เล่มที่ 3 บทที่ 90 ตื่นตระหนกยามค่ำคืน

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“จะพูดเช่นไรดี? เปิ่นหวังเห็นแม่นางผู้นี้อยู่ในงานเลี้ยงและรอคอยการถูกคัดเลือก หรือท่านอ๋องอวี้และพระชายาจะไร้ซึ่งสัจจะคุณธรรมกัน?”

    ใบหน้าฮ่องเต้หมิงเคร่งขรึม ตำแหน่งชายาเอกขององค์ชายรัชทายาทถูกสาวใช้ช่วงชิงไปแล้ว

    แต่เมื่อองค์ชายรองต้องการเลือกชายาของตนเอง พระชายาอวี้กลับเข้ามาขัดอีกครั้ง

    แม้ตัวเขาจะเป็นถึงฮ่องเต้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่คิดรังแกผู้น้อย

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ท่าทีของหลินเมิ้งหยาจะเปลี่ยนไป เสียงนุ่มนวลอ่อนหวานถูกส่งมาแทน

    “ฮ่องเต้หมิงได้โปรดลงโทษหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันร้อนใจจนเกินไป ทำให้ลืมว่าองค์ชายรองหาได้รู้เรื่องราวแห่งต้าจิ้นไม่ หม่อมฉันผิดเองเพคะ ฮ่องเต้หมิงได้โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วย”

    นางสัมผัสได้ว่าฮ่องเต้หมิงเป็นคนใจเย็น หากพูดกับเขาอย่างมีเหตุผล ชายผู้นี้จะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน

    แต่ถ้าหากดึงดันแข็งกระด้าง เกรงว่าเขาจะหยาบคายกว่าเป็นสิบเท่า

    ทันทีที่ท่าทีของหลินเมิ้งหยาเปลี่ยนไป สีหน้าของฮ่องเต้หมิงพลันอ่อนโยน

    ถึงอย่างไรสถานะชายาขององค์ชายก็มิได้ด้อยไปกว่าตนเอง

    “หากชายาอวี้ไม่มีเหตุผลมากพอ เกรงว่าเปิ่นหวังคงมิอาจไว้หน้าพระองค์ได้”

    คำพูดไร้ซึ่งความเกรงใจ

    ทว่าหลินเมิ้งหยากลับมิได้รู้สึกกระวนกระวาย แต่นางหยักยิ้มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะขยับเท้าก้าวเดินไปยืนข้างกายเยว่ถิง

    “คุณหนูเยว่คือว่าที่พี่สะใภ้ในอนาคตของหม่อมฉัน ซึ่งคนทั้งต้าจิ้นต่างรู้เรื่องราวการหมั้นหมายที่ได้รับความเห็นชอบจากฮ่องเต้แล้ว แม้องค์ชายรองจะไม่รู้ก็หาใช่เรื่องแปลก เพียงแค่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของพี่ชายหม่อมฉันโดยตรง ดังนั้นคำพูดของหม่อมฉันจึงไม่น่าฟังเท่าไรนัก ขอฮ่องเต้หมิงได้โปรดอภัย”

    คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้สีหน้าของฮ่องเต้หมิงเปลี่ยนไป

    หันหน้ากลับไปมองลูกชายคนรองของตนเอง นัยน์ตาพลันปรากฏร่องรอยของความรู้สึกบางอย่าง

    ทว่า เมื่อหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ห้วงอารมณ์ในแววตาเมื่อครู่พลันหายไป

    “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อาหนานต่างหากที่เป็นฝ่ายร้อนใจเกินไป ในเมื่อเป็นการหมั้นหมายที่ได้รับความยินยอมจากฮ่องเต้ เช่นนั้นพวกเราคงมิอาจฝืนพระบัญชาได้ อาหนาน ยกเลิกการคัดเลือกชายาในวันนี้ไปเสียเถิด”

