เล่ม 2 ตอนที่ 112 ของกำนัลชิ้นใหญ่

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ด้านล่างของหอคอยจิ่วโยวคือเทียนหยวนฝูต้งหรือขุมพลัง ด้วยเหตุนี้เองที่พลังแห่งฟ้าดินในหอคอยนี้จะมีอยู่อย่างมากมายมหาศาล

สถานที่แห่งนี้เป็นที่ต้องการสำหรับผู้ฝึกยุทธ์สำหรับผู้ฝึกยุทธ์เพราะสามารถทำให้บรรลุขั้นได้อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับสัตว์อสูรมันกลับตรงกันข้าม!

เทียนหยวนฝูต้งเป็นขุมทรัพย์แห่งพลังธรรมชาติที่มาจากฟ้าและดินซึ่งมีความแข็งแกร่งอย่างมาก กระนั้นก็ยังมีสิ่งสกปรกเจือปนอยู่มากมาย หากดูดซับมากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์และอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

ผู้ฝึกยุทธ์สามารถขับสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในร่างกายได้หลายวิธี แต่สัตว์อสูรกลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากสัตว์อสูรส่วนใหญ่มีลักษณะนิสัยที่ดุร้ายโหดเหี้ยม เทียนหยวนฝูต้งจึงมีผลกระทบกับพวกมันมากกว่า ยิ่งถ้าหากอยู่ที่นี่นาน พวกมันจะเสียสติคลุ้มคลั่งได้ง่ายๆ และอาจถึงกับระเบิดตัวเองตายในที่สุด

หอคอยจิ่วโยวสร้างขึ้นทับเทียนหยวนฝูต้ง เป็นไปได้อย่างไรที่จะเลี้ยงสัตว์อสูรเอาไว้ในที่แห่งนี้

ลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏบนหยดน้ำหายไปอย่างรวดเร็ว และมันก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก

ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น

แม้ว่าความคิดนี้จะดูตีความเป็นวงกว้าง แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนางถึงมั่นใจไปหลายส่วน

เมื่อครู่นี้ตอนที่นกอินทรีตัวนั้นลืมตา นางยืนยันได้ว่านั่นคือพลังปราณของสัตว์อสูรจริงๆ

ทว่า…เหตุใดทางสำนักถึงต้องทำเช่นนี้

ไม่ว่าจะเป็นเพราะสำหรับสัตว์อสูรตัวนั้น หรือสำหรับนักเรียนที่ฝึกอยู่ในหอคอย แต่นี่ถือเป็นการซ่อนเร้นภัยอันตรายเป็นอย่างยิ่ง!

แล้วซือฝุในฐานะหัวหน้าสำนักจะทราบเรื่องนี้หรือไม่

ณ จวนหลีอ๋อง

เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายของตนหายตัวไปทั้งคืนกลับมาแล้ว อวี๋มั่วก็รีบไปต้อนรับเขา

“องค์ชาย เสด็จกลับมาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

หรงซิวพยักหน้าตอบและวันนี้เขาก็มีสีหน้าผ่อนคลาย

อวี๋มั่วมองรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปากของเขาแล้วก็แอบแปลกใจ

ตราบใดที่ช่วงนี้ยังมีคนผู้นั้นอยู่ นายท่านก็มักจะอารมณ์ดีได้เสมอ ไม่ยอมนางไม่ได้จริงๆ!

“ดูเหมือนว่าเมื่อคืนองค์ชายจะทรงพักผ่อนเต็มอิ่มแล้ว”

คิ้วคมเข้มของหรงซิวขมวดเล็กน้อย

“เมื่อวานที่จวนยังครึกครื้นดีใช่หรือไม่”

อวี้มั่วโค้งศีรษะลง

“พ่ะย่ะค่ะ อีกฝ่ายส่งคนกลุ่มหนึ่งมาที่นี่ และต้องการบุกเข้าไปในห้องบรรทมขององค์ชายเพื่อสืบค้น แต่พวกเราได้ไล่พวกเขาไปหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นหน่วยกล้าตายหรือไม่”

“พ่ะย่ะค่ะ เหมือนพวกที่มาเมื่อสองวันก่อน ไม่กลัวตายกันเลยสักนิด เมื่อเห็นว่าภารกิจล้มเหลว พวกเขาจึงชิงกินยาพิษฆ่าตัวตายเสียก่อน แต่มีคนหนึ่งที่ยังไม่ตาย ตอนนี้ถูกขังเอาไว้แล้ว เมื่อคืนเยี่ยนชิงสอบสวนทั้งคืนและทรมานเค้นคำตอบอยู่หลายวิธี ในที่สุดคนนั้นถึงยอมคายเบาะแสบางอย่างออกมาพ่ะย่ะค่ะ”

หรงซิวชะงักฝีเท้า

“อ้อ”

