ตอนที่ 55 การกลับมาของคนรู้จัก

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 55 การกลับมาของคนรู้จัก

อันหลิงเฉ่วแอบถามข่าวคราวของมู่จวินฮานอย่างเงียบ ๆ แต่อันหลิงเกอมีหรือจะให้นางสมปรารถนา ?

นางแกล้งกล่าวพล่ามไร้สาระอยู่สักพัก แต่มิมีข่าวใดเลยที่อันหลิงเฉ่วอยากจะได้ยินเลย

รอยยิ้มบนใบหน้าของอันหลิงเฉ่วดูฝาดเฝื่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมิสามารถรักษาความไร้เดียงสาบนใบหน้าของตัวเองไว้ได้  นางถึงขั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้และกล่าวคำอำลากับอันหลิงเกอ อันหลิงเกอเมื่อเห็นเช่นนั้นก็แสร้งทำราวกับมิเต็มใจที่จะให้นางกลับเรือนไป นางแสร้งจับมือของอันหลิงเฉ่วเอาไว้ แล้วเอ่ยขอร้องให้อันหลิงเฉ่วอยู่ต่ออีกครู่หนึ่ง

“มันยากมากที่ใครจะมาหาพี่ที่นี่ มีเพียงเจ้าซึ่งเคยมาที่นี่ถึง 2 ครั้ง จึงเป็นเหตุให้เรือนฉีอู๋ของพี่นั้นดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง  อีกทั้งข้ายังรู้สึกว่ายังพูดกับเจ้าไปเพียงแค่มิกี่คำเอง น้องเฉ่วเอ๋อก็จะไปแล้วรึ ? ”

อันหลิงเฉ่วยิ้มอย่างเสน่หา

“ข้าก็อยากจะอยู่กับพี่หญิงอีกสักพัก แต่ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ถ้าข้ามิกลับไป ข้าเกรงว่าท่านแม่จะบิดหูและดุข้าเอาได้น่ะเจ้าคะ” ในเมื่อนางกล่าวมาถึงเพียงนี้แล้ว อันหลิงเกอก็มิได้ขอร้องให้นางอยู่ต่อ จึงให้ปี้จูไปส่งอันหลิงเฉ่วแทน ปี้จูเมื่อส่งอันหลิงเฉ่วออกไปจากเรือนฉีอู๋ด้วยความเคารพแล้ว  ก็หันหลังกลับมาในห้อง แล้วเอามือปิดปากหัวเราะออกมา

“คุณหนู ท่านนี่ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริงนะเจ้าคะ”

ถึงปากนางจะกล่าวออกไปเยี่ยงนั้น แต่สีหน้ากับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ท่านรู้ทั้งรู้ว่าคุณหนูรองมาเพื่อสอบถามข่าวคราวของท่านมู่จื่อซื่อ ท่านยังแกล้งทำเป็นกล่าวถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนทำเอาคุณหนูรองนั่งมิติด บ่าวว่านะเจ้าคะ ต่อจากนี้คุณหนูรองคงมิคิดที่จะมาที่นี่อีกแล้วล่ะเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอก็มีใบหน้าที่เปื้อนยิ้มอยู่เช่นกัน เมื่อนึกถึงอันหลิงเฉ่วที่อยากแต่งกับมู่จวินฮาน เรื่องนี้มิเท่าไหร่ เพราะหญิงสาวส่วนใหญ่ในเมืองหลวงก็คิดเช่นนาง แต่เพื่อที่นางจะได้แต่งงานกับมู่จวินฮานนั้น นางกลับถึงขั้นส่งถุงเงินกลิ่นชะมดมาให้กับตน เพื่อให้ตนเกิดภาวะมีลูกอยากนั้น เรื่องเยี่ยงนี้มิอาจจะยกโทษให้ได้

ในตอนนี้อันหลิงเฉ่วยังคิดว่าตัวเองฉลาดและต้องการทราบข่าวคราวจากนาง  แต่สุดท้ายกลับมิได้อันใดกลับไปเลย ถ้าให้คาดเอาจากนิสัยของอันหลิงเฉ่ว เกรงว่านางคงจะมิมาหาตนอีกนานทีเดียว เป็นดั่งที่อันหลิงเกอคาดคิดไว้มิมีผิด จนถึงก่อนงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ อันหลิงเฉ่วก็มิเคยเฉียดกรายมาที่เรือนฉีอู๋อีกเลย

