บทที่ 83 น้องเยว่เหนียมอาย

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

แปดสิบสาม

น้องเยว่เหนียมอาย

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ดีว่ามือเขาหนักแค่ไหน แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะยิ้ม แต่ช่างดูฝืดเฝื่อนนัก คิ้วคู่นั้นขมวดแน่น คงเป็นเพราะถูกเขาบีบไหล่จนเจ็บปวด…

เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งก็ตำหนิตัวเองในใจอย่างรู้สึกผิดแล้ว ยามนี้เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่แสร้งทำว่าไม่เป็นอะไรเพื่อปลอบใจเขา และเพื่อให้เขาสบายใจ ชายหนุ่มก็ยิ่งโทษตัวเองมากกว่าเดิม

เขากุมมือเสวี่ยเจียเยว่เบาๆ แล้วพาเดินไปที่ร้านขายยา

เมื่อได้ยารักษาอาการฟกช้ำแล้ว เขาก็จูงมือเด็กสาวเดินไปตามทางที่จะกลับเรือนเงียบๆ

เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าตอนนี้ชายหนุ่มกำลังไม่สบายใจ เธอจึงพยายามพูดคุยกับเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่เอ่ยตอบเสียที ระหว่างทางยิ่งเงียบมาก ในที่สุดเธอก็อับจนหนทาง

++++++++++

เมื่อพวกเขากลับมาถึงเรือน เสวี่ยหยวนจิ้งก็ส่งขวดยาให้เสวี่ยเจียเยว่ เขาอยากจะดูไหล่ของอีกฝ่ายว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่เสวี่ยเจียเยว่กลับหลบเลี่ยงทั้งยังบอกให้เขาออกไป

เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าใจว่าตอนนี้อีกฝ่ายโตแล้ว แม้ว่าเมื่อก่อนพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน แต่ถึงอย่างไรก็มีความแตกต่างระหว่างชายหญิง เขาจะมองร่างกายของเด็กสาวตามอำเภอใจได้อย่างไร ทำได้เพียงบอกว่ายานี้ต้องใช้อย่างไร ก่อนจะเดินออกไปจากห้องของเสวี่ยเจียเยว่

ทันทีที่เขาออกไปแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็ปิดม่านหน้าห้องของตน ตอนนี้เธอเจ็บบริเวณไหล่จริงๆ ระหว่างทางที่เดินมาเธอพยายามอดทนอย่างมาก อยากจะรีบเปิดเสื้อออกดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง และรีบทายาเพราะอยากให้หายเจ็บเร็วๆ

แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะออกจากห้องของเสวี่ยเจียเยว่มาแล้ว แต่เขาไม่ได้เดินไปไหน เพียงยืนอยู่ที่หน้าห้องของอีกฝ่าย และมองกระดาษผ้าฝ้ายที่ติดอยู่บนผนัง ซึ่งเสวี่ยเจียเยว่ขอให้เขาเขียนคำอวยพรในวันตรุษจีน

เด็กสาวเป็นคนพอใจกับอะไรง่ายๆ มีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ชอบยิ้มแย้ม และชอบหาความสุขให้ตัวเองเสมอ ต่างจากเขาที่ไม่ได้ให้ความสำคัญแก่อะไรนัก

เสวี่ยหยวนจิ้งยังจำช่วงวันตรุษจีนได้ อันที่จริงเขาไม่อยากจะติดคำอวยพรเลยด้วยซ้ำ สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะเทศกาลใดก็ไม่ได้แตกต่างกัน เหมือนกับวันธรรมดาหนึ่งวัน ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับซื้อกระดาษผ้าฝ้ายผืนใหญ่กลับมาเพื่อให้เขาเขียนคำอวยพร ไม่เพียงติดบนผนังและประตูเรือนเท่านั้น แม้แต่หน้าเตาหรือบนบ่อน้ำก็ยังมี

