ตอนที่ 56 ปี้จูคุมอำนาจ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 56 ปี้จูคุมอำนาจ

อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมใสคู่หนึ่งจ้องมองแม่นม ด้วยน้ำตาคลอเบ้า

“แม่นมกล่าวเยี่ยงนี้ผิดแล้ว”

เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอกล่าว แม่นมก็เอื้อมมือไปจัดระเบียบชายเสื้อของตน เห็นได้ชัดว่าอันหลิงเกอมิได้ใส่ใจคำกล่าวของนาง ใบหน้าและท่าทีของอันหลิงเกอในตอนนี้ยากที่จะอธิบาย

เป็นเหตุให้แม่นมกลั้นหายใจโดยมิรู้ตัว

“ที่เรือนของท่านพ่อมีอี๋เหนียงเพียงคนเดียว นางปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็นลูกสาวแท้ ๆ คนหนึ่งมาโดยตลอด  กับน้องอีเอ๋อ พวกเราก็มิต่างจากพี่สาวน้องสาวแท้ ๆ กันเลย ท่านอาสะใภ้รองมีบุตรชายเพียงคนเดียว และมีบุตรสาวที่เกิดจากอนุเพียงแค่คนเดียว  ถ้าจะว่าไปแล้วท่านอาสะใภ้รองก็ชอบข้าอยู่มาก  ส่วนท่านอาสะใภ้สามและน้องเฉ่วเอ๋อร์ก็ชอบมาเล่นกับข้ามากที่สุด ครอบครัวนี้ ทุกคนดีกับข้ามาก ข้ายังต้องการเงินทองพวกนั้นมาเพื่อแสดงออกถึงความรักความเอาใจใส่อีกหรือ ในเมื่อพวกเขาก็คือกำลังสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า”

อันหลิงเกอเชยคางขึ้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ราวกับเด็กผู้หญิงไร้เดียงสาที่เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของใคร ๆ แม่นมที่เห็นท่าทางเยี่ยงนั้นก็แอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจที่อันหลิงเกอโง่เขลาเบาปัญญาถึงเพียงนี้ ในจวนนี้มิมีเจ้านายคนใดที่รักอันหลิงเกออย่างแท้จริงเลยสักคน

เมื่อเห็นว่าอันหลิงเกอมิคำฟังตักเตือนของนาง  แม่นมก็ทำได้เพียงถอนหายใจ

“ถ้าคุณหนูชอบก็ทำตามใจท่านก็แล้วกันเจ้าค่ะ บ่าวก็แก่แล้ว มันก็เป็นเรื่องปกติที่คุณหนูจะรำคาญบ่าวได้”

แม่นมกล่าวเยี่ยงนี้ทำราวกับว่าสิ่งที่อันหลิงเกอกล่าวมานั้น กลับกลายเป็นว่าอันหลิงเกอรำคาญนางเสียอย่างนั้นจึงมิฟังคำที่นางตักเตือน

เพื่อให้สาวใช้คนอื่น ๆ ได้ยินว่านางนั้นได้รับความชอกช้ำและเสียใจมากเพียงใด กับแม่นมชราที่อยู่ข้างกายคุณหนูใหญ่มานานกว่าสิบปี คุณหนูใหญ่ยังกล่าวออกมาได้ว่ารำคาญ แล้วสาวใช้ตัวเล็ก ๆ อย่างพวกนางล่ะ  คุณหนูใหญ่จะปฏิบัติกับพวกนางเยี่ยงไร ?

เมื่อเห็นแม่นมไปกระตุ้นจิตใจของคนรับใช้ แววตาตาของอันหลิงเกอก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นไปอีก

ปี้จูที่อยู่ข้างกายของอันหลิงเกอก้าวขึ้นมาด้านหน้า ใบหน้ากลมเล็กดูน่าเกรงขาม

“แม่นม ข้านั้นเคารพท่านในฐานะผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกายของคุณหนู ดังนั้นแม้ว่าท่านจะอาศัยที่ตนมีอายุมากและทำเป็นผู้อาวุโสเที่ยวดูถูกผู้อื่นในเรือนฉีอู๋ ข้าก็มิเคยขัดแย้งกับท่านแม้แต่ครั้งเดียว แต่ตอนนี้ข้าอดที่จะกล่าวแทนคุณหนูสักสองสามคำมิได้ ”

