วินาทีต่อมาราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชนบ้าคลั่งใต้ฝ่ามือของนางที่วางบนประตู
ในชั่วพริบตา เปลวเพลิงก็ลามไปตามฝ่ามือและทั่วร่างของนางอย่างรวดเร็ว!
ทันใดนั้นรอบตัวนางก็ถูกแผดเผาด้วยอุณหภูมิที่ร้อนลวก
ทุกตารางนิ้วของร่างกายนางราวกับถูกไฟบรรลัยกัลป์แผดเผา
อวัยวะภายในเหมือนถูกบางสิ่งบีบรัดจนแน่น เจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ!
ฉู่หลิวเยว่ทั้งตกใจทั้งโกรธเกรี้ยว เปลวไฟนี้ต้องการแผดเผาให้นางตายไป
นางต้องการหนี ก่อนจะพบว่าตนเองนั้นไม่สามารถขยับได้เลย ดูเหมือนทั้งร่างของนางจะถูกควบคุมอย่างแน่นหนา!
และเปลวไฟนั้นได้ลุกลามไปทั่วสรรพางค์กายอย่างรวดเร็วแล้วกำลังจะลามไปถึงจุดตันเถียนของนาง!
เจตนาฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวนั้นทำให้ฉู่หลิวเยว่ขนลุก
ตันเถียนเป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อได้รับความเสียหายก็จะไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้อีกไปตลอดชีวิต!
แต่มันกำลังจะลุกลามไปถึงตรงนั้น!
ในขณะที่พลังอันแข็งแกร่งนั้นกำลังจะไหลลงในจุดตันเถียน หยดน้ำที่ลอยอยู่ในจุดตันเถียนของฉู่หลิวเยว่อย่างเงียบสงบก็หมุนตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว!
ตู้ม!
แรงบีบอัดที่ไร้รูปร่างระเบิดออกมาจากภายในร่างกายของฉู่หลิวเยว่แล้วพุ่งออกไปทันที
ฉู่หลิวเยว่สามารถสัมผัสได้ถึงการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างพลังทั้งสอง จากนั้นพลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของนาง!
เวลานี้ฉู่หลิวเยว่รู้สึกเหมือนมีหินหนืดร้อนลวกปะทุขึ้นในร่างกายของตนเอง ไม่มีที่ใดที่ไม่เจ็บปวด
โชคดีที่พลังของหยดน้ำที่ปล่อยออกมานั้นแข็งแกร่งมาก จนแทบจะสามารถสยบพลังที่กำลังจะทำลายฉู่หลิวเยว่ให้มอดม้วยมรณา
แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่กล้าเบาใจ สายตานางจ้องไปที่ลวดลายบนประตูใหญ่นั่น
เมื่อนางมองขึ้นไปก็เห็นว่านกอินทรีตัวนั้นหลับตาไปแล้ว! ราวกับว่าทุกอย่างเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ กำหมัดแน่น
ไม่
เมื่อครู่นี้มันไม่ใช่ภาพลวงตาแน่นอน!
