องครักษ์ผู้ติดตามไม่ได้หยุดคิดอันใดจึงยื่นมือไปเด็กดอกไม้ดอกนั้นยื่นให้หลินชิงเวย หลินชิงเวยยิ้มจนตาหยีแล้วนำดอกไม้นั้นทัดไว้ในเส้นผมของตน

นางมีนิสัยรักสวยรักงามเหมือนสตรีคนอื่นๆ นางเป็นสตรีรูปโฉมงามคนหนึ่ง แต่ท่าทางการเยื้องย่างของนางนั้นดูเหมือนสบายๆ เป็นธรรมชาติ ดอกไม้ที่นางทัดไว้บนเส้นผมเมื่อเปรียบเทียบกับรอยยิ้มมีเสน่ห์บนใบหน้านางแล้วกลับดูจืดชืดลงเล็กน้อย

องครักษ์ผู้ติดตามรีบเลื่อนสายตาไปทางอื่นแล้วหันกายเดินนำทาง หลินชิงเวยเดินตามหลังเขาถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “ไทเฮาเสด็จกลับไปแล้ว?”

องครักษ์ตอบ “เสด็จกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลินชิงเวยดูเหมือนไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอันใดต่อเรื่องนี้ เขาจึงถามขึ้นเมื่อเดินไปอีกสองก้าว “ครั้งนี้เหนียงเหนียงไม่เพียงแต่ล่วงเกินไทเฮา ซ้ำยังด่าทอหมัวมัวข้างกายของไทเฮา ชีวิตต่อไปในวันหน้ามีแต่จะลำบากมากขึ้น ข้าน้อยเตือนเหนียงเหนียงแล้ว ไฉนเหนียงเหนียงจึงไม่อดทนอดกลั้น?”

“อดทนอดกลั้น?” หลินชิงเวยกล่าว “ดูเหมือนท่านอ๋องของเจ้าก็เคยเตือนเยี่ยงนี้เช่นกัน แต่เจ้าดูว่าได้ผลหรือไม่? ไทเฮาชรานางนั้นเมื่อพบหน้าข้ามีครั้งไหนบ้างที่ไม่คิดจะกดข้าให้ตาย?”

องครักษ์ได้แต่ใช้ความเงียบเป็นคำตอบ

หลินชิงเวยเอามือเล็กๆ ของนางไพล่หลังและกล่าวกลั้วหัวเราะ “เจ้าหนุ่มน้อย กำลังเป็นห่วงข้าใช่หรือไม่?”

องครักษ์กล่าวทั้งหน้าดำทะมึน “ข้าน้อยไม่ได้ชื่อเจ้าหนุ่ม ข้าน้อยแซ่เซียวชื่อฉีพ่ะย่ะค่ะ”

“เสี่ยวฉีเอ๋ย ข้าดูเจ้าก็เอือมระอาไทเฮาเช่นกัน ไทเฮาเสด็จมาเยี่ยมเซ่อเจิ้งอ๋อง เข้าไปในตำหนักบรรทมของเซ่อเจิ้งอ๋องไม่ว่า ซ้ำยังปิดประตูคุยกันเป็นการส่วนพระองค์…”

“เจาอี๋เหนียงเหนียงอย่าได้พูดจาเหลวไหล!” องครักษ์หยุดเดินแล้วหันมามองนางด้วยสายตาคมปลาบทันที

หลินชิงเวยไม่เกรงกลัวท่าทีของเขาหรอก นางกล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้าดูสิ ยังจะมามีน้ำโห ข้าไม่ได้พูดจาเหลวไหล บนหน้าเจ้ามิใช่เขียนเอาไว้หรอกหรือ”

สีหน้าขององครักษ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาสุดท้ายยังคงมีสีหน้าเย็นชา “อย่างไรก็ตามเรื่องราวภายในตำหนักในมิใช่จะชัดเจนด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว ยังต้องขอให้เหนียงเหนียงระมัดระวังคำพูดคำจาและการกระทำด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“ระมัดระวังคำพูดคำจาและการกระทำ นั่นเป็นเรื่องที่ข้ารับใช้เช่นเจ้าต้องทำ ยังไม่ต้องถึงกับให้ข้ามาทำ ข้อหนึ่งข้ามิใช่บ่าวรับใช้ ข้อสองไม่ใช่บ่าวรับใช้ ข้อสามยังคงไม่ใช่บ่าวรับใช้ ไฉนจึงต้องระมัดระวังคำพูดคำจาและการกระทำด้วย?”

