หลังจากรับของบริจาคจากพวกผู้ดีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ระหว่างทาง กลุ่มของซ่งฝูเซิงก็ดูครึกครื้นเป็นพิเศษ 

 

 

เกาถูฮู่ตะโกนบอก “โอ้ว แม่เจ้า รองเท้าข้าขาดแล้ว ในนั้นมีใครขอรองเท้าได้หลายคู่บ้าง บ้านข้าไม่ได้ขอรองเท้ามาเลย” 

 

 

มีหลายครอบครัวรีบตอบกลับมา “เท้าเจ้าใหญ่ขนาดไหน ใส่รองเท้าขนาดเท่าไหร่” 

 

 

“รองเท้าเจ้าขนาดไหน เท้าข้าก็ขนาดนั้น ถ้าให้ดีขอเป็นแบบผ้าฝ้าย” 

 

 

“เป็นฝ้าย เป็นฝ้าย” 

 

 

จูซื่อพูดกับท่านย่าหม่า “ท่านแม่ ท่านดูสิ ท่านดูข้าขอเสื้อกันหนาวมาให้ท่าน ขนาดกำลังพอดี ทางโน้นยังบอกว่าฮูหยินเคยสวมใส่ด้วยนะ” 

 

 

ท่านย่าหม่าบอกแค่เห็นเพียงแวบแรกก็รู้ว่าเนื้อผ้าดี ใส่แลดูอบอุ่น หลังจากนั้นนางก็ถามซ่งฝูเซิง “ลูกสาม ข้าเห็นรองเท้าของเจ้าแลดูใหญ่ไปหน่อย พอดีเท้าหรือไม่?” 

 

 

ซ่งฝูเซิงผลักรถและตะโกนตอบกลับ “พอดีแล้ว ถ้าไม่พอดีกับเท้า อย่าลืมยัดถุงเท้าเข้าไปข้างใน ใส่เข้าไปหน่อยให้พอใช้งานไปก่อนได้” 

 

 

ทุกคนต่างก็กำลังพูดคุยถึงสิ่งของที่ตนเองได้มา 

 

 

ท่านยายกัวก็เล่า ตั้งแต่นางยังเล็กไม่เคยสวมเสื้อผ้าเนื้อดีแบบนี้มาก่อนเลย 

 

 

ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงเอ่ยขึ้น ไม่ต้องพูดเรื่องเสื้อผ้าเลย เจ้าลองคลำผ้าห่มนี้ ผ้าห่มที่พวกเขาไม่ต้องการนี้ มีเนื้อผ้าหนามากกว่าของพวกเราที่ทำใหม่ฉลองวันปีใหม่ 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งเหลือบมองพวกเด็กๆ ที่อยู่บนรถเข็น แต่ละคนจับตัวกันเป็นกลุ่มซุกอยู่ใต้ผ้าห่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เขาถามอย่างอารมณ์ดี “ขอบคุณหมี่โซ่วแล้วหรือยัง? หมี่โซ่วขอขนมมาให้พวกเจ้าอีก ขอผ้าห่มและยังขอถ่านมาให้กับพวกเจ้า ถ่านของครอบครัวเขาไม่เหมือนกับของพวกเราที่ทำให้สำลักควัน” 

 

 

พวกเด็กน้อยโผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม ตะโกนบอก “ขอบคุณแล้ว ท่านปู่ พวกข้าขอบคุณหมี่โซ่วแล้ว” 

 

 

ยังมีเด็กๆ แย่งกันบอกซ่งหลี่เจิ้ง “ท่านปู่ ท่านปู่ หมี่โซ่วบอกว่า ตอนนี้ยังอิ่มอยู่ ไม่กินขนม รอจนหิวถึงจะแบ่งขนมให้กับพวกข้า ได้ไหม? ได้ไหม?” พวกเด็กๆ กลัวว่าพวกผู้ใหญ่จะไม่ตอบตกลง 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งพยักหน้า “ได้สิ ได้สิ แต่ห้ามอยู่ว่างๆ นะ ต้องเรียนการไหว้และโขกหัวคารวะกับหมี่โซ่ว ได้ยินมาว่าเมืองที่อยู่ถัดไปพวกเรายังมีโอกาสได้กินหมั่นโถวกับข้าวต้มได้อีกนะ ถึงตอนนั้นพวกเจ้ากับหมี่โซ่วก็ไปโขกหัวให้กับพวกผู้ดี น่าจะได้รับขนมมากขึ้นไปอีก” 