แต่มีคนอื่นมาที่เรือนฉีอู๋แทน อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้นมองสาวรับใช้ชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าและกำลังฟังที่นางสาธยายว่าความคิดถึงที่มีต่อตนเองอยู่ “คุณหนู มิรู้ในช่วงหนึ่งเดือนที่ข้าจากที่นี่ไปนั้น มิมีวันไหนเลยที่มิคิดถึงคุณหนูเลยเจ้าค่ะ ข้ากลัวว่าท่านจะกินมิอิ่ม แต่งตัวมิดี รู้สึกปล่อยวางมิได้สักที  สุดท้ายจึงไปขอร้องฮูหยินรอง ขอให้บ่าวกลับมาดูแลรับใช้อยู่ข้างกายคุณหนูอีกสักคราเจ้าค่ะ” คนที่อยู่ตรงหน้านี้ คือแม่นมของนางมีแซ่ว่า “จ้าว” ออกจากจวนโหวไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน เมื่อได้เห็นแม่นมผู้นี้อีกครั้งก็พลันให้นึกถึงเมื่อในชาติก่อน นางได้อ้างว่าหลานชายของนางที่บ้านป่วยหนัก หลังไปจากจวนโหวก็มิมีข่าวคราวอันใดอีกเลย อันหลิงเกอคิดเพียงว่านางได้กลับบ้านเกิดไปแล้ว จึงมิได้สนใจเรื่องนี้อีกเลย แต่ตอนนี้นางได้กลับมาถึงจวนโหวแล้ว มันจึงทำให้อันหลิงเกอเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมา แต่ใบหน้าของอันหลิงเกอมิได้แสดงทีท่าอันใดให้เห็นแม้แต่น้อย ทำราวกับว่ากำลังฟังอย่างตั้งใจ แม่นมผู้นั้นปาดน้ำตาอีกครั้ง แล้วพร่ำพรรณนาออกมามิหยุด

“ในตอนนี้บ่าวกลับมาอยู่เคียงข้างคุณหนู สามารถดูแลคุณหนูได้ด้วยตนเองก็รู้สึกโล่งใจแล้วเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอมองแม่นมด้วยความซาบซึ้งใจ  ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“แม่นม เมื่อเดือนก่อนท่านจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ข้าคิดว่าท่านจะมิกลับมาอีกแล้ว ข้าเสียใจอยู่นานมากเลยนะ” แม่นมเมื่อได้ฟังก็หยุดร้องไห้ไปครู่หนึ่ง เป็นเพียงแค่ชั่วพริบตาก็ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

“ตอนนั้นหลานชายที่บ้านของข้าป่วยหนัก ก็เป็นเรื่องปกติที่ข้าจะต้องรีบกลับไปดูแล ตอนนี้เขาหายดีแล้วเจ้าค่ะ ข้าก็ยิ่งคิดถึงคุณหนูมากขึ้นถึงได้หน้าด้านกลับมาที่จวนโหวอีกครา คุณหนูคงมิยินดีต้อนรับหญิงชราผู้นี้แล้วละเจ้าค่ะ” “แม่นมกลับมา ข้าต้องรู้สึกดีใจสิ จะมิยินดีต้อนรับท่านได้เยี่ยงไรกัน”

จากนั้นอันหลิงเกอก็หันหน้ามาสั่งให้ปี้จูที่อยู่ด้านข้าง

“แม่นมเดินทางมาทางเรือ เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง ไปพักผ่อนก่อนเถอะ มิจำเป็นต้องมาดูแลข้าที่นี่”

ปี้จูเข้าใจดีว่านี่เป็นการจัดการกับแม่นม และในขณะเดียวกันก็เป็นการขับไล่แม่นมออกจากเรือนฉีอู๋ของคุณหนู  เพื่อมิให้แม่นมได้ติดต่อกับคุณหนูมากเกินไป แม่นมมิรู้ว่าคำกล่าวของอันหลิงเกอนั้นมีความหมายอื่นแฝงอยู่  ยังคิดไปว่าอันหลิงเกอเคารพตัวเองดังเช่นแต่ก่อน จึงตามปี้จูไปที่ห้องของนางทันที   รอจนถึงวันถัดมา  แม่นมก็แสดงฤทธิ์เดชออกมา เดิมทีนางก็เป็นแม่นมที่มีตำแหน่งสูงสุดของเรือนฉีอู๋ รับหน้าที่ดูแลกิจการภายในของเรือนฉีอู๋ทั้งหมด ตอนนี้นางกลับมาที่เรือนฉีอู๋อีกครั้ง จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมองสาวใช้ด้วยสายตาที่เย็นชาและหยิ่งผยอง   “คุณหนูมิชอบเครื่องประดับแบบนี้ นำมันออกไปแล้วเปลี่ยนเป็นกระถางธูปหัวสิงห์ทองขนาดเล็กที่ลงรักปิดทองนั้น” “ดอกไม้และหญ้าเหล่านี้ล้วนเป็นข้าวของที่ยุ่งเหยิง ดูแล้วรกหูรกตามิเป็นระเบียบเรียบร้อยเลย

ถ้าใครเห็นเข้าจะคิดกันไปได้ว่าลานเรือนฉีอู๋รกหูรกตาเอาได้” แม่นมเฝ้าดูมาตลอดทางและชี้สั่งให้บรรดาสาวใช้ทำโน้นทำนี้ตลอดทาง จนใบหน้าของแม่นมที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคล เมื่อนางเดินเข้าห้องมาใกล้ ๆ อันหลิงเกอก็อดที่จะทอดถอดใจยาว ๆ มิได้ แม่นมหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อตรงหน้าผาก และกล่าวกับอันหลิงเกออย่างจริงจังว่า “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวมิอยู่ที่นี่นานเดือนกว่า ๆ คนรับใช้พวกนั้นเพิกเฉยต่อท่านมากถึงเพียงนั้นเลยหรือเจ้าคะ” แม่นมพูดถึงดอกไม้และต้นไม้เหล่านั้น อันหลิงเกอรู้ดี  แต่ยังคงมิแสดงอากัปกิริยาอันใดออกมา

