เล่ม 2 ตอนที่ 108 รอเจ้า / ตอนที่ 109 ระดับขั้นของชีพจร

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ตอนที่ 108 รอเจ้า

แขนเรียวยาวของหรงซิวเหยียดออกไปเพื่อต้องการดึงนางเข้าหา

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อนางพลาดท่าเสียที นางก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

“องค์ชายต้องการทำสิ่งใด”

หรงซิวจ้องนัยน์ตาดำขลับอันเจ้าเล่ห์ราวกับปีศาจจิ้งจอกของนางก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ

“ข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้จริงๆ…”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็ขยับตัวเล็กน้อยแล้วยื่นมือไปรวบข้อมือทั้งสองของนางด้วยความรวดเร็ว จากนั้นใช้มือข้างหนึ่งจับนางไว้ด้วยความอ่อนโยนและทะนุถนอม ขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งอ้อมไปเล็กน้อย นิ้วเรียวยาวของเขาค่อยๆ เกี่ยวขึ้นมาเบาๆ จนในที่สุดมีดคมไร้เทียมทานเล่มนั้นก็ตกมาอยู่ในมือของเขาได้สำเร็จ

ฉู่หลิวเยว่ต้องการขัดขืน อย่างไรก็ตาม พลังของหรงซิวนั้นแข็งแกร่งเกินไป นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย นางทำได้เพียงถลึงตาดูฝ่ายตรงข้ามแย่งชิงสิ่งของของนางไปต่อหน้าต่อตา

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาจากลำคอของหรงซิว เสียงนั้นช่างล้ำลึกและหวานใสราวกับสายลมที่พัดผ่านสายพิณ

หลังจากนั้นหรงซิวก็เก็บมีดบิน ทันใดนั้นร่างของเขาก็เอนเอียงและหงายหลังล้มตึง!

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจน ฉู่หลิวเยว่ไม่ทันตั้งตัว และได้ยินเสียงของร่างกายที่ตกกระทบกับเตียง ซึ่งฟังแล้วทำให้คนรู้สึกเจ็บแทน

แทบจะในเวลาเดียวกัน ฉู่หลิวก็ถูกเขาลากไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน!

เมื่อล้มลงไปหรงซิวก็เจ็บบริเวณแผ่นหลัง ริมฝีปากเริ่มซีดขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่กำลังจะล้ม เขาก็ยังอุตส่าห์โอบประคองไหล่ของนางเอาไว้เพื่อลดแรงกระแทก

ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา ฉู่หลิวเยว่หลับตาปี๋เมื่อเห็นว่าใบหน้าของหรงซิวอยู่ใกล้สายตาของตัวเองมากเกินไป

ส่วนเขานั้น…

“เยว่เอ๋อร์ ข้าป่วยอยู่ ข้าทนรับแรงกระแทกเจ้าไม่ไหว”

หรงซิวหัวเราะเบาๆ อย่างหยอกเย้า ราวกับว่าความเจ็บปวดที่หลังของเขาไม่มีอยู่จริง

ความรู้สึกผิดของฉู่หลิวเยว่เมื่อครู่นี้พลันสลายไปราวกับเมฆหมอก จากนั้นนางก็ช้อนสายตามองเขา

“ร่างกายขององค์ชายเป็นเช่นไร พระองค์น่าจะรู้ดีที่สุดมิใช่หรือ”

แม้ปากจะกล่าววาจาเช่นนั้น แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ยังรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับดึงหรงซิวขึ้นมาด้วยกันเพื่อดูแผ่นหลังของเขา

หรงซิวเลิกคิ้วและออกแรงที่มือเล็กน้อยส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ประคองเอาไว้

ทั้งสองใกล้กันมากจนฉู่หลิวเยว่เห็นใบหน้าของตนเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาในขณะที่เขากำลังพูด

