ผู้คุมเถิงถาม “จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง? เรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทาง ยังมีอีกสิบกว่าครอบครัวที่รอพวกเราอยู่ที่โรงเลี้ยงสัตว์” 

 

 

ตะโกนเสร็จ ผู้คุมเถิงก็ขึ้นไปขี่ลาก่อน 

 

 

ทุกคนก็รู้ว่า อีกสิบกว่าครอบครัวมาทางทะเลและได้ป้ายสีแดงสดมา 

 

 

สิ่งที่แตกต่างไปจากพวกเขาก็คือ คนพวกนั้นอพยพลี้ภัยกันมาทางเรือ นอกจากนี้ พื้นที่บ้านแต่เดิมน่าจะอยู่ทางตอนใต้ ใกล้กับทะเล 

 

 

พวกเขาก็เริ่มออกเดินทางใหม่อีกครั้ง 

 

 

ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วยามก็ถึงโรงเลี้ยงสัตว์ 

 

 

หน้าโรงเลี้ยงสัตว์ในตอนนี้ค่อนข้างคึกคัก 

 

 

หัวหน้าผู้คุมขบวนนั้นเข้ามาพูดคุยกับผู้คุมเถิง บอกว่า มีจำนวนครอบครัวที่นั่งเรือมาสิบเก้าครอบครัว และได้ยื่นใบรายชื่อให้ ผู้คุมเถิงมองใบรายชื่อที่อยู่ในมือ “มีเยอะขนาดนี้?” 

 

 

หัวหน้าผู้คุมขบวนคนนั้นก็พยักหน้าพร้อมกับบอกว่า มีแค่นี้ ยังมีเรืออีกหลายลำที่ล่มอยู่กลางทะเล ทางตอนใต้ฝนตกหนักมาก มีพายุฝนฟ้าคะนอง มิเช่นนั้นคงจะมีจำนวนเยอะกว่านี้ พวกเราสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ มีเรือเล็กหลายลำล่องลอยอยู่ในทะเลแต่ยังไม่สามารถเข้าเทียบท่าได้ 

 

 

เขาเข้าไปกระซิบกับผู้คุมเถิงว่า คนพวกนี้ล้วนเป็นคหบดีมาก่อน ครอบครองที่ดินมากมาย พวกเขาให้เงินจำนวนมากกับใต้เท้าหัวหน้าท่าเรือ พวกเขาถึงได้ถูกส่งไปอยู่เมืองเฟิ่งเทียน 

 

 

ใต้เท้าก็รู้สึกว่า คนพวกนี้มีเงิน เมื่อถูกส่งไปอยู่เมืองนั้นก็สามารถกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยได้ ท่านใต้เท้าถึงให้ป้ายสีแดงสดนี้มา 

 

 

ผู้คุมสองคนพูดคุยกัน ซ่งฝูเซิงไม่ต้องฟัง แค่มองก็รู้ว่าคนพวกนี้มีเงิน เป็นคนมีเงิน 

 

 

มีเพียงคนกลุ่มนี้ที่ทุกครอบครัวต่างก็สอบถามราคาสัตว์กับเสี่ยวเอ้อร์ 

 

 

เกาถูฮู่ถามซ่งฝูเซิง “พวกเขาซื้อวัวตัวหนึ่งราคาเท่าไร?” 

