ตอนที่ 95 ความสูญเสียและสิ่งที่ได้รับ

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

นักพรตมนุษย์เห็นฝีมืออันเหนือธรรมชาติของชายกลางอากาศคนนั้นประจักษ์แก่สายตา บัดนี้ต่างก็ตะลึงจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

“เขาเป็นอันหลินที่เรารู้จักจริงๆ เหรอ”

“เจ้าแห่งพิษน่ากลัวสมชื่อ!”

“เสร็จกัน บนกระบี่ของฉันมีเลือดของเขาติดอยู่ เขาจะมาหาเรื่องฉันหรือเปล่า…”

นักพรตบนพื้นพูดคุยกันดังเซ็งแซ่

แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขาต่างก็นับถือบุคคลกลางอากาศคนนั้นดุจเทพเจ้า

เมื่อเทียบกันแล้ว นายหญิงอ้านเย่ผู้สร้างฝันร้ายให้กับพวกเขา บัดนี้อ่อนแออย่างยิ่ง

ใบหน้าของนางค่อยๆ แก่ชราลง เส้นผมดำขลับกลายเป็นขาวโพลน พละกำลังก็อ่อนลงราวกับไม่มีอยู่

นางที่จวนจะสูญเสียพละกำลัง วิญญาณ พลังยุทธ์และชีวิต ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกแล้ว มีเพียงความสิ้นหวังต่อความตายเท่านั้น

“หากเป็นข้าเมื่อก่อน คงมองว่าเจ้ากระจอกงอกง่อย บัดนี้ ข้าคงจะกระจอกงอกง่อยในสายตาเจ้าแทนแล้วกระมัง”

อ้านเย่พูดด้วยสุ้มเสียงอันแหบพร่า นางในตอนนี้ หมดเรี่ยวแรงจะขัดขืนแล้ว

นางเคยเป็นราชินีผู้สูงส่งแห่งเผ่าพันธุ์ปีกทมิฬ ยามนี้กลับถูกคนต่ำต้อยเหยียบย่ำ

อันหลินมองหญิงใกล้ตายคนนี้พลางส่ายหน้า พูดเสียงเรียบว่า

“ข้าไม่ได้ตัดสินคนคนหนึ่งด้วยพละกำลัง ในสายตาข้า เจ้าเป็นเพียงคนบาปที่ทำร้ายอาจารย์ของข้าเท่านั้นเหมือนกับที่อาจารย์เยว่อิ่งไม่ปฏิบัติกับข้าแตกต่างออกไป เพียงเพราะระดับพลังยุทธ์ ในสายตานาง ข้าเป็นลูกศิษย์ของนาง”

อ้านเย่ “…”

ดวงตาคู่นั้นของนางค่อยๆ หม่นลง แววตาฉายความโดดเดี่ยวที่สังเกตได้ยากเสี้ยวหนึ่ง

อันหลินไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก เงื้อกระบี่พิชิตมารขึ้นแล้วตวัดฟันลงไป

ร่างของราชินีอ้านเย่แหลกสลายเป็นผุยผงภายใต้กระบี่เล่มนี้ จางหายไปในอากาศ

ตราสีดำบนหน้าผากของอันหลินก็เริ่มเลือนราง

เขาคว้าแหวนมิติของอ้านเย่ไว้หมับ จากนั้นก็มาถึงหน้าอุโมงค์ดำสนิทภายในก้าวเดียว

“นี่คนจะเป็นอุโมงค์ของเผ่าพันธุ์ปีกทมิฬ เสียดาย หากมีเวลามากพอคงจะลองเข้าไปได้…”

อันหลินจ้องอุโมงค์แล้วปล่อยหมัดออกไป

ครืน…

อุโมงค์ถูกหมัดของเขาสะเทือนจนปริแตก สุดท้ายก็เริ่มพังทลาย

“จบแล้ว…”

อันหลินพึมพำ ตราสีดำบนหน้าผากของเขาก็อันตรธานหายไป

เพียงชั่วพริบตา เขาก็รู้สึกว่าตัวเองสูญเสียพลังทั้งหมด ร่างกายอ่อนปวกเปียก ความเหนื่อยล้ามหาศาลเข้าจู่โจม

จากนั้น เขาก็หน้ามืด หมดสติล้มลงไป

พวกสวีเสี่ยวหลานพุ่งไปหาอันหลิน พยุงเขาลุกขึ้นอย่างร้อนใจ

เมื่อแน่ใจว่าสัญญาณชีพของเขาปกติแล้ว ทุกคนก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ยังดีที่ครั้งนี้เขาไม่ระเบิด…”

สวีเสี่ยวหลานมองอันหลินอย่างหวาดผวา ความกังวลบนใบหน้าคลายลงบ้างแล้ว

ภาพระเบิดอันน่าสยดสยองหลังใช้ดรรชนีวิถีสวรรค์ บัดนี้ยังจำได้ขึ้นใจ

หากว่าอันหลินระเบิดจริง พวกเขาก็อับจนหนทางแล้วจริงๆ…

“อันหลินสร้างปาฏิหาริย์อีกแล้ว! ชะตาชีวิตช่างเป็นสิ่งที่วิเศษเหลือเกิน!”