สายตาของหรงซิวเปลี่ยนไปเล็กน้อยและปล่อยใจให้เพลิดเพลินไปกับใบหน้าของนาง เมื่อจ้องลึกลงไปในแววตาของเขา ราวกับว่าเขากำลังมองสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดบนโลกใบนี้

ตอนที่ 109 ระดับขั้นของชีพจร

แม้ว่าบ้านพักที่ทางสำนักจัดไว้ให้สำหรับฉู่หลิวเยว่มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่ก็ยังมีห้องว่างอยู่บ้าง

เมื่อเห็นว่าหรงซิวมาแย่งเตียงนอนของตัวเองอีกครั้ง ฉู่หลิวเยว่ก็โกรธไม่ลง และนางก็เริ่มเคยชินขึ้นมาบ้างแล้ว

หลังจากที่นางเข้าไปอีกห้องที่อยู่ติดกันแล้วปิดประตูลง นางก็ตั้งใจฟังเสียงอีกครั้งหนึ่ง ทว่ากลับไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใดๆ มาจากห้อด้านงข้าง นางจึงสงบจิตสงบใจ

ในเมื่อหรงซิวสามารถลอบเข้ามาในสำนักเทียนลู่อย่างไร้สุ้มเสียงได้ ก็คงไม่มีใครจับเขาได้แน่นอน นางจึงไม่กังวลในเรื่องนี้

ขณะนี้เป็นเวลาดึกแล้ว แต่ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่ได้พักผ่อนในทันที ตรงกันข้ามนางกลับนั่งขัดสมาธิพร้อมทั้งรวบรวมลมปราณและสมาธิเพื่อดูดซับพลังแห่งฟ้าดิน

พลังไร้รูปร่างหนึ่งสายค่อยๆ หลอมรวมเข้าสู่ร่างกายของนางเคลื่อนไหวผ่านเส้นชีพจรและอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย จนในที่สุดการเคลื่อนไหวที่ไร้เสียงนั้นก็มาถึงหยดน้ำกลางจุดตันเถียน

นับตั้งแต่วันที่นางหลอมหยวนตันแสนวิเศษนี้และหลังจากที่นางเริ่มต้นเข้าสู่เส้นทางการฝึกยุทธ์ใหม่อีกครั้งอย่างเป็นทางการ ฉู่หลิวเยว่ก็ไม่เคยมีวันหย่อนยานในการฝึก

ไม่ว่าในแต่ละวัน นางจะยุ่งหรือเหนื่อยสักเพียงใด นางก็จะยังคงฝึกฝนโดยไม่คิดเสียดายเวลาเลยสักนิด

แม้จะไม่มีใครข่มเหงรังแกแล้ว แต่นางส่วนลึกในใจของนางยังคอยย้ำเตือนเสมอว่านางยังมีเรื่องมากมายที่ต้องทำ

การมีชีวิตใหม่อีกครั้งเป็นโอกาสที่ดี ดังนั้นนางต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นโดยเร็วที่สุด!

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วผ่อนลมหายใจออกมา

นางสามารถสัมผัสได้ว่าพลังปราณในร่างกายค่อยๆ แข็งแกร่งมากขึ้นทุกวัน ถึงอย่างไรร่างนี้ก็มีชีพจรตี้จิง หากคิดที่จะฝึกยุทธ์ขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าเร็วกว่าคนธรรมดาตั้งเท่าไหร่

ทว่ามันยังไม่พอ!

