออกมาพร้อมกับคนจากตระกูลสามีของคุณหนูสิบหกตระกูลกู้
คุณหนูซุนกระซิบที่ข้างหนูของโจวเสาจิ่นว่า “ท่านย่าของข้าไม่ให้ข้าเล่นกับคนของตระกูลอู๋”
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ
คุณหนูซุนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา โดยชี้ไปที่ห้องนอนของคุณหนูสิบหกตระกูลกู้พลางกล่าว “คุณหนูรอง เจ้าดูสิ”
โจวเสาจิ่นมองไป
ในวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ ฮูหยินคนที่ฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้กำลังเดินมาพร้อมกันนี้สวมเอาไว้ด้วยชุดของฮูหยินขั้นสาม ปิ่นปักผมดอกไม้และต้นไม้เปล่งประกายระยิบระยับอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์
งานสำคัญอย่างงานแต่งงาน การเชิญบุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญที่สุดในบ้านมาร่วมด้วย ก็เป็นเรื่องที่ปกติเป็นอย่างยิ่ง!
โจวเสาจิ่นไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ผิดปกติ
คุณหนูซุนถอนหายใจอย่างซาบซึ้ง “หญิงสาวของตระกูลกู้ล้วนแล้วแต่ได้แต่งงานเป็นอย่างดี ตอนงานแต่งของคุณหนูสิบสี่ในครั้งก่อน ถึงแม้ว่าผู้ที่มาปักปิ่นให้จะไม่มียศตำแหน่ง แต่ก็สวมเอาไว้ด้วยลูกประคำข้อมือสิบแปดเม็ดที่ทำจากหยกมันแพะเส้นหนึ่ง ท่านย่าของข้าบอกว่า เป็นของที่ตกทอดกันมาแต่โบร่ำโบราณ มีมูลค่าที่ประเมินมิได้…”
โจวเสาจิ่นหัวเราะขึ้นมา กล่าวเสียงเบาว่า “วางใจเถอะ เจ้าก็จะได้เช่นนั้นเหมือนกัน”
คุณหนูซุนหน้าแดงด้วยความขัดเขิน
อู๋เป่าจางที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเย้าแหย่คุณหนูซุนขึ้นมาว่า “ดูแล้วคุณหนูซุนคงใกล้จะได้แต่งงานแล้วใช่หรือไม่”
คุณหนูซุนได้ยินเช่นนั้นแล้วประเดี๋ยวก็หน้าแดง ประเดี๋ยวก็หน้าซีดเผือด ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะกล่าวออกมาว่า “คุณหนูอู่ช่างแปลกคนยิ่งนัก เป็นสาวเป็นนาง แต่กลับมาพูดจาเช่นนี้กับข้าได้…ข้าไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรเสียจริงๆ!”
ใบหน้าของอู๋เป่าจาง เห่อ แดงขึ้นมา
นางที่เติบโตอยู่ที่บ้านเดิมมาตั้งแต่เล็กๆ ระหว่างพี่สาวน้องสาวด้วยต่างก็มักจะเย้าแหย่กันเช่นนี้…
“ข้า…ข้าเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น!” หน้าผากของอู๋เป่าจางซึมไปด้วยเหงื่อ
คำพูดเช่นเดียวกัน โจวเสาจิ่นพูดได้ แต่นางกลับพูดไม่ได้
ตอนที่อยู่ที่ตระกูลเฉิงในครั้งนั้น ไม่ได้เป็นเช่นนี้
นางเป็นคนฉลาด จึงเข้าใจสาเหตุของเรื่องนี้เป็นอย่างดี
มารดาเลี้ยงลงโทษกักบริเวณนาง นำคัมภีร์เล่มหนาเล่มหนึ่งมาให้นางคัด ยังกล่าวอย่างสละสลวยว่าต้องการให้นางชำระล้างจิตใจและทบทวนตนเอง ให้เสมือนกับว่าอยู่ในวัด ในแต่ละวันให้นางทานอาหารได้แค่สองมื้อ หลังจากมื้อเที่ยงไปแล้วไม่อนุญาตให้ทานอีก นางหิวจนเป็นลมไปหลายครั้ง หากว่าไม่ได้พี่ชายที่แอบส่งอาหารมาให้นาง นางก็คงจะไม่ได้มีชีวิตอยู่จนได้พบและหว่านล้อมบิดา แต่เหตุผลที่บิดายอมให้นางออกงานสังคมพร้อมกับมารดาเลี้ยง ก็เพียงเพราะคิดจะให้นางแต่งใครสักคนที่สามารถส่งเสริมตำแหน่งหน้าที่การงานให้กับเขาก็เท่านั้น…นางกับคุณหนูเหล่านี้ไม่เหมือนกัน พวกเนางทำผิดก็ยังมีคนคอยปกป้อง แต่ถ้านางทำผิด กลับมีเพียงถนนแห่งความตายเส้นเดียวเท่านั้น!