นอกจากนี้เสวี่ยเจียเยว่ยังซื้อผลไม้เชื่อม และซื้อโคมไฟสีแดงดวงใหญ่มาแขวนไว้ในลานหน้าประตูเรือน เขายังจำตอนที่เด็กสาวกับเสี่ยวฉานและหูจื่อจุดประทัดส่งท้ายปีเก่าได้ ปุยสีขาวของเมล็ดหลิวที่ลอยอยู่ในอากาศคล้ายกับเกล็ดหิมะ

แสงไฟสีแดงฉานในโคมไฟสาดกระทบร่างเสวี่ยเจียเยว่ เด็กสาวยืนตัวตรงและยิ้มแย้มพลางกวักมือเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่’ ด้วยน้ำเสียงไพเราะ ให้เขาไปจุดประทัดด้วยกัน

หากไม่มีเสวี่ยเจียเยว่ ชีวิตของเขาคงไร้สีสันมาก ช่วงที่อยู่ในหมู่บ้านซิ่วเฟิง หัวใจเขาคงอัดอั้นไปด้วยความแค้น และเกรงว่าชีวิตเขาคงไม่มีทางได้เป็นเหมือนคนทั่วไป แต่เสวี่ยเจียเยว่ดึงเขาออกมาจากความแค้น มอบความสมบูรณ์แบบให้แทน จนเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปจากอดีต กระทั่งตอนนี้เขาได้เล่าเรียน มีอาจารย์ให้ความสำคัญ มีสหายร่วมสำนักศึกษา เมื่อกลับมาที่เรือนก็มีเสวี่ยเจียเยว่คอยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ ไม่เพียงเท่านั้น อีกฝ่ายยังทำตัวน่ารักและยิ้มให้เขา

ต้องขอบคุณเสวี่ยเจียเยว่ยิ่งนัก…

ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

พลันเขาก็นึกถึงตอนที่เนี่ยหงเทาเข้ามาทักทายเสวี่ยเจียเยว่ รวมทั้งคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่รอบๆ ก็ล้วนมองเด็กสาวด้วยความตะลึงและชื่นชม หรือลู่ลี่เซวียนที่มีสีหน้าเขินอายขณะถามเขาว่าเสวี่ยเจียเยว่มีคู่หมายหรือยัง

เสวี่ยเจียเยว่เติบโตขึ้นทุกวัน และสุดท้ายก็ต้องออกเรือน เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าตัวก็ต้องยิ้มแย้มอย่างสดใสให้สามี และทำตัวน่ารักกับชายผู้นั้น ในช่วงปีใหม่ของทุกปีก็ต้องฉลองกับสามี คงยืนอยู่ท่ามกลางหิมะภายใต้แสงโคมไฟ แล้วกวักมือเรียกสามีไปจุดประทัดด้วยกัน

เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนชอบเล่นสนุก เจ้าตัวคงจะทำอย่างที่เขาคิดจริงๆ

รอยยิ้มของเสวี่ยหยวนจิ้งหายไปแล้ว ริมฝีปากกลายเป็นเส้นตรง สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมทันที

ยามนี้เสวี่ยเจียเยว่เปิดม่านหน้าห้องออกมาพอดี เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งมีท่าทางเช่นนี้เธอก็ตกใจเป็นอย่างมาก และรีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านพี่ เป็นอันใดเจ้าคะ”

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเสียงของเด็กสาวก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะรีบเก็บความเคร่งขรึมลงไปทันที เปลี่ยนเป็นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “อาการเจ็บที่ไหล่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ทายาแล้วดีขึ้นหรือไม่”

ความจริงแล้วต้องเห็นกับตาตัวเองถึงจะวางใจ เพราะเสวี่ยเจียเยว่มักจะปฏิเสธเขาเสมอ…

ในใจเขาเดือดดาลขึ้นมา สายตาจับจ้องไปที่ไหล่ของเด็กสาว และอยากจะเอื้อมมือไปฉีกเสื้อออกดูว่าไหล่ของอีกฝ่ายเป็นอย่างไรบ้าง