“สิ่งที่ข้าน้อยควรพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว เหนียงเหนียงจะฟังหรือไม่นั้น สุดแล้วแต่เหนียงเหนียงพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อกลับมาถึงตำหนักบรรทมของเซียวเยี่ยนอีกครั้ง หลินชิงเวยรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายหวานเอียนจากร่างของไทเฮายังหลงเหลืออยู่ในชั้นบรรยากาศ เซียวเยี่ยนกำลังนั่งเอนกายพิงกับหัวเตียงในมือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บถือหนังสือเล่มหนึ่ง พลิกเปิดหนังสือไปเรื่อยๆ ด้วยนิ้วเรียวยาวขาวสะอาด

หลินชิงเวยเข้ามาแล้วเขาก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา หลินชิงเวยเดินไปเปิดหน้าต่างด้านข้างให้อากาศสดชื่นพัดเข้ามาในห้อง เพื่อระบายกลิ่นอายจากเครื่องประทินโฉมของสตรีออกไป

เซียวเยี่ยนถามขึ้นเนิบๆ “ไปไหนมา?” ในน้ำเสียงนั้นมีทั้งความเหนื่อยล้าและแหบพร่า ได้ยินแล้วเกียจคร้านยิ่งนัก เหมือนถูกกรงเล็บของแมวสะกิดให้รู้สึกคันยุบยิบ

หลินชิงเวยตอบ “ไม่ได้ไปที่ใด ออกไปเดินเล่นเท่านั้น”

“ต่อไปหากพบไทเฮา เจ้าหลีกเลี่ยงได้ก็พยายามหลีกเลี่ยงเถิด”

“ท่านเป็นห่วงข้า?” หลินชิงเวยลากเสียงสูงขึ้นเบาๆ ในน้ำเสียงนั้นแยกแยะไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ใด นางหิ้วล่วมยาของตนเข้ามาแล้วนั่งแปะลงบนพื้นข้างเตียงเซียวเยี่ยน

นางมองดูนิ้วมือบวมเบ่งของตนเอง แล้วจึงหยิบขี้ผึ้งชนิดเย็นมาทาปลายนิ้วของตนก่อน

เซียวเยี่ยนมองเห็นแล้วเช่นกันทว่ากลับไม่ได้ถามอันใด ดูเหมือนยิ่งเขาถามมาก หลินชิงเวยก็จะยิ่งคิดว่าเป็นเพราะเขาเป็นห่วงนาง

ทายาที่นิ้วมือแล้วหลินชิงเวยก็รวบกระโปรงของตนขึ้นมาต่อหน้าเซียวเยี่ยนอย่างไม่คิดหลบเลี่ยง นางดึงขากางเกงขึ้นมานวดคลึงหัวเข่าของตน

หัวเข่ากลมมนขนาดเล็กกะทัดรัดบวมแดงทั้งยังผิวหนังถลอกออกชั้นหนึ่ง

เห็นได้ว่าก่อนหน้านี้หมัวมัวบังคับให้หลินชิงเวยคุกเข่าได้ใช้เรี่ยวแรงมากมายเพียงใด

นางทางหนึ่งทายาให้ตนเอง อีกทางหนึ่งก็ร้องซี๊ดๆ ด้วยความเจ็บจากบาดแผล “ไทเฮาเข้ามาพูดอันใดกับท่านเจ้าคะ?”

หนังสือในมือของเซียวเยี่ยนไม่ได้พลิกเปิดไปไหนอีก เขาหลุบดวงตาหงส์เรียวยาวของตนลงคุร่นคิดอย่างประหลาดใจ “ไม่มีอันใด”

“ไม่มีอันใด?” รอยยิ้มบนริมฝีปากของหลินชิงเวยเต็มไปด้วยความเสแสร้งและถากถาง “ข้ารู้ว่าท่านต้องพูดว่าพวกท่านไม่มีอันใด ท่านไม่ใช่คนเขลาเสียหน่อย หรือจะยอมรับว่าพวกท่านมีอะไรกัน? ไทเฮาดูเหมือนจะฟังคำพูดของท่านยิ่งนัก ดูเหมือนทำตามคำพูดของท่านทุกอย่าง”

“เมื่อแรกฟังคำพูดของท่าน นางจึงไว้ชีวิตข้า และเชื่อฟังคำสั่งของท่านด้วยการส่งตัวข้าเข้าไปในตำหนักเย็นเช่นกัน ทันทีที่ได้ยินว่าฝ่าบาทฟื้นคืนสตินางไม่ได้มีท่าทีดีอกดีใจอันใดเลย แต่เมื่อได้ยินว่าท่านเชิญนางไปที่นั่น นางก็รีบไปทันที”

“ไทเฮายังไม่แก่ชรา อายุยังน้อยไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ เป็นสตรีม่ายที่อยู่ในวัยเปี่ยมเสน่ห์เย้ายวน ส่วนท่าน เซ่อเจิ้งอ๋องก็อยู่ในวัยหนุ่มแน่นเปี่ยมกำลังวังชาแข็งแกร่ง พำนักอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ด้วยศักดิ์ฐานะที่ดียิ่งยวด…”