“คุณหนูซุน” อู๋เป่าจางอดไม่ได้ที่จะจับแขนของคุณหนูซุนเอาไว้ “ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…” ในตาของนางเผยสายตาวิงวอนออกมาให้เห็นอย่างช่วยไม่ได้
คุณหนูซุนไม่ใช่เด็กสาวที่ใจร้าย เมื่อเห็นอู๋เป่าจางวางสถานตัวเองลงต่ำขนาดนั้น ก็กระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อย รีบกล่าวขึ้นว่า “เจ้าอย่าเช่นนั้นเลย ข้าไม่ได้กล่าวโทษเจ้า…”
อู๋เป่าจางโล่งใจไปครั้งหนึ่ง
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
อู๋เป่าจางที่ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งหลังจากที่ถูกฮูหยินอู๋กักบริเวณแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับชาติก่อน ความเย่อหยิ่งที่ฝังอยู่ในกระดูกเช่นนั้นไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ในทางตรงกันข้ามมันกลับยิ่งเพิ่มความประจบประแจงมากยิ่งขึ้น!
คนๆ หนึ่ง หากไร้ซึ่งความเคารพนับถือตนเองแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนไม่อาจทำออกมาได้
ด้านข้างมีคนหัวเราะ คิก ออกมาเสียงหนึ่ง
สีหน้าของอู๋เป่าจางพลันเปลี่ยนสี พลางมองไปตามเสียง
โจวเสาจิ่นเองก็มองตามไปด้วยอย่างสนใจใคร่รู้
เป็นเด็กสาวผู้หนึ่งที่มีอายุไล่เลี่ยกันกับอู๋เป่าหวา สวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าฝ้ายสีแดงเลือดหมู กระโปรงจีบเนื้อบางสีขาว หน้าตางดงามหมดจด ที่คอยังสวมเอาไว้ด้วยสร้อยคอมุกและหยกเลี่ยมทองเส้นหนึ่ง ส่องแสงแวววาว ตระการตายิ่งนัก
เด็กสาวเห็นว่าพวกนางมองไป ไม่เพียงไม่หลบ กลับยังหันมาหัวเราะให้พวกนางอย่างไม่เกรงกลัว
โจวเสาจิ่นอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
มีเสียงอื้ออึงอยู่ในเรือน ฮูหยินใหญ่ตระกูลกู้และคนจากทางบ้านของสามีของคุณหนูสิบหกตระกูลออกจากเรือนไปแล้ว นายหญิงกู้ที่เจ็ดก็เชิญให้ทุกคนไปเล่นไพ่และฟังอาจารย์หญิงกล่าวคำสอนที่ห้องโถงรับแขก
โจวเสาจิ่นเห็นฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกำลังยืนมองหานางอยู่บนขั้นบันใด
นางเอ่ยถามคุณหนูซุน “เจ้าจะไปที่ห้องโถงรับแขกพร้อมข้าหรือจะรอท่านย่าของเจ้าอยู่ที่นี่?”
