บทที่ 100 จะคุกเข่าหรือไม่

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

หลินชิงเวยยอบกายลงถวายพระพร กล่าวสั้นๆ ว่า “ถวายพระพรไทเฮาเพคะ”

เพียงครู่เดียวรองเท้าหงส์ของไทเฮาก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้า ชายกระโปรงสีทองสะท้อนแสงระยิบระยับ เหมือนองค์พระโพธิสัตว์ทองคำที่ปรากฏอยู่ข้างกายหลินชิงเวย นางหยุดย่างก้าวแล้วหลุบตาลงใช้หางตามองหลินชิงเวย

ชัดเจนยิ่งนักว่านางไม่มีสีหน้าเมตตาเช่นองค์พระโพธิสัตว์ทองคำ

ไม่รอให้ไทเฮาเอ่ยปาก หมัวมัวข้างกายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “หลินซื่อช่างบังอาจนัก เห็นไทเฮาแล้วยังไม่คุกเข่าลงอีก! ผู้ใดสอนให้เจ้าถวายพระพรเยี่ยงนี้?!”

หลินชิงเวยตอบอย่างไม่รู้สึกต่ำต้อย “เป็นฝ่าบาทเพคะ”

หมัวมัวผู้มีใบหน้าดุร้ายเหี้ยมโหดนั้นถึงกับเอ่ยวาจาไม่เป็นไปชั่วขณะ

ยามนี้ไทเฮาจึงเริ่มเอ่ยปาก “เจ้ามีฐานะเป็นเจาอี๋ของฝ่าบาท ไฉนจึงมาปรากฏกายอยู่ที่เซ่อเจิ้งอ๋องนี่?”

หลินชิงเวยตอบ “เซ่อเจิ้งอ๋องป่วยหนักเพคะ ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้หม่อมฉันอยู่ที่นี่เพื่อถวายการรักษาให้กับเซ่อเจิ้งอ๋องเพคะ”

ไทเฮาแค่นหัวเราะเสียงเย็น “มาดูแลอาการป่วยของเซ่อเจิ้งอ๋อง? หมอหลวงในวังหลวงแต่ละคนล้วนตายกันหมดแล้วหรือไร?”

หลินชิงเวยตอบอย่างมีหลักการ “หาใช่ไม่เพคะ เพียงแต่ฝ่าบาทจะทรงวางพระทัยมากกว่าหากหม่อมฉันลงมือรักษาด้วยตนเองเพคะ”

“เจ้าเอ่ยประโยคหนึ่งอ้างฝ่าบาทประโยคหนึ่ง คงมิใช่ต้องการยกฝ่าบาทมากดข่มเปิ่นกง?” ไทเฮาเห็นนางขัดหูขัดตาเป็นที่สุด ทันทีที่มีโอกาสให้นางจับได้มีหรือจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ไทเฮาสะบัดแขนเสื้อพูดอย่างขุ่นขึ้ง “เจ้าคิดว่าเวลานี้เจ้ามีฮ่องเต้หนุนหลัง เปิ่นกงก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้แล้วใช่หรือไม่?” พูดแล้วแขนเสื้อสีทองนั้นก็กวาดผ่านใบหน้าของหลินชิงเวย ลวดลายดอกไม้ที่อยู่บนชายแขนเสื้อนั้นเช็ดไปกับแก้มของนางจนรู้สึกระคายผิวเล็กน้อย ต่อมาได้ยินไทเฮาตรัสว่า “ยังไม่คุกเข่าให้เปิ่นกงอีก!”

ไม่รอให้หลินชิงเวยตั้งตัวติด หมัวมัวผู้นั้นก้าวเข้ามาใช้ฝ่ามือกดหัวไหล่ของหลินชิงเวยพร้อมกับใช้เท้าเตะเข้าไปที่หัวเข่าของนางครั้งหนึ่ง “คุกเข่า!”

หลินชิงเวยเจ็บหัวเข่าขาทั้งคู่จึงคุกเข่าลงไปเองอย่างห้ามไม่อยู่

ดูไทเฮาองค์นี้ก็ไม่ได้แก่ชราอันใด เหตุใดพฤติกรรมและนิสัยจึงเหมือนนางปีศาจเฒ่าตนหนึ่ง แต่ก็ใช่อายุยังน้อยเช่นนี้ก็ต้องมาตกอยู่ในสภาพหญิงม่ายจะไม่หาโอกาสแสดงความมีอยู่ของตัวตนนางได้อย่างไร?