ในอดีตชาติของนางถือกำเนิดมาก็มีชีพจรเทียนจิง มีพรสวรรค์ล้ำเลิศแล้ว ซึ่งชีพจรตี้จิงของนางในปัจจุบันยังเทียบไม่ติด

แต่นางก็ทราบดีว่าเรื่องนี้จะใจร้อนเกินไปไม่ได้ สถานะอดีตศัตรูของนางนั้นสูงกว่านางในตอนนี้มากโข ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป

ก่อนหน้านี้ซือหยางเคยบอกว่าผู้ที่สอบกลางภาคได้อันดับหนึ่งจะมีโอกาสได้เข้าพบราชทูตจากราชวงศ์เทียนลิ่ง

พอนับเวลาดูก็น่าจะใกล้เข้ามาแล้ว…

ในที่สุดฉู่หลิวก็วาดแผนภาพค่ายกลเงียบๆ ในใจ ก่อนที่จะพักผ่อนในที่สุด

วันรุ่งขึ้น ฉู่หลิวเยว่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่

หลังจากเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว นางก็นึกขึ้นได้ว่าหรงซิวยังนอนอยู่ในห้องข้างๆ นางจึงเดินเข้าไปเคาะประตู

กลับไร้การตอบสนอง

เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเขาได้จากไปแล้ว

ฉู่หลิวเยว่ตบหน้าผากตัวเอง ทันใดนั้นก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เป็นถึงหลีอ๋องตำแหน่งใหญ่โตซะเปล่า แต่ทำเหมือนบ้านนางเป็นโรงเตี๊ยมไปได้

ถ้าหากตอนนี้เขายังอยู่ที่นี่ก็คงลำบากใจไม่น้อย

ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจเรื่องนี้อีกแล้วหันหลังออกไปจากประตู

“นี่ พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ คาบเรียนฝึกสมาธิเมื่อวาน กู้หมิงจูท้าทายฉู่หลิวเยว่ไม่สำเร็จ แพ้จนต้องเสียแผนที่ค่ายกลระดับห้าไปถึงสองอันเชียวนะ!”

“จริงหรือ พรสวรรค์ของกู้หมิงจูก็แข็งแกร่งมากมิใช่หรือ ทำไมถึงแพ้ฉู่หลิวเยว่ได้ล่ะ”

“จริงแท้แน่นอน! ตอนนี้เขาลือกันไปทั่วสำนักแล้ว กู้หมิงจูมีพรสวรรค์ก็จริง แต่พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่าฉู่หลิวเยว่เข้าเรียนวันแรกก็คว้าที่สองของการสอบกลางภาคมาได้ แต่อย่างว่า นางช่างกล้าจริงๆ ด้วยฐานะของกู้หมิงจู นางไม่ไว้หน้ากู้หมิงจูเลยสักนิด…”

“นางยังไม่ไว้หน้าองค์ชายรัชทายาทเลย นับประสาอะไรกับผู้อื่นเล่า”

“ข้าไม่กล้ามีเรื่องกับฉู่หลิวเยว่นี่จริงๆ…”

เมื่อฉู่หลิวเยว่มาถึงหอคอยจิ่วโยว นางก็ได้ยินเสียงบทสนทนาพวกนี้จากระยะไกล

หลังจากที่เห็นร่างของนางแล้ว เสียงเหล่านี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว และทุกคนก็มองมาที่นางอย่างทำตัวไม่ถูก

บางทีผู้ฝึกปรมาจารย์หลายคนอาจไม่เคยเห็นฉู่หลิวเยว่มาก่อน แต่นางก็มีชื่อเสียงทางด้านผู้ฝึกยุทธ์ฝั่งนี้พอสมควร

ตอนที่นางประลองกับฉู่เซียนหมิ่นในวันนั้น นักเรียนผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนก็อยู่ที่นั่นทั้งหมด

ทว่าฉู่หลิวเยว่กลับทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเดินไปทางหอคอยจิ่วโยวต่อ

“ช้าก่อน!”