 

 

“เมื่อครู่ได้ฟัง ถ้าไม่รวมตู้รถ ก็สี่สิบตำลึง” 

 

 

เกาถูฮู่สูดลมหายใจลึก เขายกมือกุมหัวใจ วัวบ้านเขาซื้อมาประมาณสิบแปดสิบเก้าตำลึงยังต้องเก็บเงินเกือบทั้งชีวิต เริ่มเก็บเงินตั้งแต่ยุคพ่อของเขาถึงได้มีวัวสามตัว ครอบครัวของเขาเคยเป็นครอบครัวที่มั่งคั่งร่ำรวยในหมู่บ้านมาก่อน 

 

 

ตอนนี้ฆ่ามันเพื่อกินเนื้อไปแล้ว ถ้าคิดตามราคาในพื้นที่นี้ พวกเขากินไปร้อยยี่สิบตำลึง ช่างน่าปวดใจจนหายใจติดขัด 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งสอบถาม “สถานที่นี้ นี่? ฝูเซิง ทำไมขายแพง? ชาวนาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร” 

 

 

ซ่งฝูเซิงส่ายหัว “น่าจะราคาแพงแบบนี้” 

 

 

“ทำอย่างไร?” 

 

 

จะทำอย่างไรได้ ซ่งฝูเซิงคิดในใจ 

 

 

ผู้คุมทั้งสองขบวน รวมทั้งทหารอีกสิบกว่านายพาพวกเขามา ต้องทนกับความหนาวเหน็บและความหิวโหย เดินไปกลับอย่างน้อยต้องใช้เวลาครึ่งเดือน ใครจะมาคอยบริการให้เจ้าฟรีๆ 

 

 

การไปสถานที่ที่ผู้ดีมีสกุลช่วยเหลือคนยากไร้ ถ้าใช้ภาษาปัจจุบัน นั่นก็เหมือนเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เป็นหน้าที่ในการปกครองและเป็นงานของพวกเขา 

 

 

ส่วนร้านขายยาและโรงเลี้ยงสัตว์เป็นแหล่งซื้อขายสินค้า เช่นเดียวกับมัคคุเทศก์ มีการแบ่งปันกำไรค่านายหน้า แม้จะต้องเดินอ้อมก็ต้องพาทุกคนมา 

 

 

แต่คนมีเงินโง่ไหม? ซื้อทั้งที่รู้ว่าแพง แต่ถ้าไม่ซื้อตนเองก็ลำบาก รอจนตนเองอยากจะซื้อ แต่เมื่อผ่านร้านนี้ไปแล้วก็จะไม่มีอีกแล้ว การขายของต้องรู้ใจคน เจ้าจะใช้เงินซื้อเพื่อไม่ให้ลำบากหรือให้คนลำบาก 

 

 

ส่วนพวกเขาไม่มีเรื่องนี้ให้ต้องคิดวุ่นวายเพราะยากจนเกินจะจับจ่าย 

 

 

ใครบอกไม่มีเรื่องให้คิดวุ่นวาย? 

 

 

ทันใดนั้น ลูกชายของหลี่ซิ่วก็ร้องไห้เสียงดัง ตัวเล็กเอนกายจะออกจากอ้อมแขนของหลี่ซิ่ว เขาร้องไห้แล้วก็เอื้อมมือเหมือนจะคว้าอะไรบางอย่าง 

 

 

เด็กๆ ที่อยู่บนรถต่างมองจ้องไปยังเด็กชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้ารถเข็น ถ้าจะพูดให้ถูก พวกเขากำลังมองดูน่องไก่ที่อยู่ในมือของเด็กชายคนนั้นมากกว่า 

 

 

มองเด็กชายตัวเล็กที่กำลังกินน่องไก่อย่างช้าๆ มีเสียงแทะแจ๊บๆ ดังออกมา 

 

 

น่องไก่มาจากไหน มาจากลูกเขยที่เพิ่งกลับมาของครอบครัวหนึ่งที่ร่วมเดินทางมาด้วย เขานำซาลาเปา ขนมปังปิ้ง และไก่ย่างอีกหลายตัวมาให้แม่ยายและพวกพี่ๆ โดยใช้เชือกมัดเป็นห่อเล็กห่อใหญ่แล้วรีบขี่ม้ากลับมา 

 

 