 

 

เด็กหลายคนรีบตะโกนเรียก “หมี่โซ่ว หมี่โซ่ว รีบมาสอนพวกข้าที” 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วรู้สึกเขินอายเล็กน้อย 

 

 

เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มคนของซ่งฝูเซิง เพื่อนร่วมเดินทางหลายครอบครัวก็สงบนิ่งมาก พวกเขาเพียงแต่ก้มหน้าก้มตารีบเดินทาง 

 

 

ได้ยินกลุ่มคนข้างหลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เหมือนมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นมา สะใภ้คนเล็กที่อาศัยพี่สาวก็สอบถามสามี “หรือว่าพวกเขามีคนค้ำประกัน? สามารถค้ำประกันคนได้เยอะขนาดนี้ คนนั้นจะต้องมีอำนาจมากนะ แต่มองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนที่จะรู้จักคนประเภทนั้นได้” 

 

 

“ไม่รู้เหมือนกัน” 

 

 

ภรรยาของคหบดีสอบถามสามีของตนเอง “ท่านพี่ คนในครอบครัวเรามีไม่กี่คน ยังต้องใช้เงินสองร้อยตำลึงเพื่อที่จะเอาป้ายสีแดงสดนี้ได้ แล้วพวกเขาจะต้องใช้เงินมากเท่าไร แต่ฟังดูแล้ว ไม่เหมือนคนที่จะสามารถเอาเงินออกมาใช้ได้นะ?” 

 

 

คหบดีดุใส่ภรรยา “เจ้าอย่าดูแคลน มองคนแค่เพียงภายนอก ข้าได้เคยพูดคุยกับคนในหมู่บ้านเดียวกันกับคนเหล่านั้น ได้ยินข่าวมาว่าก่อนหน้านั้นพวกเขาลี้ภัยกันมากี่คน ตอนนี้ก็ยังเหลือคนเท่าเดิม ไม่ได้ขาดหายไปแม้แต่คนเดียว เจ้าลองคิดถึงตลอดการเดินทางนั้น พวกเขาไม่ธรรมดาเลยนะ” 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใด อีกหลายครอบครัวก็ยังคงดูแคลน 

 

 

แม้กลุ่มซ่งฝูเซิงจะดูเหมือนเป็นคนยากจน แต่พวกเขากลับได้รับป้ายสีแดงสดหลายอัน มันเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจอย่างมาก 

 

 

ตอนอยู่ต่อหน้าผู้ดีมีสกุลก็กินจนอิ่มหนำสำราญ ตอนนี้ก็เริ่มคิดจะไปหาพวกผู้ดีชนชั้นสูงในเมืองถัดไปเพื่อขอสิ่งที่ต้องการ มันน่าอับอายมาก 

 

 

แต่ก็ต้องพูดว่าคนกลุ่มนี้มีความสามารถ 

 

 

เพราะพวกเขาเป็นคนนอกพื้นที่ อพยพลี้ภัยมาจนถึงตอนนี้และยังมีชีวิตรอด มันไม่ใช่เรื่องง่ายนัก 

 

 

เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว คนที่เคยเป็นข้าราชการมาก่อน ถ้าอยากกลายเป็นคนของที่นี่ก็ต้องลดขั้นเป็นเกษตรกร คนที่เคยเป็นเจ้าของที่ดิน มาอยู่ในพื้นที่ของคนอื่นก็ถูกลดระดับเป็นเกษตรกรธรรมดา ลดขั้นลงมาตามลำดับ อาจจะพูดได้ว่า เมื่อมาถึงเขตการปกครองของท่านอ๋องคนใหม่ แต่ละคนก็จะถูกลดขั้นลงเป็นประชาชนชั้นสองโดยอัตโนมัติ ดูถูกดูแคลนกันไปก็ไม่มีประโยชน์ 

