เล่มที่ 4 บทที่ 91 ไล่เรียงเบาะแส

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

องครักษ์มองหาต้นตอของเสียง จนเจอหลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าวที่อยู่ด้านในสุด

    ในช่วงเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย หลินเมิ้งหยามองหาโอกาส ก่อนจะนึกได้ว่าด้านล่างของรถม้ามีช่องเก็บของลับ

    โชคดีที่ช่องว่างนั้นพอดีกับร่างเล็กบอบบางของหลินเมิ้งหยาและป๋ายซ่าว ดังนั้นพวกนางจึงหลบเข้าไปในนั้น

    องครักษ์ตกตะลึงเล็กน้อย ช่วยกันดึงร่างของทั้งสองคนออกมา

    หลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าป๋ายซ่ายจะสงบนิ่งเป็นอย่างมาก แม้สีหน้าจะขาวซีด ทว่านางมิได้หวาดกลัวจนตัวสั่นงันงกเหมือนอย่างป๋ายจื่อ

    “เป็นอะไรหรือเจ้าคะนายหญิง? บาดเจ็บตรงไหนไหมเจ้าคะ?”

    ช่วงเวลาคับขัน หลินเมิ้งหยาดันตัวนางลงไปก่อนเป็นคนแรก ดังนั้นป๋ายซ่าวจึงซาบซึ้งใจกับความรักและการปกป้องที่หลินเมิ้งหยามีให้กับตนเอง

    “ข้าไม่เป็นไร ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? คนเหล่านั้นทิ้งเบาะแสเอาไว้หรือไม่?”

    หลินเมิ้งหยาส่ายหน้า อีกทั้งยังมองสำรวจร่างกายของป๋ายซ่าวว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ก่อนจะเอ่ยถามองครักษ์

    “ทูลพระชายา ทันทีที่คนกลุ่มนั้นเห็นเหล่าองครักษ์อวี้หลิน พวกเขาหนีไปในทันที อีกทั้งยังไม่ทิ้งเบาะแสใดๆ ไว้ทั้งสิ้น ส่วนศพกำลังนำกลับไปตรวจสอบที่จวนพ่ะย่ะค่ะ”

    ปรากฏตัวและจากไปอย่างไร้ร่องรอย เหตุใดพวกเขาจึงสลายตัวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ตกลงใครอยู่เบื้องหลังกันแน่?

    “ข้าจะไปดูหน่อย”

    องครักษ์ประคองร่างนางลงจากรถม้า

    หลังจากผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือด ด้านนอกมีศพกองเกลื่อนกลาด

    ในเวลานี้ทั้งองครักษ์อวี้หลิน องครักษ์ของจวนกำลังปกป้องดูแลความปลอดภัยบริเวณรถม้า

    พลิกศพดูเล็กน้อย สิ่งที่น่าแปลกคือคนเหล่านี้ไร้ซึ่งสัญลักษณ์บ่งบอกถึงตัวตน อีกทั้งยังมองไม่ออกอีกว่าพวกเขาเป็นคนที่ไหน

    “ตุบ” เสียงดังขึ้น อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีของบางอย่างร่วงหล่นลงจากเอวของศพ

    นางรีบหยิบของชิ้นนั้นขึ้นมา แล้วซ่อนเอาไว้ในมือของตนเอง

    หลินเมิ้งหยาลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ยถามเสียงสูง

    “ดูเหมือนคนเหล่านี้จะเตรียมการมาเป็นอย่างดี แม่ทัพองครักษ์อวี้หลินอยู่ไหน?”

    แม่ทัพวัยกลางคนสวมชุดเกราะขี่ม้าออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลินเมิ้งหยา

    กระโดดลงจากหลังม้า แม่ทัพองครักษ์อวี้หลินถวายคำนับหลินเมิ้งหยา

    “ถวายคำนับพระชายา หม่อมฉันเสวียนหยวนเลี่ยพาองครักษ์อวี้หลินมาช้า พระชายาได้โปรดลงโทษหม่อมฉันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

    ความปลอดภัยของเมืองหลวงล้วนเป็นหน้าที่ขององครักษ์อวี้หลินที่ต้องดูแล

    “เรื่องนี้มิอาจโทษท่านแม่ทัพได้ เจ้าคนสารเลวพวกนั้นก่อเหตุอุกอาจเกินไป”

    หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้ม ไร้ซึ่งท่าทางกระวนกระวาย

    เสวียนหยวนเลี่ยลอบสำรวจพระชายาที่ถูกโจษจันทั่วทั้งเมืองหลวง แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบ แต่นางหาได้เป็นเช่นคำครหาเหล่านั้นไม่