“ข้ารอท่านย่าของข้าอยู่ที่นี่ดีกว่า” คุณหนูซุนกล่าวเสียงนุ่ม
โจวเสาจิ่นหันไปพยักหน้าให้อู๋เป่าจาง จากนั้นก็รีบเดินไปรวมกลุ่มกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยน หยวนซื่อ และพี่สาว
ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังห้องโถงรับแขก
โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ที่จะหันไปมองยังที่ๆ เด็กสาวผู้นั้นยืนอยู่อีกครั้ง
ทว่าไม่พบเด็กสาวผู้นั้นแล้ว
ญาติของตระกูลกู้มีมาก ชาติก่อนโจวเสาจิ่นแทบจะไม่ได้ออกมาร่วมงานสังคม ในชาตินี้ก็รู้จักคนเพียงไม่กี่คน เพียงแต่รู้สึกว่าเด็กสาวผู้นั้นช่างไม่เกรงกลัวและกล้าหาญยิ่งนัก ถึงได้อยากมองให้นานอีกสักหน่อย ในเมื่อคนอื่นเขาได้จากไปแล้ว นางจึงไม่เก็บมาใส่ใจอีก
สตรีที่มาร่วมงานแบ่งออกมาเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเล่นไพ่ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งไปฟังอาจารย์หญิงกล่าวคำสอน
เดิมทีแล้วหยวนซื่อกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอยากจะไปฟังคำสอน ปรากฏว่าถูกคนดึงไปเล่นไพ่แทน นายหญิงกู้ที่เจ็ดเห็นว่าโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นถูกทิ้งเอาไว้ลำพัง จึงเรียกคุณหนูสิบเจ็ดตระกูลกู้มาอยู่เป็นเพื่อนพวกนาง
คุณหนูสิบเจ็ดเอ่ยถามพวกนางว่า “พวกเราไปที่ไหนกันดี? หรือ…ไปฟังคำสอนดีหรือไม่”
โจวชูจิ่นไม่ติดขัดอะไรยังไงก็ได้ โจวเสาจิ่นเห็นอู๋เป่าหวาอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินอู๋ที่เล่นไพ่อยู่ในห้องโถงรับแขก ส่วนอู๋เป่าจางยืนฟังคำสอนกับเด็กสาวผู้หนึ่งที่นางไม่รู้จักอยู่ตรงโถงทางเดิน นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไปเดินเล่นในสวนได้หรือไม่”
“ได้สิ!” คุณหนูสิบเจ็ดกล่าวยิ้มๆ “ไม่ไกลจากที่นี่สักเท่าไหร่จะเป็นศาลาริมน้ำของจวนพวกข้า ที่นั่นมีลมโกรกเย็นสบายดียิ่งนัก”
โจวเสาจิ่นไปแจ้งหยวนซื่อและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนให้ทราบ จากนั้นตามคุณหนูสิบเจ็ดไปที่ศาลาริมน้ำ
ถึงแม้จะเป็นภูเขาและแม่น้ำจำลองที่สร้างขึ้นมา แต่ก็เป็นทัศนียภาพของทะเลสาบและภูเขาที่งดงามยิ่ง เพียงมองข้ามไป ก็ทำให้สบายตายิ่งนัก
สองพี่น้องตระกูลโจวและคุณหนูสิบเจ็ดนั่งคุยกันอยู่บนที่นั่งเหม่ยเหรินของศาลาริมน้ำ “…เหนียงที่สิบเก้าคือท่านอาของพวกเจ้าหรือ”
คุณหนูสิบเจ็ดพยักหน้า พลางกล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “คนรุ่นก่อนหน้าพวกข้าทั้งหมดล้วนเรียกว่า เหนียง ส่วนคนรุ่นพวกข้าทั้งหมดจะเรียกว่า กู ชื่อของข้าคือกูที่สิบเจ็ด”
โจวเสาจิ่นรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
คุณหนูสิบเจ็ดหัวเราะร่าอย่างเสียงดังฟังชัด พลางกล่าว “คนในตระกูลของพวกข้ามีมาก หากไม่เรียงชื่อเช่นนี้ คงจะไม่สามารถแยกออกได้ว่าใครเป็นใคร”
มีเสียงคนเรียกเข้ามาจากด้านนอกของศาลาริมน้ำ “กูที่สิบเจ็ด เป็นเจ้าเองหรือ ข้าได้ยินเสียงแล้วก็ว่าคลับคล้ายคลับคลาเสียงเจ้ายิ่งนัก!”