เซียนพสุธามิ่งหยวนที่รอดพ้นวิกฤตมองอันหลิน ใบหน้ามีแต่ความตะลึงและพึงพอใจ

ทุกครั้งที่ไม่ว่าลูกศิษย์คนนี้จะทำอะไร ความเข้าใจที่เขามีต่อโชคชะตาจะแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น

บางทีหากประสบพบเจอเรื่องเช่นนี้อีกสักสองสามครั้ง เขาอาจจะทะลวงเข้าสู่ระดับหวนสู่ความว่างเปล่าก็เป็นได้

สิ่งที่ไม่มีใครสังเกตคือ ชั่วขณะที่ตราสีดำบนหน้าผากของอันหลินหายไปนั้น

บางอย่างที่อยู่เหนือวัตถุ ไม่อยู่ในกฎเกณฑ์แห่งมรรค หลุดออกจากร่างกายของเขา

ทะลุออกจากแดนมนุษย์ เข้าสู่แดนบรรพกาล

แผ่นดินยังคงเป็นเช่นเดิม สิ่งมีชีวิตในแดนบรรพกาลไม่มีใครสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้

แต่ว่า แผ่นดินเปลี่ยนไปแล้ว คล้ายกับว่าบางสิ่งบางอย่างสมเหตุสมผลมากขึ้น

นอกแดนบรรพกาล อาณาเขตศูนย์กลางที่เต็มไปด้วยปีศาจร้ายทุกหย่อมหญ้า

หญิงร่างคนหางงูลืมตาขึ้น ในดวงตาแฝงเร้นด้วยดาราจักร

จู่ๆ ก้อนหินเจ็ดสีในมือของนางก็ส่องแสงสว่างไสว ขัดเกลาปีศาจร้ายในรัศมีร้อยลี้ให้บริสุทธิ์

“การปะชุนผืนฟ้าเริ่มแล้ว…ท่าทางข้าต้องเร่งมือ”

หญิงสาวขี่เมฆสีรุ้ง เมื่อร่างกะพริบ ก็มุ่งหน้าไปยังที่ซึ่งไกลกว่าแดนบรรพกาล

สามวันต่อมา อันหลินฟื้นขึ้น

เขาสัมผัสได้ว่า ร่างกายของตัวเองยังคงสมบูรณ์แข็งแรงเช่นเมื่อก่อน

นักพรตมนุษย์ทั้งหลายเมื่อได้ยินข่าวการฟื้นของอันหลิน ก็เฮโลกันมาเยี่ยมเยียน

ของขวัญเริ่มกองเต็มห้องอันหลินขึ้นเรื่อยๆ

ครั้งนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับครั้งที่แฟนคลับแห่กันส่งของขวัญมาให้ หลังฟื้นจากเหตุการณ์ระเบิดตัวเองครั้งก่อน

ทว่าครั้งนี้บ้าบิ่นกว่าครั้งก่อนไม่น้อย

เพราะหนนี้อันหลินไม่เพียงแต่สำแดงพลังอันเหนือธรรมชาติเท่านั้น

อีกนัยหนึ่ง เขายังเป็นผู้มีพระคุณของเหล่านักพรตมนุษย์กลุ่มนี้ด้วย

หากไม่มีอันหลิน เกรงว่าพวกเขาคงตายด้วยน้ำมืออ้านเย่แล้ว

นักพรตเหล่านี้ย่อมไม่ตระหนี่กับผู้มีพระคุณ ส่งของดีมาให้เขามากมายก่ายกอง

เจ้าสำนักอย่างสำนักหลงหู่ อู่ตาง ซ่างชิงและคุนหลุนก็มาเยี่ยมเช่นกัน แถมยังให้แหวนมิติแก่เขาสามวง

แหวนพวกนี้ล้วนเป็นของเจ้าแห่งผีดูดเลือด ตอนนั้นอันหลินไม่ได้เก็บ พวกเขาจึงช่วยเก็บกลับมาให้

ใช่แล้ว เจ้าแห่งผีดูดเลือดเหล่านี้ตายเพราะฝ่ามือของอันหลิน

บิ๊กบอสแห่งวงการบำเพ็ญเพียร เป็นเพียงกรรมกรเคลื่อนย้าย ช่วยเก็บวัตถุล้ำค่าให้ก็เท่านั้น

หลินอี้ก็กลับมาแล้วเช่นกัน เป็นเขาที่พบร่องรอยของกองทัพผีดูดเลือด จากนั้นก็ตัดขาดการติดต่อกับโลกภายนอก ลักลอบติดตามศัตรูอยู่ตลอด จนกระทั่งเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดเตรียมตัวเคลื่อนไหว เขาถึงได้ติดต่อกับโลกภายนอกอีกครั้ง ทำให้เกิดสงครามครั้งนี้

ต่อมา อ้านเย่ก็ใช้ตะปูข้ามมิติทะลวงค่ายกล เข้ามารวมตัวกับพวกจักรพรรดิปีศาจในแดนพิศวงนานแล้ว

