บทที่ 99 ตรวจสอบหาความจริง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

หลินชิงเวยทำอย่างพิถีพิถัน ไม่หยุดมือ ไม่หยุดพัก องครักษ์ผู้ติดตามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูมองดูหลายครั้ง เขาคิดในใจว่า หากมิใช่เพราะหลินเจาอี๋ปฏิบัติต่อเจ้านายของเขาอย่างขาดความเคารพ เขาย่อมไม่มีความคิดนอกลู่นอกทางต่อนางมากมายเช่นนี้

อย่างน้อยท่าทางเอาจริงเอาจังของหลินชิงเวยในเวลานี้ทำให้ผู้คนเลื่อมใส

เซียวจิ่นได้ยินว่าเซียวเยี่ยนได้รับบาดเจ็บ หลังจากเลิกประชุมเช้าแล้วจึงรีบมาที่นี่ ขณะที่อาการตัวร้อนของเซียวเยี่ยนเพิ่งจะลดลงเขาจึงหลับสนิท

หลินชิงเวยเดินออกมาจากในห้องด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า

เซียวจิ่น “ชิงเวย เสด็จอาเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลินชิงเวย “ฝ่าบาทไม่ต้องวิตกเพคะ อีกไม่กี่วันก็จะดีขึ้น”

เซียวจิ่นรู้เช่นกันว่าเรื่องเซ่อเจิ้งอ๋องได้รับบาดเจ็บไม่อาจแพร่งพรายออกไป จึงถามหลินชิงเวยว่า “เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดเสด็จอาจึงได้รับบาดเจ็บ?”

หลินชิงเวยมองสีหน้าร้อนใจและวิตกกังวลของเซียวจิ่น ในใจคิดว่าไม่ควรปิดบังเด็กน้อยคนนี้เช่นกัน “ระหว่างทางกลับวังหลวงเมื่อคืน พบกับมือสังหารเพคะ”

เซียวจิ่นกุมมือของหลินชิงเวยเอาไว้แล้วพิจารณานางทั่วร่าง “เช่นนั้นเจ้าเล่า เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”

ความเป็นห่วงในแววตานั้นมีมากกว่าคำพูดที่กล่าวออกมา ถูกเด็กน้อยคนนี้เป็นห่วงแต่กลับทำให้นางรู้สึกได้ถึงความจริงใจ

หลินชิงเวยทำปากบุ้ยใบ้ไปในห้อง “หากข้าได้รับบาดเจ็บ เสด็จอาจะมีเรื่องอะไรได้อย่างไรกัน? เขาล้วนเป็นเพราะต้องการปกป้องข้าจึงได้รับบาดเจ็บ”

เซียวจิ่นพรูลมหายใจโล่งอก

เขากล่าวว่า “เรื่องพบมือสังหารต้องปกปิดเป็นความลับไว้ก่อน หากมีคนถามให้บอกว่าเสด็จอาล้มป่วย”

หลินชิงเวยกระจ่างแจ้ง หากเซ่อเจิ้งอ๋องล้มลงไม่รู้ว่าจะมีคนมากน้อยเท่าใดเกิดความคิดต่างๆ นานา

นี่มิใช่หรือ เซียวจิ่นเพิ่งจะมาเยี่ยม เซี่ยนอ๋องเซียวอี้ก็มาทันที

เมื่อได้เห็นหลินชิงเวยอีกครั้ง เซียวอี้เคียดแค้นเสียจนต้องขบฟันแน่น แต่ในขณะที่จิตใจเขาคิดเช่นนี้บนใบหน้ากลับปรากฏให้เห็นรอยยิ้มลำพองใจ

หลินชิงเวยขวางเซียวอี้อยู่ด้านหน้าตำหนักบรรทมของเซียวเยี่ยน

“เปิ่นหวางได้ยินว่า เซ่อเจิ้งอ๋องล้มป่วย วันนี้ไม่ได้เข้าร่วมประชุมเช้าในท้องพระโรง นี่เป็นเรื่องยากที่จะพบเห็นได้ในรอบพันปีทีเดียว”

“เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นเรื่องธรรมดา เซ่อเจิ้งอ๋องมิใช่เทพเซียน ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน”

เซียวอี้มองหน้าแล้วผงกศีรษะกล่าวว่า “เซ่อเจิ้งอ๋องไม่ใช่เทพเซียนจริงๆ แต่เขากลับคิดว่าตนเองเป็นเทพเซียนมาโดยตลอด เจ้าหลีกทางให้เปิ่นหวางเข้าไปเยี่ยมดูสถานการณ์ของเซ่อเจิ้งอ๋องว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

หลินชิงเวยก้าวออกมาขวางทางเดินของเขา “อาการตัวร้อนของเซ่อเจิ้งอ๋องเพิ่งจะลดลงและเพิ่งจะนอนหลับ เซี่ยนอ๋องคงไม่ต้องการเข้าไปรบกวนในเวลานี้กระมัง”

เซียวอี้หรี่ตาลง “เสี่ยวเวยร์ เจ้าขวัญกล้าขึ้นแล้วจริงๆ ไม่เพียงกล้าคิดบัญชีเปิ่นหวาง บัดนี้ยังกล้าขัดขวางเปิ่นหวาง?”