    แม้คำพูดของฮ่องเต้หมิงจะน่าฟัง แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนเด็ดขาด เมื่อลั่นวาจาออกไปแล้วจะไม่มีทางลั่นวาจาอีกเป็นครั้งที่สอง

    ลูกชายทั้งสองรู้จักอุปนิสัยของพ่อตนเองดี

    เยว่ถิงจับมือของหลินเมิ้งหยาแน่น ราวกับนางเพิ่งจะรู้ว่าตอนนี้กำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น

    “ช้าก่อน! แม้คุณหนูเยว่จะหมั้นหมายกับคุณชายแห่งสกุลหลินแล้ว แต่ตอนนี้คุณชายหลินออกไปรบอยู่นอกเมือง หากเขาผิดคำสัญญาจากคุณหนูเยว่ก็คงจะมิใช่เรื่องดีมิใช่หรือ?”

    คำพูดของไท่จื่อประหนึ่งกำลังคิดแทนเยว่ถิง

    หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้วขึ้น ขณะที่คิดจะโจมตีกลับ หลงเทียนอวี้กลับชิงพูดตัดหน้านาง

    “เมื่อทหารออกรบจะต้องพบกับความลำบากตรากตรำ ข้าเคยได้ยินมาว่าเมื่อครั้งเกิดสงครามฟางเจียป้า หลินหนานเซิงเสนอตัวนำทัพ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจนได้รับชัยชนะในที่สุด พอมาวันนี้ ทั้งที่ท่านแม่ทัพของเรากำลังปกปักดูแลความสงบสุขอยู่ที่แถบชายแดน แต่ว่าที่ภรรยากลับถูกผู้อื่นแย่งไป เช่นนั้นไท่จื่อมิกลัวว่าท่านแม่ทัพจะเสียขวัญกำลังใจกระนั้นหรือ?”

    คำพูดของหลงเทียนอวี้ทำให้เหล่านักรบที่แก่ชราลงแล้วขอบตาแดงก่ำ

    ตอนนั้นพวกเขาสละได้กระทั่งชีวิตเพื่อประเทศชาติ

    บางคนไม่ได้เห็นกระทั่งใบหน้าแม่ของตนเองเป็นครั้งสุดท้าย บางคนแม้เส้นผมจะกลายเป็นสีขาวแต่กลับต้องฝังลูกหลานที่เส้นผมยังคงเป็นสีดำ

    บางคน ทั้งที่คนในบ้านของตัวเองสิบกว่าคนป่วยติดเตียงเพราะโรคระบาด

    ทว่าเขากลับเดินทางออกจากบ้านไปหลายร้อยลี้แล้วเพื่อปกป้องดูแลประเทศ เขาพลาดกระทั่งการได้เห็นใบหน้าครั้งสุดท้ายของเหล่าคนที่ตนเองรัก

    ตอนนี้สองพ่อลูกแห่งสกุลหลินกำลังเอาชีวิตรอดอย่างยากลำบากในสมรภูมิรบ

    แต่ไท่จื่อกลับเห็นแก่ตัว เขาต้องการส่งว่าที่ภรรยาของท่านแม่ทัพไปแต่งงานกับชายอื่น ดังนั้นเรื่องนี้จึงทำร้ายจิตใจกับเหล่าทหารกล้าอย่างรุนแรง

    ขณะนี้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เริ่มมองไท่จื่อด้วยสีหน้าแววตาที่ไม่เห็นด้วย

    ไท่จื่อตื่นตระหนก เขาพลาดไปแล้ว!

    เยว่ถิงบีบมือของหลินเมิ้งหยาแน่น สีหน้าหวาดกลัว ใบหน้าขาวซีด

    นางใช้ชีวิตอย่างไร้เดียงสาและสวยงามมาโดยตลอด

    นางเฝ้าหวังว่าท่านแม่ทัพรูปงามของนางจะกลับมาและแต่งงานพานางไปอยู่ด้วย

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะถูกองค์ชายรองแห่งซีฟานเลือก ดังนั้นความตื่นตระหนกจึงสะกดหัวใจจนแทบจะหยุดเต้น

    “หยาเอ๋อร์ หยาเอ๋อร์ ข้า…ข้าจะทำเช่นไร?”