น้ำเสียงที่ฟังดูยียวนดังขึ้นจึงทำให้ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง

ผู้ที่มาขวางนางไม่ใช่ใครอื่น เป็นลู่เฟยเยี่ยนนั่นเอง

“มีเรื่องอะไร”

ฉู่หลิวเยว่เอยถามเสียงเรียบนิ่ง

ลู่เฟยเยี่ยนทำหน้ายุ่งขมวดคิ้วมุ่น แล้วนางก็ยิ่งขึ้นเสียงสูงจนฟังแล้วบาดแก้วหูไปหมด

“แน่นอนว่ามีเรื่อง! ฉู่หลิวเยว่ เจ้ามาทำอะไรตรงนี้”

ฉู่หลิวเยว่ตอบด้วยความแน่วแน่

“ก็มาฝึกฝนน่ะสิ”

“ตรงนี้เป็นอาณาเขตของผู้ฝึกยุทธ์ เจ้าเป็นปรมาจารย์มาแถวนี้ ใครจะไปรู้ว่าเจ้ามีแผนการอะไรหรือไม่”

ลู่เฟยเยี่ยนยังคงโกรธฉู่หลิวเยว่จากเรื่องเมื่อวันก่อน นางนอนไม่หลับทั้งคืน ไม่ว่าคิดอย่างไรก็คิดว่าตัวเองอึดอัดอยู่ในใจ

เพราะคิดว่าไม่รู้จะจัดการกับนางอย่างไรดี แต่คิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะเสนอหน้ามาหาถึงที่

ตรงนี้มีผู้ฝึกยุทธ์มากมายคอยสนับสนุนนาง นางไม่กลัวฉู่หลิวเยว่หรอก!

เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าที่เคยสงบนิ่งของฉู่หลิวเยว่ก็เปลี่ยนไปในที่สุด

นางเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม

“ข้าสอบผู้ฝึกยุทธ์ได้ที่หนึ่ง ทำไมข้าจะไม่มีสิทธิ์เข้ามาในอาณาเขตของผู้ฝึกยุทธ์ไม่ได้ล่ะ”

ลู่เฟยเยี่ยนชะงัก นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแม้ฉู่หลิวเยว่จะไปเรียนวิชาปรมาจารย์ แต่ตอนนางสอบกลางภาคก็ได้ที่หนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์จริงๆ!”

อันที่จริงนางมีสิทธิ์จะมาที่ตรงนี้มากกว่าใครด้วยซ้ำ

ลู่เฟยเยี่ยนหน้านิ่งค้าง

“เวลาของข้ามีข้ามาก หากเจ้ายังขัดขวางต่อไป ข้าก็ไม่รับประกันนะว่าจะจัดการเจ้ายังไง…”

ฉู่หลิวเยว่ยังคงมีสีหน้าสงบและน้ำเสียงเรียบนิ่ง ราวกับว่านางกำลังพูดเรื่องไร้สาระสักเรื่องอยู่

แต่ด้วยท่าทางเช่นนี้ของนาง กลับยิ่งทำให้ลู่เฟยเยี่ยนเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก

นางเกือบจะถอยหลังให้โดยไม่รู้ตัว แต่คนมุงดูมากมายขนาดนี้กลับยิ่งทำให้นางไม่พอใจมากกว่า

พอฉู่หลิวเยว่กำลังเดินผ่านไป นางจึงพ่นคำหยาบคายใส่อย่างเหลืออด

“มีอะไรดีนักหนา ก็แค่หมาจรจัดตัวหนึ่งเท่านั้น”

หากไม่มีตระกูลให้พึ่งพิง ฉู่หลิวเยว่จะมีปัญญาอะไร

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้หยุดเดินเพียงแต่ยิ้มอ่อน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางได้ยินคำเหล่านี้ แต่นางก็ไม่สนใจเลยสักนิด

ในสายตาของทุกคน ตระกูลฉู่เป็นตระกูลใหญ่ เป็นที่พึ่งพิงอาศัยที่มั่นคง แต่สำหรับนางและฉู่หนิง ที่นั่นก็เป็นแค่กรงสัตว์เน่าเหม็นเท่านั้น