หลินชิงเวยกล่าวเนิบๆ “เซี่ยนอ๋องพูดอะไรกัน หม่อมฉันไหนเลยจะมีความกล้าหาญเพียงนั้น นี่มิใช่ล้วนเป็นพระบัญชาของฝ่าบาทหรือเพคะ เซ่อเจิ้งอ๋องทรงตรากตรำมาเป็นระยะเวลายาวนานจนเกิดล้มป่วย ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้เขาพักผ่อนรักษาตัวให้ดี หม่อมฉันในฐานะผู้ถวายการรักษาเซ่อเจิ้งอ๋องย่อมต้องรับผิดชอบจนถึงที่สุดเพคะ” นางช้อนตาขึ้นมองเซียวอี้แล้วหัวเราะออกมา “แน่นอนว่าหากเซ่อเจิ้งอ๋องยืนกรานที่จะบุกเข้าไป หม่อมฉันจะกล้าขัดขวางได้อย่างไร เซี่ยนอ๋องไม่กลัวถูกผู้คนเข้าใจผิดว่าฉวยโอกาสลงมือในขณะที่คนตกอยู่ในอันตรายด้วยมีใจคิดเป็นอื่นหรือเพคะ?”

“ช่างเป็นปากคอที่เราะรายยิ่งนัก” เซียวอี้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าหนึ่งก้าว กดดันให้หลินชิงเวยชนกับกำแพง เขาพูดเสียงต่ำ “กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าเจ้ายืนอยู่ฝ่ายพวกเขา?”

“ไม่ หม่อมฉันยืนอยู่ฝ่ายตนเองเพคะ” หลินชิงเวยกล่าว “อย่างไรการพึ่งพาอาศัยผู้อื่นล้วนเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน หม่อมฉันเพียงแต่พึ่งพาตนเองเพื่อให้มีชีวิตรอด ปรารถนาเพียงท่านอ๋องอย่าได้ขัดขวางเส้นทางของผู้อื่น”

เซียวอี้มองนางนิ่งๆ อึดใจหนึ่ง จากนั้นถอนหายใจเบาๆ คำรบหนึ่ง “เปิ่นหวางเสียใจภายหลังแล้วจริงๆ เมื่อแรกไฉนจึงไม่ตัดสินใจแต่งเจ้า”

หลินชิงเวยกล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “น้องเสวี่ยหรงฉลาดเฉลียวกว่าหม่อมฉัน เซี่ยนอ๋องแต่งนางมิใช่เป็นเรื่องเหมาะสมดีอยู่แล้วหรือเพคะ? บุรุษมากความสามารถ สตรีงามพร้อม เป็นคู่ที่สวรรค์ส่งมาให้เป็นคู่กัน”

“เจ้าไม่พูดถึงยังดีหน่อย บัญชีนี้เปิ่นหวางควรจะคิดกับเจ้าอย่างไรดี? เจ้าถึงกับกล้าวางยาเปิ่นหวาง?”

หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าผู้บริสุทธิ์ “หม่อมฉันไม่ได้ทำเพคะ วางยาอันใดเพคะ?”

“เมื่อคืน เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าไม่ได้ทำหรือ? “

“เมื่อคืนหม่อมฉันทำอะไรเพคะ?” หลินชิงเวยมีสีหน้างงงัน “อ้อ เมื่อคืนเซี่ยนอ๋องนัดพบหม่อมฉัน แต่ถูกน้องเสวี่ยหรงพบเห็นเข้า ท่านอ๋องทราบดีว่าหลินเสวี่ยหรงเกลียดชังหม่อมฉันเข้ากระดูกดำ มีหรือจะปล่อยให้หม่อมฉันไปพบท่านอ๋องได้? นางแย่งกระดาษที่ท่านอ๋องส่งมาให้หม่อมแล้วไปเสียเอง ต่อมาหม่อมฉันจึงกลับวังหลวงพร้อมกับเซ่อเจิ้งอ๋องเพคะ” พูดแล้วกล่าวอย่างครุ่นคิด “หรือเมื่อคืนยังเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก? เซี่ยนอ๋องถูกวางยาหรือเพคะ?”

เซียวอี้ยังคงสงสัยในตัวนางอยู่นั่นเอง “ไม่ใช่ฝีมือเจ้าจริงๆ?”

หลินชิงเวย “ท่านอ๋องต้องการให้หม่อมฉันสาบานหรือไม่เพคะ? หากหม่อมฉันทำอันใดต่อเซี่ยนอ๋อง ไม่กลัวว่าเซี่ยนอ๋องจะมาล้างแค้นหรือเพคะ? วางยาเซี่ยนอ๋องแล้วหม่อมฉันจะได้ประโยชน์อันใด?”