อวี๋มั่วกระซิบเสียงเบา

“เป็นคนขององค์ชายรัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”

หรงซิวหัวเราะ

“หลายปีแล้วยังใช้ลูกไม้เดิมๆ อีก เขาไม่เหนื่อย แต่ข้าเบื่อแล้วล่ะ”

อวี๋มั่วลังเลถาม

“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะเสด็จไปดูคนนั้น…”

“พี่สามยังอยู่เมืองหลวงใช่หรือไม่” จู่ๆ หรงซิวก็เอ่ยถาม

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงตรัสว่าองค์ชายสามกรำศึกที่ชายแดนอย่างหนักและลำบากมาก ตอนนี้สงครามสงบแล้ว อีกทั้งองค์ชายสามก็ถึงวัยที่ต้องอภิเษกแล้ว ฝ่าบาทจึงมีพระประสงค์ให้องค์ชายสาม…ประทับที่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”

หรงซิวหัวเราะเบาๆ

หรงจิ่วนำทัพชนะสงครามที่ซีเป่ย ตอนนี้ชื่อเสียงของเขากำลังเป็นที่เลื่องลือ เสด็จพ่อจะปล่อยให้เขากลับไปอย่างสบายใจได้อย่างไร

ให้อยู่ที่เมืองหลวงถึงจะปลอดภัยที่สุด

“ข้ากลับมาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปเยี่ยมพี่สามเลย ให้เยี่ยนชิงพาคนไป ข้าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พี่สาม”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

หรงจิ่วเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่ยังเยาว์วัยและอยู่ข้างนอกมานานหลายปี ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามักจะอยู่ในวังหลวงแค่ไม่กี่วันแล้วก็ออกทัพไปอีก

เมื่อเขากลับมาในครั้งนี้ จักรพรรดิจยาเหวินกล่าวว่าเขาอายุมากพอที่จะต้องออกจากวังแล้ว ดังนั้นฝ่าบาทจึงเตรียมจวนสำหรับเขาไว้นอกวังเป็นพิเศษ

ขนาดของจวนนี้จริงๆ แล้วมีขนาดใกล้เคียงกับจวนหลีอ๋องของหรงซิว แต่พระองค์ยังไม่ทรงแต่งตั้งตำแหน่งอ๋องใดๆ ให้อย่างเป็นทางการสักที

เดิมทีหรงจิ่วยังพอมีความหวังอยู่บ้าง แต่หลังจากที่รอวันแล้ววันเล่า จักรพรรดิจยาเหวินกลับให้เขารอคอยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็พอจะเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว

แต่งตั้งตำแหน่งอ๋องเป็นเรื่องเล็ก การที่ขังเขาไว้ที่เมืองหลวงต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่!

กองทัพซีเป่ยเชิญเขากลับไปอยู่ตลอดเวลา แต่หรงจิ่วรู้ดีว่าครั้งนี้คงเป็นไปได้ยากแล้ว

เมื่อคิดอย่างปลงตกในเรื่องนี้แล้ว เขาก็สงบนิ่งลงมาได้ แล้วใช้ชีวิตในเมืองหลวงอย่างสงบสุขต่อไป ราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นความหวาดระแวงของผู้เป็นบิดาเลยสักนิด

ในสวนหลังจวน หรงจิ่วและหร่งเฟิงกำลังประลองดาบกันอยู่ แสงกระบี่และเงาดาบของทั้งสองฟาดฟันกันไปมาอย่างมาลดละ

หรงเฟิงมีพรสวรรค์ที่ไม่เลว เขาได้รับการฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งกับราชครูในวัง ตอนนี้เขาอายุเพียงสิบห้าปี กลับบรรลุเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สามแล้ว

หากเทียบกับหรงจิ่วแล้วนั้นเขายังอ่อนหัดกว่ามาก

อย่างไรก็ตาม หลังจากฟันดาบกันไปมานับสิบรอบ หรงจิ่วก็หาโอกาสทะลวงหอกออกไป และฉวยเอาดาบยาวในมือของหรงเฟิงมาได้อย่างง่ายดาย

หรงเฟิงมองดาบที่ตกพื้นและยิ้มแหยๆ

“พี่สาม พี่อ่อนให้ข้าหน่อยไม่ได้เชียวหรือ เป็นเช่นนี้ทุกครั้งไป น่าเบื่อจะตาย!”

หรงจิ่วเปลี่ยนด้ามหอก

“กลางศึกสงครามจะมีใครเขาอ่อนให้เจ้าหรือ”

หรงเฟิงพูดไม่ออก ได้แต่ยักไหล่และยิ้มด้วยความชอบใจ

“ข้ารู้ว่าพี่สามหวังดีกับข้า! คนในวังพวกนั้นมักจะอ่อนให้ข้าเสมอเวลาฝึกซ้อม มันไม่สะใจเลย!”

