แปดสิบสอง

เข้ามาทักทาย

เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนที่คิดอะไรแล้วต้องทำ วันต่อมาเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งออกไปที่สำนักศึกษา เธอจึงไปสำรวจร้านตัดชุดร้านนั้น

แม้แต่ป้ายร้านยังไม่มี ธงหน้าร้านก็แสนธรรมดา เพียงใช้ผ้าหนึ่งผืนกับไม้ไผ่ปักไว้หน้าร้านพอให้รู้ว่าที่นี่คือร้านตัดชุดเท่านั้น เมื่อมองจากประตูก็พบว่าแสงแดดส่องเข้าไปในร้านได้ไม่ดีนัก อีกทั้งการจัดร้านยังไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย บนผนังแขวนชุดกระโปรงอยู่ไม่กี่ชุด และไม่รู้ว่าแขวนเอาไว้นานเท่าไรแล้ว เพราะมีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ส่วนด้านหลังร้านแม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะยังไม่เห็น แต่เธอก็เคยมาทำงานที่นี่ จึงรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

สรุปว่าแค่มองอยู่หน้าประตูร้านก็ไม่อยากเข้าไปด้านในแล้ว แต่เป็นเพราะว่าร้านนี้เปิดมานานหลายปี ชาวบ้านในละแวกนี้ต่างก็คุ้นเคยกันดี อีกทั้งราคายังไม่แพงมาก หลายปีที่ผ่านมากิจการจึงนับว่ายังดีอยู่ ทว่าตั้งแต่มีร้านตัดชุดเปิดใหม่ไม่ไกลกันนัก และราคายังถูกกว่า ทำให้ร้านนี้มีลูกค้าน้อยลง ในที่สุดก็ไม่มีคนเข้าร้าน

แต่ที่ตั้งของร้านนี้ก็นับว่าไม่เลว แม้ว่าจะไม่ใช่สถานที่ที่คนพลุกพล่านที่สุดในเมืองผิงหยาง แต่บริเวณนี้ก็มีผู้คนเดินไปมาไม่ขาดสาย

ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่มาทำงานในร้านนี้ เธอสนใจแต่เรื่องการเย็บปักถักร้อยและตัดเสื้อผ้า แต่ตอนนี้เธออยากจะเปิดร้านเอง จึงใช้เวลาตลอดทั้งเช้าเดินดูรอบๆ ร้านอย่างละเอียด มองคนที่เดินผ่านไปมา และเดินไปดูอีกร้านที่อยู่ไม่ไกล สุดท้ายก็ไปดูร้านตัดชุดที่ดีที่สุดในเมืองผิงหยาง เพื่อสังเกตการณ์และเรียนรู้จากร้านนั้น

ร้านตัดชุดที่ดีที่สุดในเมืองผิงหยางชื่อ ‘อี้ชิ่งเหอ’ เป็นกิจการของตระกูลตัน ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่เจริญที่สุด และข้างๆ ก็เป็นร้านขายผ้าของพวกเขา

ลูกค้าจะเลือกผ้าดีๆ ที่ร้านขายผ้า จากนั้นก็นำไปให้ช่างที่ร้านอี้ชิ่งเหอวัดตัวตัดชุดให้ นับเป็นกิจการที่มีครบทุกอย่างจริงๆ แต่ราคาก็สูงไม่น้อย

คนที่มาตัดชุดในร้านอี้ชิ่งเหอได้นั้นล้วนเป็นครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดี แต่ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา ก็จะไปตัดชุดในร้านเล็กๆ เพราะราคาถูกลงไม่น้อย

หลังจากดูมาแล้วสามร้าน เสวี่ยเจียเยว่ก็ไตร่ตรองในระหว่างทางเดินกลับ

เธอมีเงินทุนอยู่อย่างจำกัด หากจะคิดราคาให้สูงเพื่อให้ได้กำไรมาก ลูกค้าก็จะไปที่ร้านอี้ชิ่งเหอ แต่ถ้าคิดราคาถูกก็ได้กำไรน้อย ไม่ว่าวิธีใดก็ไม่เป็นผลดีทั้งสิ้น

ดังนั้นเธอจึงต้องใช้ความสามารถของตัวเอง การทำเช่นนี้ถึงจะทำให้ตนโดดเด่น

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าในเรือนของตนไม่มีอาหารแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็ไปซื้อของที่ตลาด จากนั้นเธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พบว่าใกล้ถึงยามที่เสวี่ยหยวนจิ้งเลิกเรียนแล้ว เธอจึงเดินไปที่สำนักศึกษาไท่ชู