 

 

โชคชะตาชีวิตพลิกผัน 

 

 

เมื่อมาถึงร้านขายยาที่อยู่เบื้องหน้า ครอบครัวอื่นคุยดังเซ็งแซ่ ส่วนกลุ่มซ่งฝูเซิงเงียบกริบโดยอัตโนมัติ 

 

 

ภรรยาของคหบดีรีบเข้าไปหาท่านหมอที่นั่งอยู่ในร้าน “รีบมาตรวจดูสามีของข้าหน่อย ตรวจดูลูกชาย จับชีพจรดูอาการให้หลานทั้งหลายของข้า ที่นี่มียาอะไรบ้าง? ต้องต้มดื่มหรือไม่ หรือตอนเดินทางสามารถกินได้เลย” 

 

 

สะใภ้เล็กคนนั้นก็เช่นกัน เข้ามาก็รีบให้ท่านหมอตรวจดูรอยแผลจากมีดบนกายของสามี และยังมีคนใช้ชายสองคนที่ติดตามสามีของนาง โดยให้พันแผลให้ใหม่ พวกเขาปกป้องลูกชายกับลูกสาวของนาง ยอมที่จะเสียเงินในการรักษาเพื่อไม่ให้มีอาการกำเริบต่อไปในอนาคต 

 

 

ครอบครัวพวกนั้นแสดงออกแบบเดียวกันว่า พวกข้าไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ถึงแม้จะใช้เงินซื้อเพื่อความสบายใจก็ยอมจ่าย แต่ต้องตรวจพวกเราทุกคน นอกจากนี้อีกห้าครอบครัวก็เข้าไปซื้อยาชนิดเม็ดหลายชนิด มีทั้งยาแก้ท้องเสีย ยาแก้หวัด ยาแก้ไข้ ยาแก้ปวดหัว ยาทาแผล เป็นต้น 

 

 

พวกซ่งฝูเซิงหยุดเข็นรถ พวกเขายืนอยู่หน้าร้านขายยาเพื่อรอครอบครัวอื่น 

 

 

ท่านยายหวังคล้องแขนท่านย่าหม่า “ไป พวกเราก็เข้าไปดูกันหน่อย” 

 

 

“เข้าไปทำอะไร?” 

 

 

“อยู่รอโง่ๆ อยู่ตรงนี้ไปทำไมกัน อากาศก็หนาว มีพวกผู้ชายอยู่ข้างนอกคอยดูรถ พวกเราก็เข้าไปดูสักหน่อย ดูราคายาของพวกเขาว่าแพงกว่ายาของพวกเราหรือไม่” 

 

 

ท่านยายกัวพยุงไม้เท้าเดินหน้าไปพร้อมกับเอ่ย “ไปสิ ต้องเข้าไปดูสักหน่อย” 

 

 

ในที่สุด หญิงชราทั้งสามคนก็เข้าไปในร้านขายยาเพื่อดูราคา 

 

 

ท่านย่าหม่าสอบถามเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังจัดยา “มียาเกี่ยวกับแก้อาการปวดหัวตัวร้อนหรือไม่?” 

 

 

เสี่ยวเอ้อร์มีทีท่ากระตือรือร้นบอกว่า มี ไม่เพียงมี ยังทำยาเป็นชนิดเม็ด ร้านยาของเขาเปิดอยู่ริมถนนหลวงก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนที่รีบร้อนเดินทาง มียาเม็ดทุกชนิด สามารถกลืนกินได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง 

 

 

ราคาเท่าไร? 

