ฉู่หลิวเยว่ชะงักค้างครู่หนึ่ง
“ศิษย์ไม่ทราบเรื่องนี้เลยเจ้าค่ะ”
ชายชราโบกมือป้อยๆ
“เจ้ายังไม่ได้ลงทะเบียนก็เป็นเรื่องปกติ ทุกปีเมื่อมีศิษย์ใหม่ลงทะเบียนในสำนักก็จะต้องทดสอบกันแล้วลงทะเบียน แต่เจ้าเป็นกรณีพิเศษ ไม่มีก็ไม่เห็นจะแปลก เดี๋ยวเจ้าหาเวลาไปทดสอบก็ได้แล้วล่ะ”
ฉู่หลิวเยว่เพิ่งนึกขึ้นได้ เมื่อครู่นี้นางเห็นว่าหลังจากคนก่อนหน้าวางป้ายชื่อลงไป หยกดำไม่เพียงแต่แสดงชื่อของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังแสดงระดับชีพจรและขั้นการฝึกยุทธ์ของพวกเขาอีกด้วย
ทว่าป้ายชื่อของนางแสดงแค่ชื่อแซ่เท่านั้น
ไม่สิ ข้างหลังยังมีตัวเลขอีกหนึ่งตัว
“สิบเก้า”
ฉู่หลิวเยว่มองตัวเลขหลังชื่อตัวเองด้วยความประหลาดใจ
“นี่คือ…”
“นี่คือเวลาที่เจ้าต้องเข้ามาฝึกในหอคอยจิ่วโยว จากผลสอบกลางภาค นักเรียนทุกคนจึงได้ชั่วโมงการฝึกที่แตกต่างกัน เจ้าสอบปรมาจารย์ได้ที่สองและสอบผู้ฝึกยุทธ์ได้ที่หนึ่ง เมื่อเอามารวมกันเจ้าก็ได้เวลาฝึกสิบเก้าชั่วยามพอดี”
ชายชราคนนั้นอธิบายให้นางฟังด้วยความใจเย็นเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อสิ้นเสียงของเขา ฉู่หลิวเยว่ก็สัมผัสได้ว่าคนแถวนั้นจำนวนไม่น้อยต่างหันมามองนางเป็นตาเดียว
คราวนี้ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ถึงความอิจฉาของพวกเขา ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่อยากรู้อยากเห็นและหวั่นเกรงนาง
อิจฉาอย่างนั้นหรือ
หรือเป็นเพราะว่านางได้เวลาฝึกฝนถึงสิบเก้าชั่วยาม
ฉู่หลิวเยว่ทราบดีว่าการที่จะได้เข้าไปฝึกในหอคอยจิ่วโยวนั้นมีเงื่อนไขมากมาย ณ เวลานี้สงสัยคงยากกว่าที่คิด
ผลสอบของนางที่ออกมาเช่นนี้จึงทำให้ได้เวลาสิบเก้าชั่วยาม ส่วนคนอื่นได้เท่าไหร่คงไม่ต้องพูดก็น่าจะพอรู้
“อาจารย์ เวลาสิบเก้าชั่วยามนี้ข้าสามารถจัดสรรเวลาด้วยตนเองได้หรือไม่เจ้าคะ”
ชายชรากลับยิ้มเจ้าเล่ห์
“แน่นอนว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก แม้เจ้าจะได้เวลามากกว่าคนอื่น แต่เวลาที่เข้ามาฝึกในแต่ละวันนั้นมีจำกัด”
ปรมาจารย์และหมอเทวดาไม่สนใจฝนการฝึกด้านนี้ ดังนั้นจึงมาเก็บพลังกันที่นี่น้อยคนนัก ส่วนใหญ่ที่มาก็จะเป็นบรรดาผู้ฝึกยุทธ์อยู่ดี
ถึงอย่างไร ความเข้มข้นของพลังในหอคอยจิ่วโยวก็แข็งแกร่งมากกว่าด้านนอกอยู่แล้ว หากสามารถเข้ามาฝึกฝนในที่แห่งนี้ได้ก็จะช่วยเพิ่มความรวดเร็วได้ไม่น้อย
นี่เป็นสิ่งล่อใจสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ทุกคน
“ส่วนเวลาก็แบ่งไปตามระดับขั้นของผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่หนึ่งมีเวลาหนึ่งชั่วยามต่อหนึ่งวัน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สองมีเวลาสองชั่วยามต่อหนึ่งวัน ที่เหลือก็แบ่งกันปตามนี้”