    หลินเมิ้งหยาตบหลังมือของนางเบาๆ พลางส่งเสียงปลอบโยน

    “วางใจเถิด หากข้ายังอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็จะสั่งให้เจ้าไปแต่งงานไม่ได้”

    เยว่ฉีเองหันหน้าไปมองพี่สาวของตนเองด้วยความกังวล ดวงตาคู่สวยเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา

    พี่สาวผู้น่าสงสาร เหตุใดจึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

    “เรื่องนี้…เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถิด ไท่จื่ออย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไปเลย อ๋องอวี้อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”

    ในที่สุดฮองเฮาก็เอ่ยออกมา

    นึกตำหนิลูกชายตนเองในใจ

    ทันทีที่ไท่จื่อเอ่ยเช่นนั้นออกมา ความโกรธพลันปะทุขึ้นในหัวใจของนางทันที

    เจ้าขยะนี่! ตนเองเสียเวลาเลี้ยงดูเขามานานยี่สิบกว่าปี เหตุใดจึงไร้ประโยชน์เช่นนี้

    สิ่งที่ทำให้ประเทศชาติสงบสุขอยู่ได้ก็คือทหารเหล่านั้น

    ย้อนกลับไปในอดีต กว่าบรรพบุรุษจะก่อตั้งต้าจิ้นจนสำเร็จขึ้นมาได้ จะต้องใช้กำลังทหารในการช่วงชิงอำนาจมา ดังนั้นฮ่องเต้ในราชวงศ์ก่อนจึงยอมสละบัลลังก์

    หากตอนนี้ทำให้เหล่าทหารเสียขวัญกำลังใจแล้วละก็ นั่นมิเท่ากับว่ากำลังส่งมอบต้าจิ้นให้กับศัตรูหรือไร?

    แม้ไท่จื่อจะไม่อยากจำนน แต่เขาก็มิเอ่ยอันใดออกมาอีก

    “ช่างเถิด ถือเสียว่าลู่หนานมิรู้เรื่องอันใด ชายาอวี้วางใจเถิด คนของซีฟานมิมีทางลักพาตัวหรือช่วงชิงภรรยาของผู้อื่น”

    ฮ่องเต้หมิงฉลาดเฉลียวยิ่งนัก รู้จักผิดชอบชั่วดี จิตใจยากแท้หยั่งถึง

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้า หลังจากปลอบโยนเยว่ถิงแล้ว นางจึงกลับไปยังที่นั่งของตนเอง

    ทันทีที่นั่งลง นางสัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตจากไท่จื่อและฮองเฮาที่กำลังจ้องมองมายังตนเอง

    แล้วอย่างไรเล่า?

    นับตั้งแต่วันที่พวกเขาวางแผนส่งนางมาเป็นชายาอวี้ รวมถึงหมายมั่นฆ่าให้ตาย ถึงอย่างไรศึกนี้ก็มิอาจลดละได้อยู่แล้ว!

    งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป ทว่าพระสนมเต๋อเฟยอ้างว่าตนเองปวดหัวขึ้นมากะทันหัน ดังนั้นจึงขอตัวพาหลินเมิ้งหยากลับจวนอวี้ก่อน

    ฮองเฮารีบสานสัมพันธ์กับฮ่องเต้หมิงอีกครั้ง เพื่อที่แผนการของพวกเขาในครั้งหน้าจะไม่ถูกยับยั้งอีกต่อไป

    หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ภายในรถม้า อีกด้านคือป๋ายซ่าวที่กำลังตกตะลึง