นางทำให้กระบี่พิชิตมารทิ้งจิตวิญญาณแห่งกระบี่เดิม ให้จักรพรรดิปีศาจกลายเป็นจิตวิญญาณใหม่ของกระบี่

ด้วยเหตุนี้กระบี่พิชิตมารจึงหลุดพ้นจากการขัดเกลาจิตวิญญาณกระบี่ให้บริสุทธิ์ของค่ายกล กลับคืนสู่โลกอีกครั้ง

อันที่จริงแล้วเหตุการณ์ต่อจากนี้ ควรเป็นอ้านเย่ที่ถือกระบี่พิชิตมาร กลืนกินเลือดของเหล่านักพรตมนุษย์ให้เกลี้ยง

ทว่ากลับมีอันหลินปรากฏตัวขึ้น

ไม่มีใครรู้ว่าทำไมจู่ๆ อันหลินถึงได้แข็งแกร่งปานนั้น

จนกระทั่งตอนนี้ ทุกคนยังคงฉงนสนเท่ห์

แน่นอนว่า ไม่ว่าใครก็มีความลับของตัวเอง

อันหลินไม่พูด พวกสวีเสี่ยวหลานก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายถาม

ภายในห้อง

เซียนพสุธาเยว่อิ่งจ้องอันหลินด้วยความสงสาร ดันกรอบแว่นสีแดงเล็กน้อย นัยน์ตาเป็นประกายวาบ

“อันหลิน โปรแกรมโกงที่เจ้าใช้เหนือขั้นขึ้นทุกที เลื่อนจากกายแห่งมรรคขั้นศูนย์เป็นกายแห่งมรรคขั้นสิบภายในปีเดียว ทำลายสถิติการเลื่อนระดับของสำนักความร่วมมือแห่งเซียนแล้ว แต่นั่นเป็นแค่การโกงที่เล็กน้อยที่สุดของเจ้า…”

เมื่ออันหลินได้ฟังก็กระตุกมุมปาก ไม่มีอะไรจะพูด

เซียนพสุธาเยว่อิ่งหรี่ตายิ้มๆ รอยยิ้มสมบูรณ์แบบดุจจันทร์เสี้ยว นางพูดต่อว่า

“พลังดรรชนีในศึกแห่งมิตรภาพนั่น ช่างเป็นการโจมตีที่ไร้เทียมทาน โปรแกรมโกงนี้ก็น่าสนใจมากทีเดียว แต่มีผลข้างเคียง…อีกอย่าง เจ้าใช้โปรแกรมโกงกับเลือดของเจ้าด้วย ถึงทำให้เผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดตายได้…”

อันหลินฟังคำพูดของเซียนพสุธาเยว่อิ่ง แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองใช้โปรแกรมโกงเกินไปแล้ว

ทำไมเขาถึงเลิศล้ำขนาดนี้กันนะ

“แต่สิ่งที่ทำให้ข้าตกใจที่สุด ก็ยังเป็นศึกในบ่อน้ำโบราณแห่งนั้นอยู่ดี พลังที่เจ้าระเบิดออกมาไม่สมจริงเอาเสียเลย ถึงขั้นเอาชนะราชินีอ้านเย่แห่งเผ่าพันธุ์ปีกทมิฬได้…”

ขณะที่พูด นางก็ชะโงกหน้าอันงดงามเข้าไปใกล้อันหลิน พ่นลมหายใจแผ่วเบา กระซิบถามว่า

“บอกข้ามา โปรแกรมโกงครั้งนี้มีผลข้างเคียงหรือไม่”

เมื่ออันหลินได้ยิน หัวใจก็กระตุกวูบ แต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม “ต้องมีผลข้างเคียงอยู่แล้วสิ”

“ผลข้างเคียงคืออะไร” เซียนพสุธาเยว่อิ่งได้ฟังก็ถามด้วยความกังวล

“ผลข้างเคียงก็คือ…”

อันหลินทำหน้ามีลับลมคมใน จากนั้นพูดต่อว่า

“สลบไปสามวัน”

เซียนพสุธาเยว่อิ่งกะพริบตาปริบๆ สุดท้ายก็กุมขมับ ถอนหายใจ

“ได้ เจ้าชนะ…พักผ่อนให้ดีเถอะ ข้าออกไปก่อนล่ะ”

เฮ้อ อันที่จริงก็คือพลังชีวิตลดลงหนึ่งในห้าไม่ใช่หรือไง

หนึ่งร้อยปีเหลือแปดสิบปี หนึ่งหมื่นปีเหลือแปดพันปี

อย่างไรเสียเมื่อระดับพลังยุทธ์เพิ่มขึ้น อายุขัยก็จะเพิ่มขึ้นไปตามกัน ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

เมื่อเห็นเซียนพสุธาเยว่อิ่งออกไปแล้ว อันหลินก็สะบัดหัว ขับไล่ความคิดอันยุ่งเหยิงในหัวทิ้งไป เริ่มคำนวณสิ่งที่ได้รับในภารกิจนี้

…………………………….