ดวงตาของชายชราเปล่งประกายจ้องมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความตื่นเต้นและความอยากรู้อยากเห็น
“ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้เจ้าสามารถเอาชนะฉู่เซียนหมิ่นได้ เช่นนั้นระดับยุทธ์ของเจ้าตอนนี้ก็คงจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สามใช่หรือไม่”
เมื่อฉู่หลิวเยว่ได้ยินชายชราเอ่ยถึงระดับขั้นของผู้ฝึกยุทธ์ นางก็แอบใจเสีย
ความสามารถของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด เช่นนั้นผู้ใดเล่าจะไปคิดว่าตอนนี้นางยังเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่หนึ่ง
ไม่ว่านางจะพยายามอย่างหนักแค่ไหน แต่สิ่งที่อยู่ในตันเถียนของนางก็ไม่เพิ่มรอยขีดให้สักที
ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่สามารถจัดการกับมันได้เหมือนกัน
ช่วยไม่ได้ นางจึงทำได้เพียงกัดฟันแล้วพูดว่า
“ศิษย์เป็น…ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่หนึ่ง”
…
ณ ตระกูลฉู่
“ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่าอย่างไร ท่านไม่คิดจะให้สินสอดทองหมั้นแก่หมินหมิ่นหรือ”
แม้ว่าฉู่เยี่ยนและลู่เหยาจะไม่พอใจที่บุตรสาวของพวกเขาต้องแต่งงานเข้าจวนองค์ชายรัชทายาทในฐานะนางสนม พวกเขาไม่มีทางอื่นและจำใจต้องตอบตกลง
เวลาเพียงแค่สามวันนั้นช่างกระชั้นชิดเกินไป พวกเขาจึงทำได้เพียงเตรียมสินสอดให้มากเข้าไว้เพื่อรักษาหน้าตา และให้ฉู่เซียนหมิ่นได้มีไว้ใช้อย่างสุขสบายหลังจากแต่งงานออกเรือนไป
ทว่าพวกเขาคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสจะมาขัดขวางเอาไว้
ผู้อาวุโสไม่แยแสแล้วเอ่ยว่า
“ช่วงนี้ตระกูลของเราทำกำไรได้ไม่มาก พวกเจ้าต่างก็รู้ดี บัดนี้ถึงเวลาที่ต้องกระเบียดกระเสียรแล้ว ไม่มีเวลาเตรียมสินสอดทองหมั้นมากมายขนาดนี้ให้หรอก”
ฉู่เยี่ยนพยายามระงับความโกรธ
“หมินหมิ่นต้องแต่งเข้าจวนองค์ชายรัชทายาท นี่มันหมายถึงหน้าตาของตระกูลฉู่ หากหมินหมิ่นไปแล้วถูกข้ารับใช้ดูถูกเข้า ตระกูลฉู่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
“หึ! จริงอยู่ที่นางแต่งเข้าจวนองค์ชายรัชทายาท แค่ก็เป็นเพียงแค่นางสนมเท่านั้น!”
ผู้อาวุโสวางถ้วยชาในมือลงอย่างแรงแล้วมองดูทั้งสองด้วยใบหน้าที่นิ่งขรึม
“หากสินสอดนางมากเกินไป ต่อไปในอนาคตถ้าทรงแต่งพระชายาเอกและพระชายารองเข้าจวน นางจะจัดการอย่างไร เข้าไปแบบอ่อนน้อมถ่อมตนดีกว่าทำตัวมีอำนาจบาตรใหญ่ จะได้ไม่มีปัญหาตามมาทีหลัง!”