    “เพียงพระชายาไม่ลงโทษกระหม่อมก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณแล้วพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นกระหม่อมพาพระชายากลับจวนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้า ขึ้นรถม้า องครักษ์อวี้หลินและองครักษ์ของจวนช่วยกันลากศพกลับไปยังจวนอวี้

    อ๋องอวี้ยังคงอยู่ในวัง พระสนมเต๋อเฟยกลับถึงจวนนานแล้ว

    ภายใต้การปกปิดเรื่องถูกลอบทำร้ายของหลินเมิ้งหยา พระสนมเต๋อเฟยจึงไม่รู้เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น

    “พระชายาได้โปรดวางพระทัย องครักษ์อวี้หลินจะตามสืบเบาะแสให้จงได้พ่ะย่ะค่ะ”

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง นัยน์ตาเผยให้เห็นร่องรอยของความเย็นชา

    “อืม เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านแม่ทัพเสวียนหยวนแล้ว”

    ชิงหูถูกนางส่งไปคุ้มครองคนในตำหนักหลิวซิน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะถูกลอบทำร้าย

    เหตุใดโลกใบนี้ช่างวุ่นวายนัก?

    “พระชายาเป็นอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

    พ่อบ้านเติ้งและหลินขุยยืนรออยู่หน้าประตูจวนเพื่อรอรับพระชายา ท่าทางของทั้งคู่ล้วนกระวนกระวาย

    “ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าจงตามข้ามาที่ตำหนักหลิวซิน หากท่านอ๋องกลับมาให้ทูลเชิญเสด็จมาด้วย”

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    เดินตามหลังหลินเมิ้งหยา พวกเขาพากันไปยังตำหนักหลิวซิน

    “นายหญิงไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ?”

    ป๋ายจื่อและป๋ายจีล้วนยืนรอการกลับมาของหลินเมิ้งหยา

    หลินเมิ้งหยาปิดประตูลงด้วยใบหน้าเคร่งขรึม โดยเหลือเพียงคนสนิทของตนเองไว้ภายใน

    “พวกเจ้าลองดูนี่สิว่ามันคือสิ่งใด?”

    เมื่อภายในห้องไม่มีคนนอกแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงกระตุกแขนเสื้อขึ้นแล้วหยิบของชิ้นหนึ่งออกมา

    วางลงบนโต๊ะ พลิกกลับด้านให้ทุกคนได้เห็น

    “นี่…คืออะไร?”

    หลินขุยเงียบไป หยิบของชิ้นนั้นมาถือไว้ในมือ

    ของชิ้นนี้มีความยาวไม่ถึงหนึ่งนิ้ว แต่กลับมีหัวลูกศรถึงสามแฉก ทั้งสองด้านส่องประกาย ส่วนหัวคมกริบ

    “มันคือสิ่งที่ข้าเก็บได้จากร่างของชายชุดดำ น่าแปลกที่ข้าตรวจสอบศพอยู่หลายร่าง แต่กลับเจอที่ศพนั้นเพียงศพเดียว

    คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ความสนใจของทุกคนพุ่งไปที่ร่างของเจ้าของหัวลูกศรสามแฉกอันนี้

    “ของชิ้นนี้มีเอกลักษณ์เป็นอย่างมาก เห็นได้ไม่บ่อยนัก หรือจะเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง?”

    แม้พ่อบ้านเติ้งจะไม่ใช่คนหูเจียง แต่เขามีความสามารถเป็นอย่างมาก อีกทั้งคำพูดของเขายังตรงกับความคิดของหลินเมิ้งหยา

    “ข้าเองก็คิดเห็นเช่นนั้น พวกเจ้าลองดูทีว่าคุ้นเคยกับส่วนไหนของมันบ้างและมันมีไว้เพื่อทำสิ่งใด?”

    แม้ทั้งสองจะดูแล้วดูอีก แต่กลับพากันส่ายหน้า อีกทั้งยังเอ่ยว่าไม่รู้จัก

    ขณะเดียวกัน มีคนส่งข่าวมาบอกว่าท่านอ๋องจะประทับที่วัง คืนนี้ไม่กลับจวน

    หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด สุดท้ายสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปก่อน รอหลงเทียนอวี้กลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกครั้ง

    ทุกคนต่างพากันแยกย้าย สุดท้ายจึงเหลือเพียงสาวใช้ทั้งสามและหลินจงอวี้ที่ยังอยู่ภายในตำหนัก

    ตั้งแต่ตอนที่หลินเมิ้งหยากลับมา คิ้วของหลินจงอวี้ขมวดเข้าหากันแน่น อีกทั้งสายตาที่จ้องมองหลินเมิ้งหยายังแสดงให้เห็นถึงความลังเล

    “เจ้าเด็กน้อย ได้ยินมาว่าเจ้าเกือบถูกลักพาตัวไประหว่างทางอย่างนั้นหรือ? ไอ้โจรชั่วที่ไหนมันกล้าเข้ามายุ่งกับเจ้าเด็กน้อยของเหยียกัน?”