    “งานเลี้ยงเมื่อครู่อันตรายมากเลยเจ้าค่ะ! นายหญิงสู้หัวฟัดหัวเหวี่ยง จนหนู่ปี้ตกใจแทบเสียสติ”

    ป๋ายซ่าวตบหน้าอกตนเอง สายตามองทางนายหญิงด้วยความกังวล

    ตอนแรกนางยังไม่เชื่อเท่าไรว่านายหญิงเป็นคนใจกล้าบ้าบิ่น พอมาวันนี้นางเชื่อจนหมดใจ

    ไท่จื่อ ฮองเฮา แล้วไหนจะเหล่าขุนนางทั้งหลายอีก ขนาดนางยืนอยู่อีกฝั่งยังแทบหายใจไม่ออก

    แต่นายหญิงพลิกสถานการณ์กลับมาได้ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

    “หากมีเหตุผลสามารถเดินไปได้ทั้งโลกหล้า หากไร้ซึ่งเหตุผลคงยากแม้จะเดินเพียงก้าวเดียว พวกเราล้วนอยู่บนสัจธรรมของคำว่าความเคารพ แล้วเหตุใดจะต้องต่อสู้กันด้วยเล่า?”

    วันนี้นางตกอยู่ในอันตรายอย่างแท้จริง หากนี่เป็นเพียงงานเลี้ยงเล็กๆ เกรงว่านางคงมิอาจเอาชนะได้อย่างง่ายดาย

    ทว่างานเลี้ยงในครั้งนี้จัดขึ้นอย่างใหญ่โต

    อย่าว่าแต่ไท่จื่อและฮองเฮาไม่กล้าลงมือเลย หากพวกเขายังคงปฏิบัติตนอย่างไร้ยางอาย โดยการบังคับเยว่ถิงให้แต่งงานออกเรือนแล้วละก็

    เช่นนั้นวันพรุ่งเรื่องนี้คงถูกเล่าลือไปจนเหนือใต้ออกตก

    เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาคงไม่อาจทนรับผลแห่งการกระทำได้

    “แม้หลักคำสอนจะเอ่ยเช่นนั้น แต่คนในวังใช่จะมีเหตุผลทั้งหมดนี่เจ้าคะ! ท่านลองดูคำพูดของไท่จื่อในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจการแต่งงานระหว่างคุณชายใหญ่และคุณหนูเยว่เลยแม้แต่น้อย หนู่ปี้กลัวว่า…”

    คำพูดของป๋ายซ่าวใช่จะไร้เหตุผล

    หลินเมิ้งหยาหลับตาสงบนิ่ง ทว่าสมองกลับประมวลผลอย่างรวดเร็ว

    ไท่จื่อและฮองเฮาล้วนใจดำอำมหิต

    วันนี้ตนเองเข้าไปกระตุกหนวดเสือ

    เกรงว่าทั้งแค้นใหม่แค้นเก่าจะกลายเป็นสงครามอันน่าสยดสยองเสียแล้ว

    บรรยากาศภายในรถม้าเงียบสงบ ป๋ายซ่าวโยนกำยานเข้าไปในกระถางธูป

    ขณะเดียวกันกลิ่นหอมอ่อนๆ เริ่มคละคลุ้งภายในรถ

    จู่ๆ เปลือกตาของหลินเมิ้งหยาพลันเปิดออก ดึงร่างป๋ายซ่าวไปหลบที่มุมหนึ่ง

    “นายหญิง? เป็นอะไรเจ้าคะ?”