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยตอบ “ไหล่ข้าไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ แม้จะปวดเล็กน้อย แต่ตอนนี้ไม่ปวดแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลนะเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าเด็กสาวกำลังโกหก เพราะเขาย่อมรู้จักกำลังของตนเป็นอย่างดี อีกทั้งคนในร้านขายยายังบอกว่า ยานั้นต้องใช้แรงนวดถึงจะได้ผล แต่แรงมือของเสวี่ยเจียเยว่จะมีเท่าไรกันเชียว จะนวดเองได้หรือ

เขาอยากทายาให้ แต่อีกฝ่ายก็ปฏิเสธ…

เสวี่ยหยวนจิ้งมองเด็กสาวโดยไม่ได้เอ่ยคำใด สุดท้ายเขาก็เดินไปหยิบของที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนเดินออกไปทำกับข้าวด้านนอก

เดิมทีหน้าที่นี้เป็นของเสวี่ยเจียเยว่ แต่ตอนนี้ไหล่ของเด็กสาวเจ็บอยู่ แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะไม่พูด แต่เขาก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายทำอาหารเป็นอันขาด

เสวี่ยเจียเยว่ซื้อผักและของอื่นๆ สำหรับทำอาหารมังสวิรัติมาเพียงไม่กี่อย่าง เสวี่ยหยวนจิ้งจึงทำผัดหมี่กึงมังสวิรัติ และผัดแตงกวาอีกหนึ่งอย่าง

เมื่อยกอาหารทุกอย่างมาวางไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เรียกเสวี่ยเจียเยว่

ขณะกินข้าวนั้นเขาสังเกตเห็นว่ามือขวาของเด็กสาวสั่นเทายามที่ยื่นตะเกียบมาคีบกับข้าว เห็นได้ชัดว่ายังเจ็บไหล่ และมือก็ไร้เรี่ยวแรง

พอเสวี่ยเจียเยว่เห็นว่าชายหนุ่มจับจ้องมาที่ตน เธอก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงในสำนักศึกษา ทุกคนต่างบอกว่าสองมือของท่านนั้นมีไว้สำหรับเขียนตัวอักษรที่สละสลวย ยามนี้ท่านทำกับข้าวให้ข้ากิน ข้ารู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ เจ้าค่ะ ดีใจจนแม้แต่มือก็ยังสั่น”

ทันใดนั้นโทสะในใจเสวี่ยหยวนจิ้งก็ปะทุรุนแรงขึ้น เพราะคิดว่าการที่เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยเช่นนี้ช่างดูห่างเหินกับเขานัก ต่อให้เขารู้ว่าเด็กสาวไม่อยากให้ใครเป็นห่วง และไม่อยากให้เขาโทษตัวเอง แต่ชายหนุ่มอยากให้เสวี่ยเจียเยว่ร้องไห้และดุด่าเขา ตำหนิเขาว่าไม่ควรลงน้ำหนักมือจนทำให้ตนเจ็บปวดมากกว่า

ชายหนุ่มคิดว่าพวกเขาควรสนิทสนมกันมากกว่านี้

เขาไม่อยากมองเสวี่ยเจียเยว่ฝืนยิ้มทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าเจ้าตัวเจ็บปวดไม่น้อย ทั้งยังเอ่ยคำโกหก จึงลุกขึ้นเดินไปปิดประตูเรือนโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ จากนั้นก็เดินกลับมา ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงเชือกผูกเสื้อของอีกฝ่าย

เสวี่ยเจียเยว่ตกใจมากจึงรีบยกมือขึ้นมาขวาง แต่จะขัดขวางได้อย่างไร ในเมื่อข้อมือเรียวเล็กของเธอถูกมือใหญ่ข้างหนึ่งของเสวี่ยหยวนจิ้งจับเอาไว้ ส่วนอีกมือก็ดึงเชือกผูกเสื้อของเธอ