พวกผู้ใหญ่บ้านนี้ไม่โอ้อวด ลูกเขยบ้านนี้ก็ดีมาก ส่งของขวัญเป็นสินน้ำใจให้กับผู้คุมเถิงเป็นไก่ย่างหนึ่งตัวแล้ว เขาก็ถามคนอื่นว่าต้องการซื้อหรือไม่ เขาตั้งใจซื้อเพิ่มมาอีกหลายตัว พวกเราร่วมเดินทางด้วยกันมาก็เหมือนเป็นพรหมลิขิต สามารถแบ่งให้พวกเขาหนึ่งตัว ซื้อมาเท่าไรก็จ่ายมาเท่านั้น ถือว่าช่วยพวกท่านที่วิ่งไปซื้อให้เพราะทุกคนต่างก็ลำบาก 

 

 

และเข้ามาถามซ่งฝูเซิง ซ่งฝูเซิง… 

 

 

ซ่งฝูหลิงรีบวิ่งไปดู ลูกชายสองขวบของหลี่ซิ่วร้องไห้เพราะหิว พวกซ่วนเหมียวจื่อที่อยู่บนรถเข็นก็น้ำตาคลอ 

 

 

ซ่งจินเป่าสูดหายใจเข้าลึกๆ และกำลังชักจูงเด็กชายหลายคนเพื่อไปแย่ง 

 

 

ซ่งฝูหลิงพูดด้วยน้ำเสียงดุ “จินเป่า ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วที่ต้องใช้มีดใช้หมัดในการยื้อแย่ง ตอนนี้พวกเรามีคนคอยควบคุมดูแล ต้องมีเหตุผล ไม่ใช่อยากได้อะไรก็เข้าไปยื้อแย่ง เจ้าเห็นทหารพวกนั้นหรือไม่? ถ้าเจ้าเข้าไปแย่ง เขาก็จับเจ้า” 

 

 

ซ่งจินเป่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอื้น “แต่ข้าอยากกิน” 

 

 

“พวกเราก็กินดีไม่แตกต่างจากพวกเขาเท่าไร เด็กน้อยคนนั้นที่อยู่ด้านหน้าก่อนหน้านี้อาจจะไม่ได้กินดีเหมือนกับพวกเจ้าก็ได้ พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือไง? เนื้อวัว เนื้อล่อ” 

 

 

หลานชายคนเล็กบ้านกัวพูดขึ้น “กินจนไม่ชอบกินแล้ว” 

 

 

“ใช่ ขนม” 

 

 

มีเด็กน้อยคนหนึ่งรีบพูด “พี่พั่งยา ขนมหวานมากเลยนะ” 

 

 

“ไข่ไก่” 

 

 

“ไข่ไก่เป็นของหมี่โซ่วที่ได้มา” เด็กน้อยตอบกลับมา เขาชี้ไปที่หมี่โซ่ว 

 

 

“ใช่แล้ว เป็นของที่หมี่โซ่วได้มา” ซ่งฝูหลิงหันไปมองหมี่โซ่ว ปรากฏว่าหมี่โซ่วก็กำลังแอบมองเด็กชายคนนั้นเหมือนกัน เขาคงคิดที่จะตอบกลับคำพูดของนางที่พูดไป แต่เมื่ออ้าปากน้ำลายก็ไหลออกมา 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงโน้มตัวลง “มา หมี่โซ่ว ป้าอุ้มเจ้าไปฉี่ พวกเราไม่ต้องไปสนใจมอง” 

 

 

หมี่โซ่วยื่นสองมือจากผ้าห่ม เขาตอบกลับอย่างเชื่อฟัง “ได้” 

 

 

ซ่งฝูหลิงก็พูดกับเด็กคนอื่น “ห้ามมองแล้ว ถ้าหิวก็คิดถึงอาหารที่พวกเจ้ากินมา มา ทำเหมือนพี่สาว พวกเราหันไปมองทางนี้พร้อมกัน” 

 

 