    ป๋ายซ่าวที่ไม่รู้เรื่องอันใดยังไม่ทันสังเกตเห็นเสียงตึงตังทางด้านนอก กำลังมีคนต่อสู้กัน

    “ชู่”

    หลินเมิ้งหยาใช้มือปิดปากนางเพื่อไม่ให้ส่งเสียง

    ทั้งสองหลบอยู่ในมุมที่มั่นคงที่สุด อีกทั้งยังเป็นตำแหน่งที่ไม่มีทางได้รับบาดเจ็บ

    ผลปรากฏว่า หลังจากเสียงฟาดฟันหายไป หน้าต่างของพวกนางเต็มไปด้วยลูกศรที่พุ่งเข้ามาแทงรถม้า

    ป๋ายซ่าวตกใจจนสติหลุด นางรีบดันตัวเข้าหาอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยา

    ไอ้พวกบ้า ยังไม่ทันที่นางจะกลับถึงจวนก็คิดจะแก้แค้นแล้วหรือ?

    “พระชายา…”

    องครักษ์คุมรถม้าทางด้านนอกคิดไม่ถึงว่าจะถูกคนเหล่านั้นล้อมเอาไว้

    ภายในรถม้าเงียบสงบ เหล่าองครักษ์พุ่งเข้าหาศัตรูเพื่อฟาดฟัน

    เหล่าชายชุดดำพยายามเข้ามาที่รถม้าเพื่อสำรวจภายใน แต่กลับถูกเหล่าองครักษ์สกัดไว้

    “พี่น้องทั้งหลาย ฆ่า!”

    เมื่อเห็นว่ารถม้าถูกลูกศรเจาะจนมิต่างอะไรจากขนเม่น ดวงตาขององครักษ์พลันแดงก่ำเพราะความแค้น

    นับตั้งแต่วันที่พระชายาอภิเษกสมรสเข้ามาอยู่ในจวนอวี้ เงินเดือนพวกเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อย

    ใช่ว่าท่านอ๋องดูแลพวกเขาไม่ดี แต่เพราะความเอาใจใส่ของพระชายา ดังนั้นเหล่าองครักษ์จึงรู้สึกดีกับพระชายามากเป็นพิเศษ

    อีกทั้งพวกเขายังเป็นทหาร ดังนั้นพวกเขาจึงต้องปกป้องเจ้านายของตนเองด้วยชีวิต

    แต่เพราะจำนวนของศัตรูที่มีมากกว่า ดังนั้นทางฝั่งขององครักษ์จึงเริ่มเสียเปรียบ

    ในที่สุด ชายชุดดำสองคนฝ่าความวุ่นวายจนถึงตัวรถม้า ในมือถือมีดวาววับ

    ทว่าเมื่อพวกเขาเปิดผ้าม่านออก กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของหลินเมิ้งหยา

    เป็นไปได้อย่างไร?

    ขณะที่ทั้งสองกำลังจะเข้าไปค้นหา ทว่าพวกเขากลับได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ วิ่งเข้ามา

    เป็นเสียงฝีเท้าของทหารในกองทัพที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงดังอย่างเป็นระบบระเบียบเช่นนี้ ชายชุดดำเห็นท่าไม่ดี ส่งสัญญาณเสียงแล้วหนีหายไป

    คิดไม่ถึงเลยว่าคนเหล่านั้นจะไหวตัวเร็วเช่นนี้ เมื่อเหล่าองครักษ์อวี้หลินมาถึง จึงเหลือให้เห็นเพียงศพเท่านั้น

    “พระชายา! รีบไปดูพระชายาเร็วเข้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

    ช่วงเวลาวิกฤติผ่านพ้นไปแล้ว องครักษ์ของจวนรีบวิ่งไปทางรถม้า

    รถม้าที่ไม่ต่างอะไรจากเม่นยังคงมั่นคงแข็งแรงดังเดิม แต่เมื่อเปิดผ้าม่านออกกลับมองไม่เห็นร่างของพระชายา

    “พระชายาล่ะ? หรือพระชายาจะถูกลักพาตัวไปแล้ว?”

    ขณะที่เหล่าองครักษ์คิดจะไล่ตามชายชุดดำไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยจากภายในรถม้า

    “พวกข้าอยู่ที่นี่! รีบดึงพวกข้าออกไปที”