เมื่อได้ยินดังนั้นสองสามีภรรยาก็ไม่มีอะไรจะเอ่ย แต่ไฟที่สุมทรวงกลับยิ่งโหมกระหน่ำมากขึ้น
แม้ว่าตระกูลฉู่จะไม่รุ่งเรืองดั่งเช่นกาลก่อน กระนั้นก็มิได้ตกต่ำจนนำเงินมากมายขนาดนี้ออกมาใช้จ่ายได้
ถึงอย่างไร ฉู่เซียนหมิ่นก็เป็นทายาทสายตรงของตระกูลฉู่ ตั้งแต่ที่นางเข้าไปสนิทชิดเชื้อกับองค์ชายรัชทายาท ที่จวนก็ได้แอบเริ่มเตรียมสินสอดทองหมั้นเอาไว้แล้ว
ที่ผู้อาวุโสบอกว่าไม่มีก็เพราะว่าฉู่เซียนหมิ่นพลาดจากตำแหน่งพระชายารัชทายาท ดังนั้นเขาจึงจงใจค้านหัวชนฝาและต้องการประหยัดเงินในส่วนนี้เอาไว้
ฉู่เยี่ยนและลู่เหยาสองสามีภรรยาไม่ตกลงได้ด้วยหรือ
“ผู้อาวุโส ถึงแม้ฉู่เซียนหมิ่นจะไม่สามารถแต่งเข้าไปในฐานะพระชายาเอกได้ แต่อนาคตก็ไม่แน่ หากท่านยืนกรานเช่นนี้…”
“นั่นมันเป็นเรื่องอนาคต ใครจะรู้ดีมากกว่ากัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้อาวุโสก็ยิ่งค้านคำพูดของเขา ในใจก็แอบหวั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะกล่าวว่า
“ถึงกระนั้น เพื่อเห็นแก่พวกเจ้าที่มีลูกสาวเพียงคนเดียว ทางตระกูลจะมอบสินสอดให้นางสามสิบสองหีบก็แล้วกัน!”
ลู่เหยายิ้มเยาะในใจ
นี่ให้เงินขอทานหรือยังไง!
ตระกูลฉู่ผู้ยิ่งใหญ่ยกสินสอดไปแค่สามสิบสองหีบยังไม่น่าอายพอ!
ดูเหมือนผู้อาวุโสจะเดาความคิดนางออก เขาจึงพูดเสริมด้วยน้ำเสียงที่ไม่เร็วไปหรือช้าไป
“ลู่เหยาเอ๋ย เข้าบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในตระกูลมาหลายปีก็คงเก็บสินสอดทองหมั้นไว้ให้หมินหมิ่นพอสมควรแล้ว ตระกูลให้ของเหล่านี้ก็นับว่าเมตตามากแล้ว เจ้าว่าไหมล่ะ”
ลู่เหยากัดฟันกรอดๆ
ผู้อาวุโสกำลังเอาทรัพย์สินที่นางมีมาข่มขู่นาง!
แต่นางไม่กล้าที่จะเอะอะวุ่นวายจริงๆ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปชื่อเสียงที่นางสั่งสมมาต้องพังย่อยยับแน่!