หรงจิ่วกระตุกยิ้มมุมปาก

“แล้วทำไมเจ้าไม่ไปเรียนที่สำนักเทียนลู่ล่ะ อาจารย์ที่นั่นคงไม่ทำเช่นนี้หรอก”

“รัชทายาทอยู่ที่นั่น ข้าไม่อยากไป!”

หรงเฟิงกลอกตาขาว

“มันน่ารำคาญไหมที่ถูกเปรียบเทียบกับเขาตั้งแต่ยังเด็ก”

เมื่อหรงจิ่วได้ยินดังนั้นก็จ้องหน้าเขาแน่นิ่ง

“เช่นนั้นเจ้าก็เลยปกปิดความสามารถที่แท้จริง แล้วแกล้งทำเป็นสู้เขาไม่ได้อย่างนั้นหรือ”

“ใครจะกล้าเด่นกล้าดีไปกว่ารัชทายาทล่ะ นั่นก็เท่ากับว่าหาเหาใส่หัวมิใช่หรือ ข้าไม่ใช่คนโง่เง่าเต่าตุ่นสักหน่อย!”

หรงเฟิงทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ไม้หวายที่อยู่ด้านข้าง

“ไม่เห็นหรือว่าพี่เจ็ดไม่กลับเมืองหลวงมาเป็นสิบปี แต่เพราะได้แต่งตั้งเป็นท่านอ๋อง จึงมีเรื่องเดือดร้อนตามมามิใช่หรือ พี่สาม ข้าว่าท่านอยู่ในเมืองหลวงก็เหมือนตะปูที่คอยทิ่มแทงในสายตาเขา!”

ในขณะที่หรงจิ่วกำลังจะพูด ทันใดนั้นก็มีคนส่งจดหมายเดินจ้ำอ้าวเข้ามา

“องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ คนของจวนหลีอ๋องมาบอกว่าหลีอ๋องส่งของกำนัลมาถวายพระองค์ และของก็วางอยู่ด้านนอกประตูแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ของกำนัลหรือ เอาเข้ามาดูสิ”

หรงเฟิงตามไปอย่างใกล้ชิดด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เอ๋? พี่สาม พี่เจ็ดส่งของอะไรมาให้ท่านหรือ วันเกิดท่านยังมาไม่ถึงเลยนี่นา”

หรงจิ่วไม่พูดอะไร ทว่าในใจเขาก็แอบคิดเงียบๆ

ไม่นานนัก ก็มีหีบไม้ถูกยกเข้ามาด้านใน

หรงจิ่วหรี่ตา เพียงหมุนข้อมือแล้วพุ่งหอกออกไป หีบไม้นั้นก็เปิดออกทันที!

กลิ่นคาวเลือดแรงคละคลุ้งและปะทะใส่ใบหน้า

คนที่อยู่ในหีบไม้นั้นคือผู้ชายที่เปื้อนเลือดและรอยฟกช้ำเต็มตัว!

เขามีรูปร่างบิดเบี้ยวแปลกประหลาดที่เกิดจากการหักงอแล้วยัดเข้าไปในหีบไม้ ได้มองเพียงแค่แวบเดียวก็ทำให้คนตกใจจนเย็นวาบไปทั้งร่างได้

หรงเฟิงอุทานออกมาด้วยความตกใจ เขาเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนซะที่ไหน เขาหน้าถอดสีแล้วถอยกรูดออกไปอย่างรวดเร็ว

หรงจิ่วมองแล้วขมวดคิ้วเป็นปม

“พะ…พี่สาม! นี่มัน มันคือคนตายนี่!”

หรงเฟิงพุดตะกุกตะกักเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก

“พี่เจ็ดส่งมันมาให้ท่านทำไม๐

บริวารรอบข้างเอ่ยเตือนสติ

“องค์ชาย คนผู้นี้ยังไม่ตายพ่ะย่ะค่ะ ก็แค่เสียเลือดมากจนหมดสติไป”

หรงจิ่วก้าวเข้าไปข้างหน้า

“พี่สามอย่าเข้าไปนะ!”

หรงจิ่งชักหอกออกไป ของสิ่งหนึ่งก็ลอยขึ้นมา

นั่นคือตราประทับเล็กๆ อันหนึ่ง

หรงจิ่วหยิบตราประทับขึ้นมาและมองเข้าไปใกล้ๆ จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง

“เอาคนคนนี้ไปขังแล้วมัดเอาไว้ อย่าให้เขาตายเป็นอันขาด!”

เมื่อสิ้นเสียงเขาก็หันตัวออกไป

เมื่อหรงเฟิงเห็นเช่นนั้นก็รีบตามเขาไป

“พี่สาม ท่านจะไปไหน”

หรงจิ่วไม่แม้แต่หันกลับมา

ในเมื่อหรงซิวส่งของกำนัลชิ้นใหญ่มาเขา เช่นนั้นเขาก็จะรับมันไว้เอง!