ออกมาพ้นๆ โดยเร็ว นางก็ยิ่งยินดี

ส่วนคนปากหมาอย่างลู่เฟยเยี่ยน…นางค่อยกลับมาจัดการวันอื่นก็แล้วกัน

เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่เมินใส่ตนเอง ลู่เฟยเยี่ยนกลับคิดว่านางกลัว และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้น และพูดกับพวกที่อยู่ข้างหลังว่า

“เห็นหรือยัง ภายนอกฉู่หลิวเยว่ทำเป็นเย่อหยิ่งจองหองเท่านั้น นางทำให้องค์ชายรัชทายาทและตระกูลฉู่เกลียดแค้น วันข้างหน้านางคงได้มีชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทรมานแน่!”

นางพูดไปแล้ว แต่ไม่ได้รับเสียงสะท้อนอย่างที่คาดหวัง

พวกผู้หญิงเหล่านั้นต่างมองหน้ากัน หลังจากลังเลอยู่นาน พวกนางจึงพูดอย่างลังเลว่า

“เยี่ยนเอ๋อร์ ข้าได้ยินมาว่าสถานการณ์ของตระกูลฉู่ตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก พวกเขาบอกว่าองค์ชายรัชทายาทจะเกี่ยวดองกับตระกูลฉู่ในอีกสองวันข้างหน้า แต่ดูเหมือนหมินหมิ่นจะได้แต่งตั้งให้เป็นแค่นางสนมเท่านั้น…”

ก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างคิดว่าฉู่เซียนหมิ่นคงได้นั่งตำแหน่งพระชายาอย่างมั่นคง และยกฐานะตระกูลฉู่ให้ดูสูงส่งมากขึ้น

ทว่ายามนี้กลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ฉู่เซียนหมิ่นแต่งออกไปทั้งแบบนี้ เหมือนเป็นการตบหน้าตระกูลฉู่ชัดๆ!

และยิ่งทำให้สถานการณ์ของตระกูลฉู่แย่ลงไปอีก

ในทางกลับกัน ฉู่หลิวเยว่ออกจากตระกูลฉู่ก็ยิ่งมีชีวิตและอนาคตที่ราบรื่น

สีหน้าของลู่เฟยเยี่ยนพลันเปลี่ยนไป นางจงใจถอนหายใจและตีหน้าเศร้า

“หมินหมิ่นเสียโฉมไปแล้ว ตำแหน่งพระชายารัชทายาทก็คงต้องกลายเป็นของคนอื่น…เมื่อถึงวันนั้น เราต้องไปให้กำลังใจนางด้วยกัน!”

โอกาสเจอองค์ชายรัชทายาทมีไม่เยอะ งานนี้นางไม่พลาดแน่!

ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่ได้เดินมาถึงใต้หอคอยจิ่วโยวแล้ว

ชายชราในชุดสีขาวกำลังสัปหงกอยู่หน้าประตู

ก่อนที่นักเรียนทุกคนจะเข้ามา ต้องมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายชราครู่หนึ่งเสียก่อน

ฉู่หลิวเยว่เห็นว่าพวกเขาต้องถอดเข็มกลัดป้ายชื่อตรงอกซ้ายของตัวเองออกมา ก่อนจะวางบนหยกดำสี่เหลี่ยมตรงหน้าชายชรา แล้วหยิบขึ้นมาอีกครั้ง

นางเดินเข้ามาใกล้อีกนิดจึงเห็นว่าทุกครั้งที่วางป้ายชื่อลงไปจะมีตัวอักษรสองสามบรรทัดปรากฏขึ้นบนหยก

ไม่นานนักก็มาถึงคราวของนาง

ทันทีที่นางวางป้ายชื่อ ชายชราก็ลืมตาขึ้นทันที!

“เจ้าคือฉู่หลิวเยว่ที่สอบกลางภาคได้ที่หนึ่งใช่หรือไม่”

เขาทำปากจู๋

“ทำไมเจ้าถึงยังไม่ได้ลงทะเบียนระดับขั้นชีพจรอีก”