ประตูสำนักศึกษาปิดสนิทเพราะอาจารย์กำลังสอนอยู่ เสวี่ยเจียเยว่มองแผ่นป้ายซึ่งแขวนอยู่บนประตูอย่างเบื่อหน่าย ว่ากันว่าแผ่นป้ายพื้นสีเขียวตัวอักษรสีทองนี้ฮ่องเต้ทรงเขียนด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง โดยมีคำว่า ‘คุณธรรม’ ‘การเล่าเรียน’ ‘สวรรค์’ ‘พิภพ’ แม้คำที่เขียนอยู่บนป้ายนั้นจะดูสง่างาม แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็มักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป… ตัวอักษรบนแผ่นป้ายนั้นงดงามสู้ตัวอักษรที่เสวี่ยหยวนจิ้งเขียนไม่ได้เลย

เสวี่ยเจียเยว่มองพิจารณาแผ่นป้ายครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกถึงเรื่องซื้อร้านตัดชุดอีกครั้ง และจมอยู่กับความคิดของตัวเองพลางขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น

ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงระฆังดังขึ้นสามครั้งจึงได้สติกลับมา และคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งคงเลิกเรียนแล้ว

เป็นจริงดังคาด ประตูทั้งสองบานเปิดออก ไม่นานก็เห็นผู้เรียนทยอยกันเดินออกมา

สำนักศึกษาแต่ละแห่งจะมีเครื่องแบบของตนเอง ซึ่งเครื่องแบบของสำนักศึกษาไท่ชูเป็นชุดสีเขียว คล้ายกับต้นไผ่ที่ตั้งตระหง่านดูแข็งแกร่ง เมื่อถึงฤดูร้อนก็จะมีชุดอีกแบบ

เสวี่ยเจียเยว่คิดคำนวณว่า ผู้เรียนในสำนักศึกษาไท่ชูมีไม่น้อย และในเมืองผิงหยางก็มีสำนักศึกษาอยู่เก้าแห่ง ทุกคนมีชุดสำหรับฤดูร้อนคนละสองชุด เมื่อนับดูแล้วก็เป็นจำนวนมากทีเดียว ไม่รู้ว่าร้านใดตัดเย็บชุดเหล่านั้นให้พวกเขา

เมื่อเธอคิดถึงเรื่องนี้ ใจก็ลอยไปไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ยามนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง แสงแดดอันอบอุ่นลอดผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ลงมากระทบร่างของเธอ

เด็กสาวอายุสิบสองปีเปรียบเสมือนดอกไม้ตูมที่รอวันบานสะพรั่ง แม้ว่าจะยังไม่ถึงเวลาที่สวยงามที่สุด แต่ก็เป็นความงามที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้

บรรดาผู้เรียนที่เดินออกมาจากสำนักศึกษา จู่ๆ ก็เห็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักยืนอยู่ใกล้ประตู หลายคนหยุดเดินและมองอย่างละเอียด ทั้งยังมีคนหัวเราะแล้วเอ่ยเร่งให้หนึ่งในชายหนุ่มเหล่านั้นเดินไปทักทาย

สุดท้ายชายหนุ่มคนหนึ่งก็โดนผลักออกมา

เขาจัดชุดของตนให้เรียบร้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์ที่สุดพร้อมกับก้าวมาข้างหน้า หลังจากค้อมศีรษะให้เสวี่ยเจียเยว่แล้ว เขาก็ยืดตัวตรงพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“มองเพียงครู่เดียวสายตาและใบหน้าอันงดงามเกลี้ยงเกลาก็ปรากฏขึ้น ความงามของแม่นางทำให้คนที่ได้เห็นลืมทุกสิ่ง ข้า… เนี่ยหงเทา ไม่ทราบว่าแม่นางมีนามว่าอันใด”

นี่ถือว่าเป็นการชวนเธอคุยใช่หรือไม่

แม้จะรู้ว่าคนในยุคนี้แต่งงานเร็ว อายุสิบสามสิบสี่ปีก็ออกเรือนแล้ว ถึงขั้นมีลูกเล็กเด็กแดง แต่เมื่อจู่ๆ ก็มีคนพูดทักทายด้วยถ้อยคำเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็อดตะลึงงันไม่ได้

ร่างนี้เพิ่งอายุสิบสองปีเองนะเจ้าพวกบ้า!