หางตาของปี้จูกวาดมองไปที่คนรับใช้ที่พากันเข้ามาอย่างเงียบ ๆ และเปล่งเสียงดังขึ้นอย่างตั้งใจว่า “แม่นมเป็นคนที่ฮูหยินใหญ่คัดเลือกเข้ามาอยู่ในจวน ตั้งแต่คุณหนูเกิดมาก็อยู่ดูแลคุณหนูมาโดยตลอด  ถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้ว ท่านน่าจะรักคุณหนูเข้ากระดูกเลยก็ว่าได้ และปฏิบัติต่อนางเหมือนเช่นเดียวกับหลานสาวของตนเอง”

“ข้าได้กล่าวอันใดที่ดูมิเหมาะสมสักคำหรือไม่ ?  บ่าวแก่ ๆ ผู้นี้เดิมก็ปฏิบัติต่อคุณหนูราวกับหลานสาวของตนเองอยู่แล้ว ดังนั้นจึงทนมิได้ที่จะเห็นคุณหนูได้รับความลำบาก”

แม่นมพูดตัดบทปี้จู เริ่มแสดงละครออกมา พร้อมเช็ดน้ำตาซึ่งมันมิมีอยู่จริงที่ขอบตาตัวเอง

“ถ้ามิใช่เพราะหลานชายตัวน้อยที่บ้านของข้าป่วยหนัก มิว่าอย่างไรบ่าวชราผู้นี้ก็คงจะมิมีทางทิ้งคุณหนูไปได้อย่างแน่นอน”

ปี้จูทำเสียงเยาะเย้ยออกมา

“แม่นม ท่านช่างกล้าเสียจริง คุณหนูเป็นเจ้านาย ท่านเป็นบ่าวรับใช้ ท่านได้รับเงินจากจวนโหว เดิมทีควรคอยติดตามปรนนิบัติรับใช้คุณหนู”

“ถ้าข้าจำมิผิด  แม่นมลงลายมือชื่อขายตัวเป็นทาสมิใช่หรือ ? นั่นก็หมายความว่าเว้นแต่นายจะคืนสัญญาขายตัวเป็นทาสให้แม่นม ท่านถึงจะออกไปจากจวนโหวได้ มิเช่นนั้นท่านจะกลับบ้านไปดูหลานชายตัวน้อยที่ป่วยของเจ้าได้เยี่ยงไร ข้ามิเจอแม้แต่เงาของท่านมาเดือนกว่าแล้ว ?”

ปี้จูก้าวไปข้างหน้าอีกสองก้าวและเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าแม่นม ใบหน้าที่ไร้เดียงสานั้น แต่ตอนนี้กลับมีความน่าเกรงขามมิน้อย

“เป็นคุณหนูที่ใจดีมีเมตตา  เมื่อได้ยินว่าหลานชายที่บ้านของแม่นมป่วยหนัก จึงให้บ่าวนำใบสัญญาขายตัวเป็นทาสของแม่นมออกมาและปล่อยให้แม่นมกลับบ้าน และยังควักเงินที่ตัวเองสะสมไว้ให้แม่นมไปเลี้ยงดูตัวเองยามแก่ชราอีก 100 ตำลึง คุณหนูจิตใจดีมีเมตตาถึงเพียงนี้แล้ว แม่นมมิกล่าวขอบคุณและซาบซึ้งใจ แต่หลังจากกลับมาถึงจวน ก็กล่าวหาว่าคุณหนูซุกซน กล่าวไปกล่าวมาก็มาต่อว่าคุณหนูรังเกียจที่ท่านแก่ไร้ประโยชน์ ท่านคิดอันใดอยู่กันแน่ ? ”

อันหลิงเกอหลับตาลง ดูเสียใจมิน้อย ร่างกายที่ผอมบางตอนนี้ดูซูบผอมลงไปอีก

“ปี้จูหยุดกล่าวเสียเถิด”

นางดึงชายเสื้อของปี้จู น้ำเสียงฟังดูแผ่วเบา

“ที่แม่นมจากไปก็เพื่อหลานชายนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์  ข้าเข้าใจความลำบากของแม่นมดี ต่อให้แม่นมกลับมาแล้วสั่งให้ข้าทำโน้นทำนี้  เยี่ยงไรเสียนางก็เป็นแม่นมของข้านะ ! ”

คำว่าแม่นมสองคำดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความชอกช้ำใจแสนสาหัส บ่าวรับใช้ที่แอบฟังต่างรู้สึกว่า อันหลิงเกอจะต้องเสียใจเป็นอย่างมากเป็นแน่

เพราะใคร ๆ ต่างก็รู้ว่า คุณหนูใหญ่เสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก ท่านโหวก็ยุ่งกับเรื่องกิจการบ้านเมือง

กล่าวได้เลยว่าเมินเฉยต่อการมีอยู่ของคุณหนูใหญ่ มีเพียงแม่นมเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างคุณหนูใหญ่มาตั้งแต่เล็กจนโต  คุณหนูใหญ่ปฏิบัติและเห็นนางเป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่เสียมากกว่า

ถึงขณะนี้แล้ว ระหว่างหลานชายตัวเองและคุณหนูใหญ่ แม่นมก็ยังคงเลือกหลานชายตัวเอง นี่คงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่หลังจากแม่นมกลับมาที่จวนก็ออกคำสั่ง ทำมิดีกับบรรดาบ่าวรับใช้ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำเป็นเมินเฉยต่อคุณหนูใหญ่ แม้แต่งานอดิเรกของคุณหนูใหญ่เองยังต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของนาง !

นี่มันเป็นเสมือนว่าบ่าวรับใช้รังแกเจ้านายอย่างเห็นได้ชัด

แม่นมที่เพิ่งกลับมา ก็แสดงท่าทียิ่งใหญ่วางอำนาจมาก ทำเอาบรรดาบ่าวรับใช้ต่างพากันอึดอัดหายใจมิทั่วท้อง เวลานี้เมื่อเห็นแม่นมถูกปี้จูต่อว่า จึงรู้สึกเพียงว่าปี้จูในอดีตที่ขี้อายและขี้กลัวก็ร้ายกาจเหมือนกัน เวลานี้จึงมิกล้าดูถูกปี้จูอีก

เมื่ออันหลิงเกอเห็นว่าสีหน้าของแม่นมทั้งซีดเผือกจนดำแดง ก็ใจอ่อนเอ่ยปากกล่าวออกมาว่า “ข้ารู้ว่าแม่นมทำนั่นหวังดีกับข้า  แต่ในตอนที่อี๋เหนียงเรียกท่านอาสะใภ้รองว่าน้องสะใภ้ นางยังคงถูกท่านย่าตำหนิไป  แม่นม เจ้ามองข้ามข้าซึ่งอยู่ที่เรือนฉีอู๋ ทำเช่นนี้ ถ้าพูดกันในแง่ดีคือทำเพื่อข้า ถ้าพูดกันในแง่ร้ายคือทำเกินอำนาจ มันก็คือการที่บ่าวรับใช้รังแกเจ้านาย ! ถ้าถูกคนอื่นรู้เข้า เกรงว่าเจ้าคงมีจุดจบมิดีแน่  หวังว่าแม่นมอย่าเก็บเอามาใส่ใจเลย”

“บ่าวจะกล้าเก็บเอามาใส่ใจได้เยี่ยงไรกันเจ้าคะ?”

ใบหน้าของแม่นมซีดเผือดดำแดงไปหมด ปากบอกว่ามิกล้า แต่สีหน้ากลับยังดูมิพอใจเป็นอย่างมาก

อันหลิงเกอมิสนใจว่าแม่นมจะเชื่อหรือไม่ วันนี้นางปล่อยให้ปี้จูเผชิญหน้ากับแม่นมเพื่อบ่งบอกว่าให้ปี้จูคุมอำนาจ

เมื่อชาติก่อนตัวเองขี้ขลาดเกินไป ปี้จูที่ติดตามอยู่ข้างกายตัวเอง ต้องการคุมอำนาจมาแล้วหลายครั้งเพื่อดูแลจัดการบรรดาบ่าวรับใช้พวกนั้น แต่ก็ถูกแม่นมตำหนิไปหมดซะทุกอย่าง ดูเหมือนว่าเรือนฉีอู๋จะถูกควบคุมไว้ในมือแม่นมเพียงคนเดียว

แต่แม่นมดูเหมือนจะไปขออาศัยหลี่ซื่อหลังจากที่ท่านแม่ของนางเสียไป เมื่อนึกถึงตรงนี้ อันหลิงเกอก็กำมือแน่น แต่ก็ยังต้องฝืนทำหน้าอ่อนโยนและยิ้มแย้ม

สักวันหนึ่ง นางจะต้องล้างแค้นให้ตนเองและล้างแค้นให้ท่านแม่ของนางให้ได้ !

อันหลิงเกอเหลือบมองแม่นม และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “แม่นมแก่แล้ว เดิมทีควรจะเกษียณตัวเองและพักผ่อนได้แล้ว สู้ละทิ้งงานบ้านพวกนั้นแล้วมาใช้ชีวิตบั้นปลายในเรือนฉีอู๋ดีกว่า

เกอเอ๋อร์มิมีทางปฏิบัติต่อท่านอย่างไม่ยุติธรรมเป็นแน่”

แต่ถ้าแม่นมยังทำงานให้อี๋เหนียง ถ้าเช่นนั้นคงต้องหาโอกาสกำจัดนางให้ออกไปจากเรือนฉีอู๋โดยเร็วที่สุด