ซ่วนเหมียวจื่อตอบกลับเสียงดัง “ข้าไม่มองแล้ว ข้ายังเคยกินเนื้องูเขียว” 

 

 

“ใช่สิ เจ้ายังถูกงูเขียวกัดเลย ฮ่าๆ” ซ่งจินเป่าหัวเราะเสียงดัง 

 

 

โชคดีที่ครอบครัวนี้ซื้อเกวียนเทียมวัวกับถ่านเสร็จ และพบว่าเด็กน้อยเอาน่องไก่ไป ท่านแม่ยายคนนั้นรู้สึกเก้อเขิน นางตีตูดหลานชายไปครั้งหนึ่ง “กินอิ่มไม่มีอะไรทำหรือไง” 

 

 

ทุกคนเริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง ผู้นำทั้งสองก็ขี่ลาพูดคุยกันและหันไปมองข้างหลังเป็นระยะ 

 

 

หัวหน้าที่นำเรือข้ามไปถามว่า “ผู้คุมเถิง กลุ่มคนเข็นรถนั่นหมายความอย่างไร?” 

 

 

ผู้คุมเถิงยิ้มไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่พูดว่า “พวกเราเดินทางช้าหน่อย พวกเขาเข็นรถเดินช้า” 

 

 

ครอบครัวพวกนั้นที่ร่วมเดินทางด้วยกันต่างก็ซื้อเกวียนวัว รถลากเทียม และมีสองครอบครัวที่ซื้อรถม้า แค่ม้าตัวหนึ่งก็ร้อยห้าสิบตำลึง มีพวกซ่งฝูเซิงเท่านั้นที่ยังคงใช้เท้าเดินอยู่ท้ายขบวน 

 

 

ผู้คุมคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงดูแคลน “ถ้าไม่มีพวกเขา พวกเราใช้เวลาไป-กลับคงเร็วขึ้นไม่น้อย ไม่แน่อาจจะพามาได้อีกขบวนหนึ่ง” 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ได้ค่าเงินส่วนต่างด้วย เพราะพวกเขาไม่ค่อยได้ซื้อยา ไม่ได้ซื้อสัตว์อะไร 

 

 

ผู้คุมเถิงเริ่มรำคาญ “อย่าบ่นไปเลย ทุกคนต่างก็ลำบาก” 

 

 

ไม่เพียงแค่ผู้คุมคนนั้นบ่น ครอบครัวที่ลงจากเรือมาซื้อสัตว์เพื่อรีบเดินทางก็บ่น พวกเขาไม่พอใจอย่างมาก ใครอยากจะเสียเวลาในการเดินทางกัน รีบเดินทางให้ถึงสถานที่จะได้สบายใจ ถึงแม้จะยังไม่ถึงสถานที่เป้าหมาย แต่ก็รีบไปถึงโรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อนก็ยังดี 

 

 

ตอนนี้ต้องคอยรอพวกเขาเหล่านั้น แล้วที่พวกเขาใช้เงินซื้อสัตว์ในราคาสูงจะมีความหมายอะไร? 

 

 

ส่วนคหบดีท่านนั้นที่นั่งอยู่บนเกวียน กำลังยื่นมือไปผิงไฟกับถาดถ่าน เขาพูดกับภรรยา “อีกสักครู่ถ้าผู้คุมหยุด เจ้าก็ลงจากรถแล้วไปถามคนพวกนั้นว่ามีเด็กที่ทนหนาวไม่ไหวบ้างหรือไม่ ให้มาผิงไฟบนรถของเรา” 

 

 

“เพื่ออะไร?” 

 

 

“ทำไมถึงเรื่องเยอะจริง เพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน สานความสัมพันธ์อันดีไว้ก่อนไม่ดีหรือไง? ในชีวิตของข้าจะสามารถให้พวกเจ้านั่งบนรถอพยพหลบหนีได้ ก็เพราะข้าดูคนเป็นนี่แหละ”