เสวี่ยเจียเยว่เหลือบมองชายหนุ่มด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่อีกฝ่ายกลับนึกว่าเธอมีความสนใจในตัวเขา รอยยิ้มบนใบหน้าจึงยิ่งกว้างกว่าเดิม

เขาอยากจะพูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่อีกสักสองสามประโยค แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเหนือศีรษะมีเงามืดมาปกคลุม ทั้งที่ยามนี้คือเดือนแปด กลับรู้สึกหนาวเหน็บอย่างประหลาด

เมื่อเงยหน้ามอง เขาก็พบว่ามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างเด็กสาว แต่เพราะแสงจากด้านหลังถูกบดบัง ร่างกายของคนผู้นั้นจึงดำทะมึน

เนี่ยหงเทาจำได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นคือเสวี่ยหยวนจิ้ง เพราะอีกฝ่ายเป็นคนมีชื่อเสียงในสำนักศึกษาไท่ชู มีผู้เรียนคนใดบ้างที่จะไม่รู้จัก เขาเองก็เคยได้ยินว่าเสวี่ยหยวนจิ้งสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาสองแห่งพร้อมกัน ตอนที่เขาเพิ่งเข้ามาเรียนในสำนักศึกษาไท่ชู ก็ได้เข้าไปคารวะชื่นชมอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง

แต่ครานั้นท่าทีของเสวี่ยหยวนจิ้งที่มีต่อเขาดูอบอุ่นและสง่างาม เหตุใดตอนนี้ถึงได้ดูเย็นชาเล่า สายตาที่จับจ้องมาก็เต็มไปด้วยไอเย็นราวกับถูกปกคลุมไปด้วยหิมะก็ไม่ปาน

ใบหน้าของเนี่ยหงเทาเปลี่ยนสีทันที ก่อนจะถอยหลังไปสองก้าว แล้วเอ่ยตะกุกตะกัก “เสวี่ยหยวนจิ้ง…”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่พูดอะไร เพียงมองอีกฝ่ายชั่วครู่ด้วยสีหน้าตักเตือน จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปโอบไหล่เสวี่ยเจียเยว่ และพาเด็กสาวเดินจากไปโดยไม่เอ่ยคำใด

เนี่ยหงเทาอายุสิบหกปี เดิมทีก็ไม่เคยโอบไหล่กอดหลังสหาย เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งโอบไหล่เด็กสาว ก็อยากให้คนร่างเล็กมาอยู่ในอ้อมกอดของตนบ้าง และปรารถนาจะครอบครองยิ่งนัก

เขาหันไปเอ่ยถามสหายที่ยืนอยู่ด้านข้างอย่างอดไม่ได้ “พวกเจ้ามีผู้ใดรู้บ้างว่าแม่นางน้อยผู้นั้นเป็นอะไรกับเสวี่ยหยวนจิ้ง ภรรยาของเขาหรือ”

สหายผู้หนึ่งตอบกลับมา “ข้าเคยเห็นนางสองครั้ง นางยืนรอเสวี่ยหยวนจิ้งเลิกเรียนอยู่ที่หน้าประตูสำนักศึกษาเหมือนกับวันนี้ ต่อมาข้าก็เคยได้ยินข่งซิวผิงกับลู่ลี่เซวียนพูดคุยกันว่า นางเป็นน้องสาวของเสวี่ยหยวนจิ้ง”

“น้องสาวแท้ๆ หรือ” เนี่ยหงเทารีบเอ่ยถามต่อทันที

สหายผู้นั้นพยักหน้า ขณะเดียวกันก็สงสัยไม่น้อย “ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะข้าได้ยินนางเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งว่าท่านพี่”

เนี่ยหงเทาจิ๊ปาก ทว่าไม่ได้เอ่ยต่อ เขาครุ่นคิดในใจว่า หากเป็นน้องสาวแท้ๆ แล้วเสวี่ยหยวนจิ้งหวงมากเช่นนี้ ต่อไปหากใครคิดจะเป็นน้องเขยของชายหนุ่มคงลำบากน่าดู แต่ถ้าไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใดแล้วใช่หรือไม่ ดูจากท่าทางที่แสดงความเป็นเจ้าของอย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าใครก็อย่าได้คิดแตะต้องแม่นางผู้นั้น