หากไม่มีพลังจากหยดน้ำ เกรงว่าคราวนี้นางคงกลายเป็นศพจริงๆ ไปแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรนางก็นึกไม่ออกจริงๆ นางไม่เคยเข้ามาในหอคอยจิ่วโยวมาก่อน ก็จะมาตายที่นี่เสียแล้ว
“เป็นอะไร มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ยังคงยืนแน่นิ่งอยู่หน้าประตู ชายชราจึงถามด้วยความสงสัย
ฉู่หลิวเยว่หันหน้าไปมอง
ดูเหมือนชายชราคนนั้นและทุกคนที่ล้อมรอบจะไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ไม่มีอะไร”
เมื่อพูดจบ นางก็ไม่รั้งรออยู่ต่อและก้าวขาเดินเข้าไปทันที
…
หอคอยจิ่วโยวมีทั้งหมดเก้าชั้นและพื้นที่ภายในกว้างมาก แล้วยังมีห้องแยกหลายห้อง
คนพวกนั้นที่เข้าไปก่อนหน้านางต่างแยกย้ายไปและเริ่มฝึกยุทธ์กันที่ห้องโปรดของตัวเอง
มีบันไดเวียนตระหง่านอยู่ตรงกลางซึ่งนำไปสู่ยอดหอคอย บางคนไม่ได้หยุดอยู่ที่ชั้นแต่กลับเดินขึ้นไปข้างบน
ภายในหอคอยจิ่วโยว ยิ่งชั้นที่สูงขึ้นไปพลังก็จะยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงกระนั้นก็ยังมีด่านอุปสรรคระหว่างแต่ละชั้น
ผู้ใดก็ตามที่อยากไปชั้นที่สูงขึ้นก็จะต้องผ่านด่านในแต่ละชั้นเสียก่อน
ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน
โดยทั่วไปนักเรียนที่มีระดับยุทธ์ค่อนข้างต่ำก็จะสามารถฝึกฝนอยู่ที่ชั้นแรกเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่ไม่รีบร้อนที่จะเลือกห้องฝึก กลับยืนนิ่งและมองลงมาที่ฝ่ามือของตัวเอง
มีรอยไหม้เกรียมสีดำปรากฏเด่นชัดบนฝ่ามือของนาง
ซึ่งก็คือมือข้างนั้นที่นางทาบลงไปบนประตูใหญ่ของหอคอยจิ่วฮวงเมื่อครู่นี้!
เปลวไฟอันน่าสยดสยองนั้นได้ลุกลามและแทรกซึมเข้าไปในร่างกายจากฝ่ามือของนาง!
รอยไหม้บนฝ่ามือก็เป็นหลักฐานที่ดีที่สุดสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้!
ทว่า…เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
นักเรียนคนอื่นๆ ที่เข้าไปในหอคอยจิ่วโยวก็ไม่เห็นมีปัญหาใดๆ ทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับนางแค่คนเดียว
ทำไมจู่ๆ นกอินทรีถึงลืมตาขึ้นและมีเจตนาฆ่าที่รุนแรงกับนาง
บางที่…เจตนาฆ่านั้นไม่ได้มุ่งร้ายมาที่นาง ทว่าเป็น…หยดน้ำในจุดตันเถียนของนางอย่างนั้นหรือ
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดจนขมวดคิ้วเป็นปมแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ
“ฉู่หลิวเยว่ เจ้ายังเลือกห้องไม่ได้อีกหรือ”
จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองก็เห็นว่าเป็นหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่ง
หญิงสาวคนนั้นมีใบหน้าสะสวยและดวงตากลมโตน่ารัก
นางยกมือชี้นิ้วที่ข้างๆ
“อันที่จริงห้องบนชั้นหนึ่งก็ไม่แตกต่างอะไรมากนัก เจ้าเลือกได้ตามใจเลย แต่ห้องที่มีป้ายชื่อแขวนอยู่นั้นเป็นสัญญาณว่ามีคนเข้าไปฝึกแล้ว เจ้าแค่เลือกห้องที่ไม่มีคนก็พอ”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“ขอบใจมาก”
หญิงสาวคนนั้นยิ้มกว้างให้นาง
“ไม่ต้องขอบใจอะไรหรอก ข้าชื่อมู่หงอวี๋ เจ้าเรียกข้าว่าหงอวี๋ก็ได้!”
ฉู่หลิวเยว่ก็ยิ้มให้อย่างอดไม่ได้
แม่นางผู้นี้เป็นกันเองมาก ซึ่งนางชอบนิสัยเช่นนี้ กระนั้นฉู่หลิวเยว่ไม่ได้รู้จักนาง เหตุใดนางทำเหมือนอัธยาศัยดีเช่นนี้
“ได้ เช่นนั้นเจ้าก็เรียกข้าว่าหลิวเยว่เถิด”
มู่หงอวี๋มองสำรวจฉู่หลิวเยว่ด้วยความสงสัย
“เจ้าไม่เห็นเป็นเหมือนที่เขาลือเลย”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ต้องถามก็พอจะเดาได้ว่า “ข่าวลือ” นั้นพูดถึงนางอย่างไรบ้าง นางก็ไม่สนใจที่จะสืบถาม
“คนอื่นต่างตั้งแง่รังเกียจข้า ทำไมเจ้าถึงเป็นฝ่ายยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือข้าล่ะ”
มู่หงอวี๋สบถ
“เจ้าจัดการฉู่เซียนหมิ่นได้ แน่นอนว่าข้าต้องยืนอยู่ฝั่งของเจ้า ศัตรูก็คือศัตรู มิตรก็คือมิตร!”