เช่นนั้นหรือเป็นหลินเสวี่ยหรงจริงๆ? หากพูดถึงเรื่องผลประโยชน์ แม้เรื่องนี้จะทำให้หลินเสวี่ยหรงเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่นางรู้ว่าตนรู้เรื่องเหล่านั้นของนางแล้ว นางกลัวว่าตนจะไม่ยินดีแต่งนางเข้ามาจึงได้แสดงละครฉากนี้? เพื่อให้ตนรับผิดชอบนางอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม?

เมื่อคิดเช่นนี้ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

ที่จริงแล้วเซียวอี้เพียงแต่หยั่งเชิงหลินชิงเวยแต่กลับไม่ได้อะไรคืบหน้า

เซียวอี้สังเกตสีหน้าผู้บริสุทธิ์ไร้พิษสงที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของหลินชิงเวยสามครั้งสามครา จึงก้าวถอยหลังและกล่าวว่า “ช่างเถิด ครั้งนี้เปิ่นหวางจะเชื่อเจ้า”

หลินชิงเวยไม่ใช่คนไร้เหตุผล ไม่ว่าเซียวอี้จะมาเยี่ยมเซียวเยี่ยนด้วยจุดประสงค์ใด อย่างไรเขาต้องการพบหน้าเซียวเยี่ยนให้ได้ หาไม่แล้วเขาย่อมไม่ยอมเลิกราซ้ำยังจะสร้างเรื่องวุ่นวายเพิ่มขึ้น หลินชิงเวยจึงเปิดประตูห้องให้เซียวอี้มองเห็นเซียวเยี่ยนเอนกายนอนอยู่บนเตียงอย่างชัดเจน

นางไม่มีทางเชื่อว่าเซียวอี้มาเพราะเป็นห่วงเซียวเยี่ยน

เซียวเยี่ยนเมียงมองสำรวจอยู่ชั่วครู่แล้วเดินออกไป

หลินชิงเวยมองเงาร่างของเขาที่เดินจากไป องครักษ์ผู้ติดตามเดินเข้ามายืนข้างกายโดยไร้สุ้มเสียงและกล่าวกับนางว่า “เซี่ยนอ๋องเป็นคนจิตใจไม่ดี มีใจปรารถนาตำแหน่งฮ่องเต้ เซ่อเจิ้งอ๋องพบมือสังหาร จะต้องเกี่ยวข้องกับเขาแน่นอน ข้าน้อยดูท่าทางเขาแล้วน่าจะมาดูให้แน่ใจว่าเซ่อเจิ้งอ๋องปลอดภัยดีหรือไม่กระมัง”

หลินชิงเวยมองเขาด้วยหางตาและกล่าวว่า “เจ้ามีหลักฐานอะไร?”

องครักษ์ผู้ติดตามตอบเสียงแข็ง “ไม่มีขอรับ”

“ไม่มีหลักฐานแล้วเจ้าจะมาพูดสุ่มสี่สุ่มห้าอะไรกัน?” หลินชิงเวยเขย่งปลายเท้ายกมือขึ้นดีดหน้าผากเขาครั้งหนึ่ง ท่าทางและการกระทำในชั่วพริบตานั้นดูเหมือนเด็กหญิงตัวน้อย แต่คำพูดที่กล่าวออกมากลับเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว องครักษ์ถึงกับตกตะลึง ได้ยินนางพูดว่า “เจ้านายของเจ้าไม่เคยบอกกับเจ้าหรือไรว่าภัยนั้นออกมาจากปาก? เรื่องที่ไม่มีหลักฐานอยู่ในมือเจ้าหุบปากจะดีที่สุด”

จากนั้นหลินชิงเวยก็หันกายเดินกลับเข้าไปในห้อง

องครักษ์เข้ามาหลังจากนั้นไม่นาน สีหน้านั้นเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทว่าปนเปไปด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายและรังเกียจ เขามองหลินชิงเวยและรายงานว่า “เจาอี๋เหนียงเหนียง ไทเฮาเสด็จแล้ว”

หลินชิงเวยลุกขึ้นสะบัดชายกระโปรงอย่างสงบ นางมองเซียวเยี่ยนที่อยู่บนเตียงพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “คิดไม่ถึงว่าท่านจะเป็นที่คิดถึงของผู้อื่นถึงเพียงนี้ มีคนต้องการให้ท่านตาย มีคนต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่”

พูดแล้วนางเดินออกไปรับเสด็จพร้อมกับองครักษ์ผู้ติดตาม เมื่อเดินออกไปถึงลานเรือนเงยหน้าขึ้นก็พบกับสตรีผู้สูงศักดิ์รูปโฉมงดงามถูกห้อมล้อมด้วยนางกำนัลทั้งหลายมุ่งหน้าเข้ามา ขันทีข้างกายร้องขานเสียงสูง “ไทเฮาเหนียงเหนียงเสด็จ–”

องครักษ์ผู้ติดตามคุกเข่าลงทันที แผ่นหลังของเขาเหยียดตรงดูไปแล้วมีความกล้าหาญองอาจอยู่สองส่วน