    ชิงหูพุ่งตัวเข้ามาจากทางด้านหน้าประตู โอบกอดหลินเมิ้งหยาพลางก้มๆ เงยๆ สำรวจร่างกาย เมื่อมั่นใจแล้วว่าหลินเมิ้งหยามิได้รับบาดเจ็บ จึงผ่อนลมหายใจ

    “เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ”

    หากตอนนั้นเจ้านี่อยู่ที่นั่นแล้วละก็ นางคงไม่ต้องเข้าไปหลบซ่อนด้วยความทรมานกับป๋ายซ่าวในช่องเก็บของหรอก

    ชิงหูชำเลืองมองหลินเมิ้งหยาด้วยสายตาอ้อยอิ่ง ก่อนจะนั่งลง ทว่ายังคงจ้องหลินเมิ้งหยาไม่ละสายตา

    “ป๋ายจื่อ เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนป๋ายซ่าวก่อน วันนี้นางตกใจกลัวเป็นอย่างมาก เจ้าไปดูแลนางให้ดีเถิด”

    ป๋ายจื่อที่ผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน จะต้องรู้จักขจัดความกลัวอย่างแน่นอน

    นางรีบเข้าไปจับมือป๋ายซ่าว ก่อนที่ร่างของทั้งคู่จะหายไปจากตำหนัก

    หลังจากมั่นใจแล้วว่าทั้งสองคนจะไม่ได้ยินเสียงใดๆ หลินเมิ้งหยาจึงเอ่ยเสียงเข้ม

    “เกิดอะไรขึ้นบ้าง?”

    ชิงหูครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้า

    “มีคนสองสามคนมาที่นี่และคิดจะลงมือกับยัยหนูคนนั้น แต่ข้าโจมตีพวกเขากลับไปแล้ว อีกเรื่องหนึ่งคือข้าไม่รู้ว่าหลงเทียนอวี้เป็นผู้ส่งยอดฝีมือมาหรือไม่ บริเวณรอบๆ ตำหนักล้วนมีแต่องครักษ์ที่ข้าไม่คุ้นหน้า”

    คิ้วของหลินเมิ้งหยายิ่งขมวดแน่นขึ้น เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

    หรือหลงเทียนอวี้เองก็รู้ว่าฮองเฮาและไท่จื่อคิดจะทำร้ายป๋ายจื่อเพื่อสนองอารมณ์ตนเอง?

    หรือว่า…

    “พี่สาว ท่านออกมาข้างนอกหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว”

    หลินจงอวี้ที่เงียบอยู่นาน จู่ๆ ก็ลุกขึ้นและเอ่ยออกมา

    หลินเมิ้งหยามองทางเขาด้วยความสงสัย แต่ถึงอย่างนั้นก็พยักหน้าลงและเดินตามหลินจงอวี้ออกไป

    แม้จะเป็นสายลมยามค่ำคืน แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้รู้สึกหนาวเล็กน้อย

    หลินเมิ้งหยามองดูเด็กหนุ่มร่างผอมบาง หัวใจพลันกระตุกเล็กน้อย

    นี่นางละเลยเด็กคนนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ?

    “พี่สาว ข้า…ข้าหลอกท่าน”

    หลินจงอวี้เอ่ยออกมาด้วยความยากลำบาก

    แม้จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเพียงหนุ่มน้อย ทว่าแผ่นหลังของเขากลับเย็นยะเยือกและโดดเดี่ยว

    หลินเมิ้งหยายืนอยู่ทางด้านหลังของเขา แต่กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมา

    “อันที่จริงข้ามิได้เป็นเด็กกำพร้า กลับกัน ตัวตนของข้ามิได้ต่ำต้อยไปกว่าท่านอ๋องอวี้เลย”

    ระเบิดลูกนี้เกือบทำให้หลินเมิ้งหยาเป็นลมสลบไป

    ยังไม่ทันจะจัดการเรื่องของป๋ายจื่อได้ แล้วตอนนี้ยังมีเรื่องของหลินจงอวี้อีก

    เหตุใดคนที่อยู่รอบตัวนางจึงมักสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจคาดเดาขึ้นเสมอ