เซียวเยี่ยนหลุบตาลงมองนางท่าทางนางที่ทายาให้ตนเองทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งพูดจ้อไม่หยุดปาก เส้นผมของนางแผ่สยายลงจากหัวไหล่ลงมา คล้ายบดบังและคล้ายไม่บดบังใบหน้าด้านข้างของนาง ระหว่างเส้นผมของนางมองเห็นผิวพรรณขาวผ่องของนาง จมูกเล็กๆ ของนางราวกับเป็นจุดศูนย์รวมของแสงตะวัน ริมฝีปากนั้นพูดจาไม่หยุดหย่อน

คิ้วของนางขมวดแน่น ไม่รู้ว่าด้วยเพราะรู้สึกเจ็บหรือเป็นเพราะนางไม่พึงพอใจ

เซียวเยี่ยนกล่าวขัดจังหวะนางด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมราวกับสุราที่หมักได้ที่ไหหนึ่ง น้ำเสียงหนักแน่นนั้นไหลเอื่อยผ่านกลางใจช้าๆ หางเสียงยังสูงขึ้นเล็กน้อย “ดังนั้น เจ้าไม่สบอารมณ์?”

หลินชิงเวยตกตะลึงกระทั่งหยุดทายาในมือ นางมองหัวเข่าของตน ยังมีท้องนิ้วที่มียาขี้ผึ้งแต้มอยู่ แม้อยากจะปฏิเสธเหลือเกิน…แต่ในใจนางรู้สึกไม่ยินยอมจริงๆ ไม่ยินยอมอย่างที่สุด

หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเซียวเยี่ยนด้วยหางตา กล่าวด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ “เซียวเยี่ยน ท่านเป็นบุรุษที่ข้าต้องตาต้องใจ คิดจะแย่งชิงบุรุษกับข้าย่อมต้องถามข้าว่าเห็นด้วยหรือไม่ มีเพียงสิ่งที่ข้าไม่ได้ต้องการ ไม่มีทางที่ข้าจะหลีกทางแล้วยื่นมือไปมอบให้”

ดวงตาหงส์ของเซียวเยี่ยนเบิกกว้าง หนังสือในมือที่เขากำลังอ่านอยู่นั้นกระดาษกลายเป็นสีเหลือง สายลมพัดโชยเข้ามาทางหน้าต่างพลิกเปิดหนังสือของเขาไปหลายหน้า เขาจดจำไม่ได้ว่าอ่านไปถึงหน้าไหนแล้ว

ต่อมาหลินชิงเวยปล่อยชายกระโปรงลงมาเก็บล่วมยาแล้วลุกขึ้นหิ้วล่วมยาเดินออกประตูห้องไป

เมื่อเดินมาถึงประตู เซียวเยี่ยนพลันกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่ง “คำพูดผิดธรรมนองคลองธรรมเหล่านี้ หากให้ผู้อื่นได้ยินเข้าเจ้ารู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นใด?”

“ผลลัพธ์อันใดยังมิใช่เสด็จอาเป็นผู้ตัดสินหรอกหรือ” นางเดินออกตำหนักบรรทมไป เดินออกจากตำหนักอวี้หลิงพร้อมกับลูบแก้มตนเองอย่างห้ามไม่อยู่

เอ๊ะ น่าแปลก เหตุใดแก้มจึงร้อน? ก็แค่ประกาศสิทธิ์ของตนเองเท่านั้น หลินชิงเวย เจ้าต้องถึงกับวู่วามเช่นนี้เลยหรือไม่?

หลังจากหลินชิงเวยออกจากตำหนักอวี้หลิงนางก็ตรงไปหาเซียวจิ่น เซียวจิ่นเห็นหลินชิงเวยมาใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มบางๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เขาถามว่า “เสด็จอาเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลินชิงเวยกล่าว “ฝ่าบาทวางพระทัยเถิด ไทเฮาเพิ่งจะเสด็จมาเยี่ยม ไม่เป็นอันใดหรอกเพคะ”

เมื่อพูดประโยคนี้นางจับสังเกตสีหน้าของเซียวจิ่น เห็นสีหน้าของเขาแข็งเกร็งไปครู่หนึ่ง ในแววตาสะอาดกระจ่างใสคู่นั้นปรากฏความขุ่นมัวพาดผ่าน

นี่จะโทษนางว่าหลอกใช้เด็กน้อยไม่ได้นะ นางได้ล่วงเกินไทเฮาจนถึงที่สุดแล้ว ยังไม่รีบดึงพระองค์ใหญ่เบื้องหน้ามายืนอยู่ข้างตนได้อย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮาและเซียวจิ่นไม่ได้ดีนัก ดูออกอย่างชัดเจนว่าไทเฮายินดีไปเยี่ยมเซ่อเจิ้งอ๋อง แต่กลับเสด็จมาเยือนตำหนักซวี่หยางเพื่อเยี่ยมเซียวจิ่นน้อยยิ่ง