“ท่านพี่ ท่านจะทำอันใดเจ้าคะ!” เสวี่ยเจียเยว่ทั้งโกรธทั้งอาย แต่ไม่สามารถดิ้นรนให้หลุดพ้นจากมือของเขาได้ กระทั่งคิดจะขยับสักนิดก็ยังยาก ทั้งที่เสวี่ยหยวนจิ้งใช้แรงไม่มากนัก

“อย่าขยับ ข้าจะดูรอยช้ำที่ไหล่เจ้า” สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งนิ่งสงบ แต่การกระทำของเขากลับรวดเร็วและเฉียบขาด ไม่นานก็ดึงเชือกบนเสื้อของเสวี่ยเจียเยว่ออกได้ ก่อนจะดึงแขนเสื้อด้านขวาลง

ไหล่ขวาของเสวี่ยเจียเยว่เผยให้เห็นทันใด และแน่นอนว่าย่อมมีรอยฟกช้ำสีเขียวคล้ำอยู่บนนั้น

ผิวของเด็กสาวขาวเนียนละเอียด รอยนิ้วมือสีเขียวคล้ำทั้งห้านิ้วจึงเด่นชัดเป็นพิเศษ

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้น เขาทั้งตำหนิตัวเองและเสียใจเป็นอย่างมาก จนอยากจะทุบตีตัวเองอย่างแรง

เขาไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องของเสวี่ยเจียเยว่เพื่อหายาที่ซื้อมาจากร้านขายยาก่อนหน้านี้

พอเขาหยิบขวดยากลับออกมา ก็เห็นเด็กสาวกำลังจะดึงแขนเสื้อขึ้น แต่ไม่ทันระวังนิ้วมือจึงไปสัมผัสกับไหล่เข้า แล้วขบริมฝีปากล่างแน่นเพราะความเจ็บปวดทันที

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันควัน จากนั้นเขาก็ถือขวดยาเดินไปยืนข้างอีกฝ่ายโดยไม่เอ่ยคำใด

ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่มองเขา หัวใจเธอก็เต้นแรงโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ยังฝืนยิ้มและเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า แต่เมื่อครู่นี้ข้าก็ทายาแล้ว ท่านไม่ต้อง…”

เธอยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ชายหนุ่มก็เอ่ยสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เจ้าไม่ต้องพูด”

หากให้เด็กสาวพูดต่อไป เกรงว่าต้องห้ามเขาไม่ให้ทายาเช่นเคย

เมื่อสิ้นประโยคนั้น เขาก็ไม่สนใจการขัดขืนของเสวี่ยเจียเยว่ ทว่าดึงแขนเสื้อของอีกฝ่ายลงอีกครั้ง ก่อนจะทายาแล้วนวดบริเวณที่ฟกช้ำ

เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่เจ็บปวดบริเวณไหล่ขวามาก เมื่อยามนี้ถูกนวดอย่างแรง ความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีคูณ แต่เธอยังไม่ร้องออกมาสักแอะ ทำเพียงขบริมฝีปากล่างแน่นขึ้น

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเด็กสาวขมวดคิ้วแน่น ขบริมฝีปากล่างจนเลือดซึม เขาก็รู้สึกเจ็บปวดในหัวใจราวกับถูกเข็มนับพันนับหมื่นทิ่มแทง แต่ถ้าเบามือลงยาก็จะไม่ได้ผล

ครู่หนึ่งเขาก็รู้สึกว่าผิวใต้ฝ่ามือเริ่มร้อนขึ้น ยาคงออกฤทธิ์แล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งจึงหยุดนวด ดึงแขนเสื้อของเสวี่ยเจียเยว่ขึ้นอย่างเบามือและผูกเชือกให้ จากนั้นเขาคุกเข่าลงตรงหน้าเด็กสาว จับจ้องอีกฝ่ายพลางเอ่ยถามเสียงต่ำ

“เหตุใดเจ้าถึงยอมเจ็บ เหตุใดเจ้าไม่ยอมให้ข้าทายาให้”