ทว่านางก็อึดอัดที่ไม่สามารถพูดออกมาได้
จริงอยู่ที่นางควักเงินเอง แต่ข้าวปลาอาหารข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันนั้นมีสิ่งใดไม่ใช้เงินซื้อบ้าง
ครอบครัวพวกเขาทั้งสามคนคุ้นเคยก็บการใช้ชีวิตหรูหราสุขสบาย ชอบอันไหนก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้นจึงมีเงินเหลือเก็บไม่มาก
ที่สำคัญที่สุด เมื่อเดือนก่อนฉู่เซียนหมิ่นเพิ่งจะใช้เงินนับแสนกว่าตำลึงซื้อของที่เจินเป่าเก๋อ เดิมทีคิดว่ารอให้ฉู่เซียนหมิ่นสอบได้ที่หนึ่งและสามารถเอาชนะใจองค์ชายรัชทายาทได้ นางจะบากหน้ากลับไปขอเงินที่ตระกูลลู่
ผู้ใครเล่าจะรู้ว่าฉู่หลิวเยว่จะมาทำลายแผนการทั้งหมดในชั่วพริบตา
ตระกูลลู่กำลังเยาะเย้ยพวกเขาได้ทุกวิถีทาง ยังจะให้เงินนางอีกหรือ
ส่วนเจินเป่าเก๋อก็รีดไถดอกเบี้ยจนแทบขูดเลือดขูดเนื้อ นางไม่กล้าจาบจ้วงเจินเป่าเก๋อ
อย่างเด็ดขาด ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงควักเงินตัวเองออกมา
ตอนนี้มีเงินให้ฉู่เซียนหมิ่นแต่งออกไปซะที่ไหน
แต่ผู้อาวุโสกล่าวไว้ชัดเจนว่าเขาจะไม่เปลี่ยนใจอีก และหากนางยังพูดต่อไปก็จะยิ่งขายหน้าตัวเอง
ลู่เหยาฝืนยืนขึ้นแล้วมองฉู่เยี่ยนที่กำลังจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายทั้งสองก็จากไปพร้อมกับความกรุ่นโกรธ
…
ณ หอคอยจิ่วโยว สำนักเทียนลู่
ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง นางเอาป้ายชื่อขึ้นมากลัดอกซ้ายเหมือนเดิม จากนั้นตั้งมั่นสมาธิแล้วเงยหน้ามองไปข้างหน้า
หอคอยจิ่วโยวมีทั้งหมดเก้าชั้น หล่อด้วยเหล็กดำ หนักแน่นและสูงตระหง่าน หากมองจากข้างล่างขึ้นไปข้างบนก็เหมือนกันกระบี่คมที่ชี้ขึ้นฟ้าท่ามกลางมวลเมฆา ราวกับว่าจะสามารถทำให้ท้องฟ้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ทุกเมื่อ
ในแต่ละชั้นทั้งแปดมุมมีชายคายื่นออกมาพร้อมระฆังห้อย เมื่อลมพัดมาก็จะได้ยินเสียงระฆังดังกังวานอยู่ใกล้ๆ
คนที่อยู่ข้างหน้าฉู่หลิวเยว่ได้เดินเข้าไปในประตูสำริดสีดำแล้ว
เหนือประตูถูกแกะสลักด้วยลวดลายแปลกประหลาด
ดูเหมือนว่าจะเป็นนกอินทรี
มันก้มศีรษะลงเล็กน้อย หลับตาแน่น ปีกขนาดใหญ่คู่หนึ่งซ้อนทับกันต่อหน้ามัน ช่างดูสง่าผ่าเผยอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าจะมีไฟลามออกไปอย่างบ้าคลั่ง และมันก็ถูกเปลวเพลิงนั้นแผดเผาไปทั้งร่าง
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อฉู่หลิวเยว่มองแค่แวบเดียวก็รู้สึกถึงพลังปราณที่ดุร้ายอย่างอธิบายไม่ถูก
นางเก็บซ่อนความรู้สึกแปลกประหลาดนี้เอาไว้ แล้วยื่นมือผลักประตูเข้าไป
ทันใดนั้น ดวงตาที่ปิดสนิทของนกอินทรีก็ลืมขึ้นทันที!
ทั้งแดงก่ำ โหดเหี้ยมและน่ากลัว!
เจตนาฆ่าอันเย็นเฉียบพุ่งตรงไปที่ฉู่หลิวเยว่ทันที!