คุณหนูสิบเจ็ดกระโดดตัวโหยงขึ้นมา ยื่นหน้าออกไปตะโกนขึ้นว่า “อาจู ก่อนที่พี่สิบหกของข้าจะปักปิ่นยังถามถึงเจ้าว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่มา เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเมื่อตะกี้ไปอยู่เสียที่ใด ทำไมข้าถึงไม่เห็นเจ้าเลย”
โจวเสาจิ่นมองตามสายตาของคุณหนูสิบเจ็ดไป
ก็เห็นคนผู้หนึ่งที่สวมสร้อยคอมุกและหยกที่เปล่งประกายแวววาว
ที่แท้ก็เป็นเด็กสาวที่หัวเราะอู๋เป่าจางผู้นั้น
คิดไม่ถึงว่าพวกนางจะมาเจอกันอีกแล้ว
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว เด็กสาวที่ชื่อ ‘อาจู’ ผู้นี้คงจะสนิทสนมกับบรรดาคุณหนูของตระกูลกู้เป็นอย่างมาก
ม่านเซียงเฟยถูกยกขึ้น อาจูพาบ่าวรับใช้อายุประมาณสี่สิบปีผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยอย่างยิ้มแย้ม “ข้าติดตามท่านแม่ของข้ามาถึงตั้งนานแล้ว ปรากฏว่าถูกฮูหยินใหญ่ของพวกเจ้าดึงตัวไปพูดคุยด้วยอยู่พักใหญ่ ปลีกตัวออกมายากยิ่งนัก ปรากฏว่าคนจากทางบ้านของสามีของพี่สาวสิบหกมาถึงกันเสียแล้ว ข้าจึงได้แต่พิงดูอยู่ตรงหน้าต่างกว่าครึ่งค่อนวัน” ขณะที่นางพูด ก็กล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่สาวสิบหกต้องถามถึงข้า ฉะนั้นรอจนคนที่มาปักปิ่นจากไปแล้ว ข้าจึงวิ่งเข้าไปคุยกับนางแล้วกว่าพักใหญ่ ต่อมาได้ยินว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ก็เลยพากงมามาติดตามมาที่นี่” นางกล่าวทักทายโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นอย่างเป็นกันเองขึ้นมาก่อนว่า “ทั้งสองท่านนี้คือพี่สาวจากตระกูลโจวใช่หรือไม่ พวกท่านช่างงดงามมากจริงๆ! เมื่อตะกี้ทุกคนต่างก็พูดกันว่ามีสาวงามสองคนมาที่ตระกูลกู้ ข้ามองหาตั้งนานก็หาพวกท่านทั้งสองคนไม่เจอเสียที โชคดีที่ข้าฉลาด นึกถึงพี่สาวสิบเจ็ดขึ้นมาได้” นางกล่าวแนะนำตัวเองว่า “ชื่อของข้าคือจูจู ปีนี้อายุสิบสอง น่าจะอายุน้อยกว่าพวกท่าน พวกท่านเรียกข้าว่าอาจูก็พอแล้ว คนที่บ้านของข้าต่างก็เรียกข้าเช่นนี้”
โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นต่างก็มีบุคลิกที่ค่อนข้างจะเงียบขรึมกว่า อาจูนั้นเปิดเผย มีชีวิตชีวา ทั้งยังกระตือรือร้นและใจกว้าง ทั้งสองคนจึงรู้สึกดีกับนางเป็นอย่างมาก โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นก้าวออกไปทำความรู้จักกับจูจู โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ขึ้นว่า “ข้าอายุมากกว่าเจ้าจริงๆ เช่นนั้นข้าก็จะขอเรียกเจ้าอย่างง่ายๆ ว่า อาจู ก็แล้วกัน! อาจู ปีนี้น้องสาวของข้าก็อายุสิบสองเช่นกัน อย่างไรก็ตามนางเกิดช่วงฤดูหนาว จึงน่าจะอ่อนกว่าเจ้าเล็กน้อย!”
“จริงหรือ!” อาจูพลันยินดีขึ้นมา พลางกล่าว “ข้าเกิดเดือนหก เช่นนั้นข้าก็ได้เป็นพี่สาวแล้ว!” นางให้โจวเสาจิ่นเรียกนางว่าพี่สาว และกล่าวอีกว่า “พี่สาวต้องมอบของขวัญสำหรับพบหน้าแก่น้องสาวเสียแล้ว”
โจวเสาจิ่นรู้สึกขัดเขิน
กงมามาที่ติดตามเข้ามากับอาจูกระแอมไอขึ้นมาเสียงหนึ่ง กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “พบหน้ากันครั้งแรก คุณหนูใหญ่ท่านไม่ได้เตรียมของขวัญสำหรับพบหน้ามาด้วย เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันเจ้าค่ะ!”
“จริงด้วย!” อาจูยิ้มจนตาหยีเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว พลางกล่าว “เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เป็นพี่สาวของผู้อื่น ต้องเตรียมของขวัญสำหรับพบหน้าดีๆ สักชิ้นถึงจะถูก” ขณะที่พูด นางก็ไปดึงมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ “เจ้ามีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็ไปเป็นแขกที่จวนของข้านะ”