หากเขาได้พบแม่นางผู้นั้นอีก จะต้องอยู่ให้ห่างเสียหน่อย เพราะท่าทางของเสวี่ยหยวนจิ้งเมื่อครู่นี้ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก ทำเอาหัวใจเขาเต้นรัวเร็วทันที

อีกด้านหนึ่ง เสวี่ยหยวนจิ้งโอบไหล่เสวี่ยเจียเยว่เดินไปเบื้องหน้า จนกระทั่งมองไม่เห็นกลุ่มผู้เรียนในสำนักศึกษาแล้ว เขาก็เอ่ยถามเด็กสาวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้ามาทำไม” แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือจากไหล่บอบบาง

เสวี่ยเจียเยว่ไหนเลยจะรู้ว่าตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังโมโห เพราะแค่มีคนมาทักทายเท่านั้น เธอมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ในภพที่จากมา ตั้งแต่เล็กจนโตก็มีคนไม่น้อยเข้ามาทักทายเธอ

เธอยกของในมือขึ้นมาแล้วเขย่า “ข้าไปเดินเล่นมา เลยถือโอกาสซื้อของสำหรับทำกับข้าวมาด้วย พอซื้อเสร็จก็เห็นว่าใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนของท่านพี่แล้ว ข้าจึงอยากมารอรับท่านที่หน้าประตูสำนักศึกษา แล้วกลับเรือนพร้อมกับท่าน เป็นอะไรไปเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่พูดอะไร สีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึม

เมื่อก่อนเสวี่ยเจียเยว่ก็เคยมารอรับเขาที่หน้าสำนักศึกษา เขาไม่เคยคิดว่าจะมีอะไรที่ไม่เหมาะสม แต่ตอนนี้…

“ต่อไปเจ้าอย่ามารับข้าอีก”

เมื่อก่อนเสวี่ยเจียเยว่ยังเด็ก การมารอรับเขาจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แม้ว่าใบหน้าจะงดงาม แต่คนเหล่านั้นก็ทำได้แค่มอง ทว่าตอนนี้อายุสิบสองปีแล้ว กลายเป็นเด็กสาว เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าหากลูกสาวบ้านใดอายุเท่านี้ ก็จะเริ่มมีแม่สื่อเข้ามาเจรจาสู่ขอให้ครอบครัวฝ่ายชาย…

พอนึกถึงตอนที่เนี่ยหงเทามาทักทายเสวี่ยเจียเยว่เมื่อครู่นี้ เขารู้สึกราวกับมีไฟสุมอยู่ในอก เพราะอีกฝ่ายมีใบหน้าหล่อเหลา ขณะมองเด็กสาวก็มีสีหน้าชื่นชมไม่น้อย

ใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งทะมึนลง มือก็โอบไหล่เสวี่ยเจียเยว่แน่นขึ้นอย่างฉับพลัน

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้อากาศอบอุ่น เสวี่ยเจียเยว่จึงสวมชุดผ้าโปร่ง ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งก็ฝึกวรยุทธ์ ทั้งยังต้องฝึกขี่ม้า ถึงแม้จะดูผอม แต่เขาก็มีกำลังมาก เมื่อตอนนี้เขากำลังโมโห จึงไม่รู้ว่าตนออกแรงมากเกินไปหรือไม่

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเจ็บปวดจนต้องรีบตะโกนขึ้นมา “ท่านพี่! ปล่อยข้า”

เสวี่ยหยวนจิ้งตกใจไม่น้อย ก่อนจะรีบปล่อยมือและถามอย่างร้อนใจ “ข้าทำเจ้าเจ็บหรือไม่ เจ็บมากหรือไม่”

เขาอยากจะเลิกเสื้อบริเวณไหล่ของเด็กสาวออกดู แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่บนถนน รอบด้านนั้นเต็มไปด้วยผู้คน มือเขาจึงแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ก่อนจะเก็บมือกลับมาเงียบๆ

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกปวดบริเวณไหล่จริงๆ ชั่วขณะนั้นเธอสงสัยว่าสะบักของตนหักหรือไม่ตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งบีบอย่างกะทันหัน แต่เมื่อเห็นแววตารู้สึกผิดของเขา เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

ในที่สุดก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรท่านพี่ ข้าไม่เจ็บเจ้าค่ะ”