ฉู่หลิวเยว่นึกขัน
นางรู้สึกว่าที่หญิงสาวคนนี้ทำดีกับนางก็เพราะมีความแค้นกับฉู่เซียนหมิ่น
แต่ฉู่หลิวเยว่ก็เห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด
“ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว ข้าต้องขึ้นไปฝึกยุทธ์แล้วล่ะ”
หลังจากที่มู่หงอวี๋พูดจบ นางก็หันหลังเดินขึ้นไปชั้นบนทันที
เดิมทีฉู่หลิวเยว่ต้องการจะขึ้นไปชั้นบน เมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งและเลือกที่จะอยู่ที่ชั้นหนึ่งแทน
ฉู่หลิวเยว่มองสำรวจไปรอบๆ ก็พบว่าขนาดของแต่ละห้องเกือบจะเท่ากัน และสุดท้ายก็นางเลือกเข้าไปในห้องที่อยู่ห่างไกล
เมื่อปิดประตูก็กั้นห่างจากสายตาทุกคู่ ฉู่หลิวเยว่นั่งขัดสมาธิบนแท่นศิลาที่อยู่ภายในห้อง
นางยังไม่รีบร้อนที่จะฝึกฝน แต่กลับมองดูรอยไหม้บนฝ่ามือของนางอีกครั้ง
เพียงแค่มองก็รู้สึกเจ็บแปลบไม่น้อย
ฉู่หลิวเยว่เริ่มเข้าสู่ห่วงความคิด
หอคอยจิ่วโยวเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดของสำนักเทียนลู่ และเป็นรากฐานของสำนักอีกด้วย หากมีการเคลื่อนไหวใด ๆ อาจารย์ในสำนักจะต้องไม่นิ่งเฉยแน่นอน
ทว่าชายชราคนนั้นที่อยู่ใกล้มากที่สุดกลับดูเหมือนจะไม่ได้ผิดสังเกตสักนิดเลย
ฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถรับประกันได้ว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรือไม่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการหาว่าทำไมหอคอยจิ่วโยวถึงพุ่งเป้ามาที่นางคนเดียว
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพุ้งเป้ามาที่หยดน้ำในร่างกายของนาง
“เจ้าคือสิ่งใดกันแน่ ทำไมถึงสร้างปัญหาใหญ่ขนาดนี้”
ฉู่หลิวเยว่ถามในใจ
แต่หยดน้ำนั้นกลับไร้ความเคลื่อนไหว
“วันนี้เพิ่งเข้ามาเป็นวันแรกก็มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นแล้ว หากวันข้างหน้ามาอีก จะเหอดเหตุการณ์เช่นนี้อีกหรือไม่”
หนังตาของฉู่หลิวเยว่กระตุก
“หากเป็นเช่นนี้ทุกวัน ต่อไปข้าก็จะไม่มาหอคอยจิ่วฮวงอีกแล้ว!”
นี่ยังวุ่นวายไม่พออีกหรือ
คราวนี้ หยดน้ำสั่นเล็กน้อย และในที่สุดก็มีตัวอักษรหนึ่งบรรทัดปรากฏขึ้น
“แค่สัตว์ร้ายตัวเล็กๆ มีสิ่งใดให้ต้องกลัว”
สัตว์ร้าย!?
ฉู่หลิวเยว่อึ้งไปชั่วขณะแล้วรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง
“เจ้าหมายความว่า มีสัตว์อสูรอยู่ในหอคอยจิ่วโยวอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไร!”