หลินชิงเวยรู้สึกเจ็บหัวเข่าจนหน้าขาวทว่าไม่ส่งเสียง

องครักษ์ผู้ติดตามที่คุกเข่าอยู่ไม่ไกลนั้นแอบๆ ช้อนตาขึ้นมอง เห็นสีหน้าของนางสงบนิ่ง คิ้วโค้งดุจคันศรและดวงตาคมนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น จึงอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลและรู้สึกเปิดหูเปิดตาอยู่บ้าง

รองเท้าของไทเฮาเหยียบลงบนนิ้วมือของหลินชิงเวยและบดขยี้เต็มแรง นางหรี่ตาลงและกล่าวว่า “อย่าคิดว่าเจ้าได้ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายฮ่องเต้แล้ว เจ้าก็จะสามารถหนุนหมอนสูงไร้กังวลได้ ทางที่ดีที่สุดเจ้าจุดธูปภาวนาว่าอย่าให้มีวันตกมาอยู่ในมือของเปิ่นกง”

ยามนี้เสียงไอโขลกของเซียวเยี่ยนดังออกมาจากข้างใน

เขาตื่นแล้ว แต่เป็นการตื่นที่ได้เวลายิ่งนัก

ไทเฮาได้ยินแล้วเช่นกันจึงไม่มีกะจิตกะใจจะสร้างความลำบากให้หลินชิงเวยอีก เห็นนางคุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างต้อยต่ำก็รู้สึกพึงพอใจเอกอุจึงหันกายเดินเข้าไปในตำหนักบรรทมของเซียวเยี่ยน

ไทเฮาก้าวออกไปเพียงก้าวเดียว หลินชิงเวยก็ยกมือขึ้นสะบัดพร้อมพูดอย่างเห็นขันว่า “ตกอยู่ในมือของไทเฮา หรือไทเฮาจะกินหม่อมฉันเพคะ? ไทเฮาเหนียงเหนียง ที่นี่เป็นตำหนักบรรทมของเซ่อเจิ้งอ๋อง ไทเฮาเหนียงเหนียงคิดว่าพระองค์ปรากฏกายอยู่ที่นี่เป็นเรื่องเหมาะสมแล้วหรือไม่? คงมิใช่เป็นเพราะจำทางไม่ได้ ตำหนักบรรทมของฝ่าบาทอยู่ทางอื่นเพคะ”

ไทเฮาหันกลับมามองหลินชิงเวยด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย “เจ้าพูดอะไร?” นางไม่เชื่อว่านางจะรับมือกับเด็กสาวจอมลวงโลกคนนี้ไม่ได้

ไม่รอให้หลินชิงเวยพูดอะไรอีก องครักษ์รีบคลี่คลายสถานการณ์ “ไทเฮาเหนียงเหนียง เซ่อเจิ้งอ๋องตื่นบรรทมแล้วพ่ะยะค่ะ”

ไทเฮาแค่นเสียงฮึในลำคอ “รอเปิ่นกงเสร็จเรื่องแล้วค่อยมาคิดบัญชีกับเจ้า”

ทางด้านนี้ไทเฮาก้าวเข้าไปในเรือนแล้ว หมัวมัวเฝ้าอยู่หน้าประตูพร้อมกับจับตาดูหลินชิงเวย ราวกับขอเพียงหลินชิงเวยขยับ นางก็พร้อมที่จะกระโจนเข้ามา

ระหว่างที่ไทเฮายังไม่ได้ให้คนทั้งสองลุกขึ้น คนทั้งสองจะลุกขึ้นไม่ได้

เพียงแต่หลินชิงเวยไม่แยแส

ก้มหน้าลงดูปลายนิ้วของตนมีรอยรองเท้าประทับอยู่ รองเท้าของหญิงชรานางนั้นทั้งแข็ง เมื่อเหยียบลงบนกระดูกนิ้วเหมือนถูกบดทับด้วยก้อนหิน ทิ้งรอยแดงจากหนังถลอกรอยหนึ่ง หลินชิงเวยขยับนิ้วมือและสะบัดปลายนิ้ว จากนั้นจับหัวเข่าของตนเองค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

หมัวมัวเกรงว่าจะเป็นการรบกวนไทเฮาที่อยู่ในตำหนักบรรทม จึงได้แต่เอ่ยข่มขู่เสียงต่ำ “ไทเฮายังไม่ได้ให้เจ้าลุกขึ้น เจ้ากำเริบเสิบสานนัก ถึงกับกล้าลุกขึ้นเอง! ยังไม่รีบคุกเข่าลง!”

หลินชิงเวยปัดฝุ่นบนกระโปรง บีบนวดหัวเข่าและมองหมัวมัวด้วยสีหน้านิ่งเฉย สายตานั้นหม่นลงราวกับท้องฟ้าที่กำลังจะเกิดพายุฟ้าฝนคะนองส่งผลให้คนเห็นแล้วรู้สึกว่าทุกอย่างเบื้องหน้ามืดลง

องครักษ์เห็นแล้วอดจะเหงื่อชุ่มแผ่นหลังแทนหลินชิงเวยไม่ได้ นางต่อต้านหนักเยี่ยงนี้มีเพียงแต่จะทำให้ไทเฮายิ่งกริ้ว ไม่มีอะไรดีขึ้น

องครักษ์ผู้ติดตามจึงพูดกับนาง “เจาอี๋เหนียงเหนียง คุกเข่าลงเถิด”

