ตอนที่ 89 ตกตะลึงทั่วเวที (2) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ทิ้งชุดขันทีก่อนหน้านี้ไป เปลี่ยนมาสวมกระโปรง

บนใบหน้าต้องแต่งเติมด้วยชาดแดง แป้งฝุ่น

คนที่ได้รับการคัดเลือกครั้งนี้รูปโฉมค่อนข้างหมดจด รวมทั้งเหล่าขันทีน้อยเหล่านั้นเพราะถูกตัดอวัยวะเพศชายไป เวลาทำงานปกติจึงดูกระตุ้งกระติ้ง น้ำเสียงแหลมเล็ก ดังนั้นหลังจากแต่งตัวอย่างสมบูรณ์ ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าเหล่าหญิงสาวตรงหน้านี้คือขันที!

เหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจวิ้นซีก็ตื่นแต่เช้ามืด แล้วนั่งกำกับอยู่ด้านข้าง

แม้ตอนแรกหนานกงจวิ้นซีจะพนันกับเล่อเหยาเหยา แต่เวลานี้เมื่อเห็นขันทีเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าสตรี ทาชาดสีแดง กลับรู้สึกเริ่มอึดอัดใจ

แม้จะรู้ว่าพวกเขาคือขันที

แต่มองเช่นไร ล้วนรู้สึกอึดอัด

อีกทั้งตีเขาให้ตายก็ไม่เปลี่ยนไปสวมชุดสตรี เพราะเขาเป็นบุรุษ จะทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่ทำเด็ดขาด!

สำหรับความไม่สบายใจของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋คล้ายล่วงรู้อยู่ก่อนแล้ว ทว่าเพียงจิบชาอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นก็เลิกคิ้วปรายตามองเขาชั่วครู่ ก่อนเอ่ยปากอย่างเย็นชาว่า

“แต่งกายเป็นสตรีไม่ใช่สิ่งที่บุรุษควรทำ เช่นนั้นการกลับกลอก ก็เป็นสิ่งที่บุรุษควรทำหรือ!”

“เอ่อ”

ประโยคนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ทำให้หนานกงจวิ้นซีพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว

เพราะตอนแรกเขารับปากว่าจะแต่งกายเป็นสตรี และยังพนันกับเล่อเหยาเหยา ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกไม่สบายใจ

เขารู้ว่าตนผิด แต่เมื่อเห็นเหล่าขันทีที่แต่งตัวแต่งหน้าเป็นสตรีตรงหน้า เขาขนลุกชันไปทั้งตัวตลอดเวลา

อีกทั้งเขาไม่กล้านึกภาพการแต่งกายเป็นสตรีของตนเลย

นั่นจะน่าตกตะลึง อึดอัดเพียงใด!

เฮ้อ ปลาตายน้ำตื้นเสียจริง เขาไม่ควรรับคำท้าตั้งแต่แรกเลย! ตอนนี้เสียใจ อยากเปลี่ยนใจ แต่มีผู้คนมากมายจับจ้องอยู่!

อีกทั้งการกลืนน้ำลายตนเองก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาหนานกงจวิ้นซีจะทำ

ดังนั้น แม้ในใจของหนานกงจวิ้นซีจะไม่ยินยอมอย่างมาก ทว่าสุดท้าย ก็ยังตีหน้าขรึมหยิบชุดสตรีที่วัดและตัดออกมาตามขนาดตัวของเขานั้น ค่อยๆ เดินไปที่ห้องเสื้อเพื่อเปลี่ยนชุด

หลังผ่านไปนาน ในที่สุดหนานกงจวิ้นซีที่สวมใส่ชุดสตรีก็ปรากฎตัวออกมา

พร้อมกับหลังจากตกตะลึง ทุกคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้

แน่นอนว่าเหล่าคนรับใช้ต่างไม่กล้าหัวเราะออกมา ต่อหน้าหนานกงจวิ้นซี เพียงอดกลั้นไว้ภายใน สุดท้ายจึงถูกหัวหน้าขันทีลี่สั่งให้ออกไป

ทว่าซิงที่อยู่ด้านข้าง หลังเห็นหนานกงจวิ้นซีแต่งกายเป็นสตรี กลับหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ ทันใดนั้น น้ำเสียงแฝงการหยอกล้ออย่างไม่ปิดบังก็ดังขึ้น

“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเจ็ดของพวกเราพอแต่งกายเป็นสตรี จะดูไม่เลวเลย ฮ่าๆ”

“เจ้าไสหัวไป!”