    นิ้วมือเรียวยาวนวดคลึงหว่างคิ้ว หลินเมิ้งหยาครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย

    “ข้าหาได้สนใจตัวตนของเจ้าไม่ ตอนที่ข้าพาเจ้ามา ข้าเองก็มิได้สนใจในเรื่องนั้น ดังนั้นหากเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเล่าออกมา เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเล่า ขอเพียงเจ้าจำเอาไว้ว่าข้าเป็นพี่สาวของเจ้าเสมอก็เพียงพอแล้ว”

    อันที่จริงหลินเมิ้งหยาเดาเอาไว้อยู่แล้ว

    ใบหน้าของเสี่ยวอวี้โดดเด่น ไม่เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป

    แม้จะผ่านความลำบากมามาก แต่หลังจากเข้ามาอยู่ในจวนแล้ว เขารับรู้กฎระเบียบและธรรมเนียมปฏิบัติได้อย่างรวดเร็ว

    หากมิใช่เพราะเคยได้รับการสั่งสอนมาก่อน เขาจะปรับตัวได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ?

    “พี่สาวไม่โกรธที่ข้าไม่บอกท่านจริงๆ หรือ?”

    เขาหมุนตัวกลับมา ดวงตาเปล่งประกาย สายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง

    นางพยักหน้าลง สำหรับนางแล้ว เสี่ยวอวี้เพียงแค่มีครอบครัวเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น นางหาได้สนใจเรื่องนี้ไม่

    “เช่นนั้นก็ดีแล้ว จริงสิพี่สาว ข้าคิดว่าแม้ชิงหูจะเก่งกาจ แต่เขาก็เป็นชาย การปล่อยให้เขามาเป็นองครักษ์ประจำตัวของท่านดูจะไม่เหมาะนัก สู้ข้ามอบองครักษ์ประจำตัวให้ท่านใหม่ดีหรือไม่?”

    ปฏิกิริยาแรกของหลินเมิ้งหยาคืออยากปฏิเสธ แต่เมื่อลองไตร่ตรองดูแล้ว ตอนนี้ตนเองต้องเผชิญเรื่องเสี่ยงตายมากมายเหลือเกิน

    เหตุใดนางต้องปฏิเสธน้ำใจจากเสี่ยวอวี้

    เมื่อเห็นว่าหลินเมิ้งหยาไม่ปฏิเสธ รอยยิ้มจึงผุดขึ้นมาบนใบหน้าของหลินจงอวี้

    มือน้อยๆ โบกไปมา ก่อนที่ร่างผอมบางจะปรากฏขึ้นบนบริเวณพื้นที่ว่างในสวน

    “นายน้อยมีอะไรจะสั่งเจ้าคะ?”

    เสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่กลับหวานใส

    หลินเมิ้งหยาเหลือบมอง คนตรงหน้าคือหญิงสาวหน้าตางดงามผู้หนึ่ง

    “ลุกขึ้น นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้ากลายเป็นคนของพี่สาวแล้ว ไม่ว่าใครจะสั่งอะไรมา เจ้าจะต้องปกป้องดูแลพี่สาวด้วยชีวิต”

    สีหน้าของเสี่ยวอวี้เย็นชาลง ราวกับเป็นคนละคนกับเด็กหนุ่มที่มักจะร่าเริงแจ่มใสเวลาอยู่ต่อหน้าหลินเมิ้งหยา

    ที่แท้เด็กน้อยของนางก็เป็นเสือหมอบสินะ

    มิรู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาพลันรู้สึกภูมิใจขึ้นมา

    “ชิงหลวนน้อมรับคำสั่ง ขอเพียงเป็นคำสั่งของนายท่าน ข้าจะดูแลนายหญิงให้ดี”

    นัยน์ตาของหลินจงอวี้พลันเย็นชา

    “พี่สาวเปรียบดั่งลมหายใจของข้า หากนางได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย พวกเจ้าอย่าได้คิดว่าจะพาข้ากลับไปได้”

    หญิงสาวนามชิงหลวนเหลือบมองหลินเมิ้งหยาด้วยความรู้สึกลำบากใจ แต่กลับมิได้ปฏิเสธ

    “ช่างเถิด เจ้าเองก็ไม่อยากฝืนใจใครใช่หรือไม่?”

    ยิ่งไปกว่านั้น นางยังต้องคอยระแวงคนที่ตนเองไม่รู้จักมักคุ้นอีกด้วย หากต้องรับนางเข้ามาอยู่ข้างกาย