เมื่อสักครู่หลินชิงเวยยังรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มคนนี้มีความกล้าหาญ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบเหตุใดยังต้องอดกลั้นเอาไว้? เขาอดกลั้นเอาไว้คนเดียวก็พอแล้ว เหตุใดยังต้องให้นางมาอดกลั้นด้วยเล่า

ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าอดทนอดกลั้นสักครั้งทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างสงบ

หลินชิงเวยค่อยๆ ยืดเอวขึ้นหันไปเชิดคางกับหมัวมัว “ไม่คุกเข่าแล้วอย่างไรเล่า เจ้ามันก็เป็นแม่มดสุนัขรับใช้ แน่จริงก็มากัดข้าสิ”

องครักษ์ “…” หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมา

“เจ้า!” หมัวมัวโมโหจนทนไม่ได้จึงคิดจะเดินเข้าจัดการนาง

“ให้เจ้ามากัดเจ้าก็มากัดจริงๆ หรือนี่ มีความสามารถก็เห่าโฮ่งๆ สักสองครั้งมาฟังดูก่อนเป็นไร” หลินชิงเวยพูดแล้วก็หันกายวิ่งออกไป

นางอดทนต่อความเจ็บปวดแล้ววิ่งออกไปอย่างว่องไว ต่อให้หมัวมัวอาวุโสผู้นั้นเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ในการจัดการผู้คนมากมายเพียงใดก็ไม่อาจตามทันนางได้ ไม่นานหลินชิงเวยก็วิ่งผ่านไปทางตำหนักข้างไม่เห็นเงา อีกประเดี๋ยวเมื่อไทเฮาออกมา หมัวมัวยังต้องให้คำชี้แจงกับไทเฮาอีก

หลินชิงเวยไม่รู้ว่าตนเองวิ่งไปถึงที่ใด ที่นั่นเป็นสวนเขียวชอุ่มทั้งผืนมีความคล้ายคลึงกับสวนเพาะกล้าไม้ของเซียวจิ่นอยู่บ้างจึงเอนกายพิงไปกับต้นไม้เพื่อพักผ่อนครู่หนึ่ง

ชิงหลันเลื้อยออกมาจากอกของนาง มันเลื้อยขึ้นไปบนต้นไม้อย่างดีอกดีใจด้วยท่าทีเกียจคร้านเช่นกัน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด หลินชิงเวยนอนหลับไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อมีคนเรียกนางให้ตื่นขึ้นนั้น ชิงหลันอ้าปากปรากฏให้เห็นเขี้ยวคมสองซี่ ลิ้นของมันแดงเหมือนโลหิตเตรียมพร้อมที่จะจู่โจมตลอดเวลา

หลินชิงเวยค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นองครักษ์ผู้ติดตามยืนห่างออกไปสามก้าว มือของเขากดลงไปที่กระบี่ข้างบั้นเอวเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับชิงหลัน แต่ไม่มีผู้ใดวู่วามบุ่มบ่ามลงมือ

มือของหลินชิงเวยแตะๆ ลงไปบนกิ่งไม้ ชิงหลันก็เลื้อยกลับเข้ามาในช่องแขนเสื้อของนางอย่างเชื่อฟัง “เจ้ามาทำอันใด?”

องครักษ์ผู้ติดตามจึงค่อยๆ ลดการป้องกันลง “ไทเฮาเสด็จไปแล้วขอรับ เซ่อเจิ้งอ๋องห้าน้อยมาตามหาเหนียงเหนียงขอรับ”

“อ้อ” หลินชิงเวยส่งเสียงรับรู้

ท่าทีของเซียวเยี่ยนเปลี่ยนจากเมื่อแรกที่ไม่ยินดียินร้าย ไม่สนใจจะไถ่ถามอันใด นางรู้ดีว่าเมื่อสักครู่ที่เซียวเยี่ยนเจตนาไอโขลกในห้องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของไทเฮามิให้สร้างความลำบากใจให้กับนาง บัดนี้ยังให้องครักษ์ผู้ติดตามออกมาตามหานาง

นับได้ว่าเขายังมีมโนธรรมอยู่บ้าง

หลินชิงเวยจับชายกระโปรงของตน กระโปรงของนางสะบัดพลิ้วไปตามลมเฉกเช่นดรุณีน้อย นางเดินไปข้างหน้าสองก้าวแล้วเงยหน้าขึ้นมองกิ่งไม้ที่อยู่ข้างบนศรีษะ ไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไรนอกจากมีใบไม้เป็นมันเลื่อมแล้วยังมีดอกไม้สีเหลืองน้ำนมดอกหนึ่งกำลังบานสะพรั่ง

หลินชิงเวยสูงไม่พอจึงเอื้อมไม่ถึง นางจึงชี้ไปที่ดอกไม้และกล่าวว่า “ช่วยข้าเด็ดลงมา”