“เกิดเหตุอันใดขึ้นรึ สาวใช้ตัวเล็ก ๆ พวกนั้นทำอันใดที่ทำให้แม่นมมิถูกใจเช่นนั้นหรือ ? ”   แม่นมถอนใจ ทำราวกับว่ากำลังคิดถึงอันหลิงเกออยู่จริง ๆ

“คิดมิถึงว่าสาวใช้พวกนั้นจะเอาเครื่องทองและเงินทั้งหมดเก็บแทนที่ด้วยดอกไม้และเครื่องประดับทองแดงนี่อีก นี่มิใช่การดูถูกคุณหนูที่อายุยังน้อยมิประสีประสาหรอกรึเจ้าคะ ? ”  “เอาเครื่องเงินและเครื่องทองออกมาวางไว้ให้หมด เมื่อคนอื่น ๆ ได้เห็นก็จะได้รู้ว่าคุณหนูเป็นที่โปรดปรานแค่ไหนเมื่ออยู่ในจวน ถึงแม้ฮูหยินใหญ่จะเสียชีวิตไปเร็ว ก็มิมีใครกล้ามารังแกคุณหนูได้”   อันหลิงเกอมองสีหน้าท่าทีที่แม่นมเสแสร้งทำ นัยน์ตาของนางก็ฉายแววเย็นชาออกมาอย่างรวดเร็ว

เมื่อนึกย้อนถึงชาติก่อน แม่นมมักจะมากระซิบกระซาบข้างหูนางเสมอ บอกว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของนางเสียชีวิตเร็ว  กลัวว่าจะมีใครมากลั่นแกล้งนาง จึงสอนให้นางสวมเครื่องประดับทองและเงินโดยบอกว่านี่เป็นการพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นที่โปรดปราน เพื่อยืนหยัดในความแข็งแกร่งของตัวเอง แต่ในตอนนั้นตัวนางเองนั้นขี้ขลาดและไร้เดียงสา มีหรือจะคิดได้ว่าแม่นมนั้นมีเจตนาอื่นซ่อนเร้นอยู่ จึงเป็นเหตุให้นางถูกหลอกให้เปลี่ยนจากฐานะจากบุตรีภริยาเอกแห่งจวนโหวมาเป็นลูกสาวของเศรษฐีใหม่ไปได้

เมื่อนึกถึงถึงตอนนี้แววตาของอันหลิงเกอก็พลันปรากฏความเย็นชาขึ้นมา เป็นเหตุให้แม่นมหนาวสะท้านไปทั่วทั้งกาย เมื่อเผลอสบตาอันหลิงเกอโดยมิรู้ตัว   นัยน์ตาเย็นชานั้น ลึกล้ำจนมองมิเห็นถึงก้นบึ้งแม่นมตกใจมาก แต่เมื่อเหลียวกลับไปมองอีกครั้ง ก็เห็นเพียงหญิงสาวตรงหน้าขมวดคิ้วราวกับกำลังทำท่าครุ่นคิดอยู่ ด้วยท่าทีของสตรีสูงศักดิ์ ไหนเลย

จะมีสายตาที่เฉียบคมเยี่ยงนั่น.. แม่นมคิดเพียงว่าตัวเองรู้สึกตื่นตระหนกจนตาลายไปเอง แต่กลับได้ยินเสียงที่นุ่มนวลของอันหลิงเกอกล่าวขึ้นมาแทน

“ในตอนนี้ท่านย่าพาอาสะใภ้รอง อาสะใภ้สาม และพวกน้องหญิงกลับมาที่จวนแล้ว  ข้าก็มีญาติพี่น้องตั้งมากมาย มิจำเป็นต้องมีเงินทองเพื่อมาปกป้องตนเองอีกแล้ว”   “คุณหนูของข้า  มันจะเหมือนกันได้เยี่ยงไรกันเจ้าคะ ! ”

 “ฮูหยินผู้เฒ่าคือท่านย่าของท่าน  แต่มิใช่มีท่านเป็นหลานสาวเพียงแค่คนเดียว ต่อให้รักท่านมากแค่ไหน ก็คงมิลำเอียงมาทางท่านหรอกจริงหรือไม่เจ้าคะ ? นายหญิงรองกับนายหญิงสามก็ยิ่งมิต้องกล่าวถึง พวกนางต่างก็มีบุตรชายและบุตรสาวเป็นของตัวเอง  มีหรือจะมาสนใจคุณหนูเจ้าคะ” แม่นมกล่าวออกมาและจ้องมองอันหลิงเกอด้วยความปรารถนาดี  ราวกับว่ามีนางเพียงคนเดียวในโลกที่คิดถึงอันหลิงเกออย่างแท้จริง

แต่หลังจากที่นางกลับชาติมาเกิดใหม่ อันหลิงเกอก็มิได้โง่อีกต่อไป