 

 

“หกตำลึง” ยื่นขวดเล็กๆ ให้มาหนึ่งขวด 

 

 

“โอ้ว สวรรค์ ราคาตั้งหกตำลึง ทำหีบโลงศพยังถูกกว่านี้” 

 

 

ท่านยายกัวก็อุทานตาม “กินยาที่ไหนกัน เหมือนกินเงินก็ไม่ปาน” 

 

 

ท่านยายหวังคล้องแขนท่านย่าหม่ารีบหมุนตัวกลับ “ไป ไปกันเถอะ ไม่ดูแล้ว ซื้อไม่ไหว ข้าบอกเจ้าก่อนนะ พวกข้าไม่ได้แตะขวดนั้นเลยนะ” 

 

 

หญิงชราสามคนคิดในใจ ไม่ต้องถามคนพวกนี้ ปีหนึ่งสามารถหาเงินมาได้หกตำลึงหรือไม่ อย่าว่าแต่หนึ่งปีหรือสองปีเลย ก็ยังซื้อไม่ไหว ร้านยาเถื่อน! 

 

 

ซ่งฝูเซิงถามท่านแม่ “ยาปวดหัวตัวร้อน ควรจะมีติดตัวไปบ้าง พวกเราต้องซื้อเก็บไว้หน่อย ท่านรู้ราคาแล้วหรือยัง ราคาเท่าไร” 

 

 

“โอ้ว สวรรค์ ลูกสาม ราคาตั้งหกตำลึงนะ” 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งถึงกับสูดลมหายใจลึก เขาถามพวกเด็กน้อยที่อยู่บนรถ “พวกเจ้าจะปวดหัวตัวร้อนกันบ้างไหม?” 

 

 

คำถามนี้ ถามได้ยากและล้ำลึกมาก พวกเด็กน้อยต่างหันมามองหน้ากัน 

 

 

ทหารที่คุยถูกคอกับซ่งฝูเซิงตลอดการเดินทางได้กระซิบบอก “ซื้อไว้บ้างก็ดี ไม่ต้องซื้ออาหารก็ได้ แต่ระหว่างทางยังสามารถพักแรมและยังมีอาหารให้ แต่ถ้าผ่านร้านขายยาร้านนี้ไปก็จะไม่มีอีกแล้วนะ” 

 

 

ซ่งฝูเซิงยื่นมือเข้าไปในเสื้อกันหนาว กัดฟันหยิบถุงเงินออกมาแล้วเดินตรงไปยังร้านขายยา 

 

 

เมื่อครู่ ทุกคนต่างตระหนี่ถี่เหนียวกับตนเอง เหมือนว่าใช้เงินไปหกตำลึงจะเป็นการเอาชีวิตของพวกเขา แต่เมื่อรู้ว่าซ่งฝูเซิงยอมเสียเงินหกตำลึงเพื่อซื้อยาแก้ปวดหัวตัวร้อน ทุกคนก็รีบบอกกับซ่งหลี่เจิ้ง “จดไว้ ท่านลุงจดลงบัญชี พวกเราหารกันออกเงิน ยืมพี่สาม น้องสามมาเยอะแล้ว ไม่ควรให้เขาต้องออกเงินให้พวกเราอีก” 

 

 

“ไม่ได้สิ พวกเราต้องเป็นคนจ่าย” 

 

 

ซ่งฝูเซิงบอกช่างมันเถอะ เขาทำไปก็เพื่อเด็กๆ ไม่ว่ายากดีมีจนก็ไม่สามารถคิดค่ายาได้ ทางตอนเหนืออากาศหนาว ระหว่างทางอาจประสบปัญหาได้ ต้องคิดป้องกันไว้บ้าง เขาเป็นลุงสามของเด็กๆ ถ้าเงินหกตำลึงควักเอาออกมาไม่ได้นั่นก็เกินไปแล้ว จะดูถูกกันเกินไป 

 

 

พวกเขารีบแย่งกันพูด “แบบนั้นก็ไม่ถูกนะ เจ้าคนเดียวจ่ายหกตำลึงมากที่สุด เมื่อเฉลี่ยมาถึงพวกข้าก็น้อยแล้ว เจ้าฟังพวกข้าเถอะ” 

 

 

ผู้คุมเถิงถึงกับยิ้ม เขารู้สึกว่าคนกลุ่มนี้น่าสนใจ