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของซิง หนานกงจวิ้นซีใบหน้าแดงก่ำขวยเขิน คิดจะกระโจนเข้าไปต่อยซิงทันที

น่าเสียดายคือ นี่เป็นการสวมกระโปรงครั้งแรกของเขา เมื่อเดินได้เพียงสองก้าว เกือบจะสะดุดชายกระโปรงล้มลงไป

หนานกงจวิ้นซีโมโหจนกัดฟันกรอดชั่วครู่ ก่อนขมวดคิ้วแน่นเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า

“กระโปรงนี้น่ารำคาญเสียจริง!”

ความสบายเทียบไม่ได้กับชุดบุรุษของเขา!

เมื่อได้ยินเสียงหงุดหงิดของหนานกงจวิ้นซี ซิงก็หัวเราะหนักขึ้น โดยเอามือกุมไปที่หน้าท้อง หัวเราะอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์

กระทั่งเหลิ่งจวิ้นอวี๋และเหม่ยที่อยู่ด้านข้างปกติแล้วจะไม่หัวเราะ ยังยิ้มที่มุมปาก

เมื่อเห็นคนอื่นหัวเราะเยาะตน หนานกงจวิ้นซีขัดเขินจนแทบมุดแผ่นดินหนี ไม่อยากออกมาชั่วชีวิต

สวรรค์ ตอนนี้เขาขายหน้ายิ่งนัก!

องค์ชายเจ็ดผู้สง่างามแห่งต้าเซี่ยเช่นเขา ไม่เคยรู้สึกอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อน!

ทั้งหมดนี้ ต้องโทษขันทีน้อยน่าชังผู้นั้น ทั้งหมดเป็นเพราะ ‘เขา’!

ฮือฮือ!

บัญชีแค้นครั้งนี้ เขาต้องเอาคืนจากขันทีน้อยนั้นอย่างสาสมแน่นอน

ฮึ! ‘เขา’ พูดว่าผู้ชนะจะให้ผู้แพ้ทำสิ่งใดก็ได้มิใช่หรือ!

ถ้าเช่นนั้น หากเขาชนะ ‘เขา’ ต้องให้ ‘เขา’ มาปรนนิบัติตนตลอดชีวิต เช่นนั้นเขามีเวลาตลอดชีวิตที่จะทรมานขันทีน้อยน่าตายผู้นี้!

หนานกงจวิ้นซีคิดในใจอย่างโมโห ทันใดนั้น คล้ายฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ ดวงตาดอกท้อที่เปี่ยมด้วยความโมโหกวาดมองไปรอบด้านชั่วขณะ ก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัยขึ้นว่า

“เอ๊ะ เหตุใดไม่เห็นบ่าวนั้นผู้เลย! หรือไม่อยากแต่งกายเป็นสตรี ดังนั้นจึงแอบหนีไป!”

เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงพบว่า ตนอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน ทว่าคล้ายไม่เห็นกระต่ายน้อยเลย ตามหลักแล้ว กระต่ายน้อยนั้นคงไม่กลับคำหรือไม่ปรากฎตัวเป็นแน่

พอคิดถึงตรงนี้ เหลิ่งจวิ้อวี๋จึงเกิดความสงสัย ดังนั้นจึงรับสั่งให้หัวหน้าขันทีลี่ไปตามตัวเล่อเหยาเหยา

หัวหน้าขันทีลี่หลังจากได้รับคำสั่ง ก็รีบถอยออกไปทันที ไม่นานหัวหน้าขันทีลี่ก็กลับมา พร้อมกับเล่อเหยาเหยาที่แต่งกายเป็นสตรีเดินตามหลังมา

เห็นเพียงเมื่อเล่อเหยาเหยาเดินเข้ามาในห้องโถง ทุกคนที่เห็นเล่อเหยาเหยาแต่งกายเป็นสตรีนั้น ต่างรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า แข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

ตามมาด้วยเสียงสูดหายใจอย่างไม่เชื่อสายตา และจ้องมองอย่างไม่ปิดบังด้วยความตกตะลึง

เห็นเพียงเล่อเหยาเหยาในวันนี้ สวมกระโปรงลายดอกไม้สีชมพู คาดด้วยสายคาดเอวลายเมฆบนเอวคอดกิ่วบอบบาง

เส้นผมยาวดำขลับดุจเส้นไหม ใช้เพียงแถบรัดผมสีชมพูมัดเป็นช่อเล็กๆไว้ ที่เหลือล้วนสยายอยู่กลางแผ่นหลังของเธอ

เข้ากับใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือนั้น ผิวเกลี้ยงเกลาเรียบลื่นดูเปราะบาง นัยน์ตางดงาม ดุจน้ำใสในฤดูใบไม้ผลิ

คิ้วโค้งงอดุจใบหลิว

จมูกน่ารักสง่างาม

ริมฝีปากเล็กแดงสด ลายเส้นสมบูรณ์แบบ!

แม้จะไร้เครื่องประทินโฉม ทว่ากลับงดงามแปลกตา น่ารักชวนหลงใหล

ความงดงามและรูปลักษณ์นั้น ไม่เป็นสองรองผู้ใด!

เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาแต่งกายเป็นสตรี ทุกคนต่างประหลาดใจถึงขีดสุด แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง ก่อนมองไปยังเล่อเหยาเหยาอย่างพร้อมเพรียงกัน

สำหรับสายตาของทุกคน เล่อเหยาเหยาหดศีรษะลงอย่างขัดเขิน ทว่าในใจกลับรู้สึกภาคภูมิใจ

เพราะเธอก็รักสวยรักงามเช่นกัน

เธอเป็นผู้หญิงจริงๆ เมื่อเห็นสายตาตกตะลึงชื่นชมของผู้อื่น ต้องชื่นชอบเป็นธรรมดา

ความจริง ไม่ใช่แค่พวกเขาที่ตกตะลึง กระทั่งเธอที่เปลี่ยนชุดสตรีเมื่อครู่ เมื่อเห็นตนเองในกระจกนั้น ก็ตกตะลึงถึงขีดสุดเช่นกัน

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอแต่งกายเป็นผู้หญิงตั้งแต่มาถึงที่นี่

ปกติถ้าเธอไม่แต่งตัวเป็นขันที ก็แต่งตัวเป็นผู้ชาย ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ตนสามารถกลับมาแต่งตัวเป็นผู้หญิงได้

อีกทั้งเมื่อเห็นรูปโฉมของร่างนี้เป็นครั้งแรก เธอรู้ดีว่าเวลานี้ตนงดงามเพียงใด

แต่กลับไม่คาดคิดว่าเมื่อตนกลับมาแต่งกายเป็นผู้หญิง จะชวนน่าหลงใหล งดงามเช่นนี้!

ผิวขาวใสดุจหิมะ เส้นผมดุจผ้าไหม รูปร่างเล็กบอบบาง ดวงตางดงามจนน่าเหลือเชื่อคู่นั้น ดำขลับสะดุดตา ระหว่างหันมอง งดงามจับใจ

ท่าทางนั้น คล้ายดอกอิงฮวาที่เบ่งบานในตอนเช้าตรู่ งดงามน่ารักและชวนหลงใหลอย่างไร้ที่สิ้นสุด!