ซ่งเอ้อโก่วพูดต่อ “นี่เป็นโต๊ะที่ใหญ่ที่สุดที่หาได้แล้ว เรียบที่สุด สะอาดที่สุด”

ฟางเจิ้งพูดอย่างจำใจ “เอ่อ ถ้าอาตมาจะเขียนอักษรอะไรก็ได้ทั้งนั้น โต๊ะนี่เป็นโต๊ะชั้นดีเลย…”

“ท่านคิดว่าดีก็ดี เอ่อคนนั้นน่ะใครนะ…คุณว่าโอเคไหม? ถ้าโอเคก็รีบๆ เข้า แต่ถึงไม่โอเคก็เปลี่ยนไม่ได้อยู่ดี” ซ่งเอ้อโก่วถามต่อ

โอวหยางหวาไจไม่มองซ่งเอ้อโก่วเลย แต่ตบโต๊ะพูดกับพวกหยางผิง “ได้ ขอบคุณที่ลำบากกันนะ”

โต๊ะเตรียมพร้อมแล้ว คนในหมู่บ้านก็มาแล้ว สถานที่คึกคักกว่าเดิม แต่มีบางคนกลับไม่สบายใจ นั่นคือคนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีน เพราะซ่งเอ้อโก่วรู้ว่าคนพวกนี้อยู่ฝั่งโอวหยางหวาไจเลยพาชาวบ้านมาเสริมนิสัยอันธพาลของเขา ทั้งยังพูดยั่วเย้า เดี๋ยวก็พูดเปรียบกางเกงขายาวขาสั้น เดี๋ยวก็พูดเปรียบทรงผม ทำให้ปัญญาชนกลุ่มนี้แทบจะด่ากราด

แต่อีกด้าน หวังโอ้วกุ้ย ถานจวี่กั๋ว และพวกเจียงซงอวิ๋นจัดสถานที่ประลอง พวกไชฟางกับจิ่งเหยียนตั้งกล้องไว้อย่างดี การประลองที่ฉุกละหุกแบบนี้จัดขึ้นบนพื้นหิมะหนาวเย็น

เดิมทีฟางเจิ้งจะเข้าไปช่วยแต่ถูกเจียงซงอวิ๋นปฏิเสธ พวกเขาว่าจะทำเอง เพื่อห้ทุกคนวางใจได้

ฟางเจิ้งมองค้อน คิดว่าเขาจะโกงการประลองพู่กันจีนได้รึไง? เป็นเช่นนี้เขาก็เลยว่าง ได้แต่มองอยู่ข้างๆ

แต่มีเด็กสาวคนหนึ่งเข้ามาใกล้ พิจารณามองฟางเจิ้งด้วยความอยากรู้อยากเห็น “นายเขียนอักษรได้จริงๆ เหรอ?”

ฟางเจิ้งมองเด็กสาวแล้วพยักหน้า “อมิตาพุทธ คุณโยม อาตมาเขียนอักษรไม่เป็น”

“เอ่อ…ถ้าอย่างนั้น นายจะยังประลองกับพ่อฉันอีกเหรอ?” เด็กสาวคือโอวหยางเฟิงหวา เธอมองฟางเจิ้งอย่างอึ้งๆ

ฟางเจิ้งมึนงง ไม่นึกเลยว่าเด็กสาวคนนี้จะเป็นลูกสาวของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน เขาไม่ได้แสดงท่าทีเย็นชากับโอวหยางเฟิงหวา เพียงคลี่ยิ้มน้อยๆ “อักษรของอาตมาดูไม่ได้ เลยไม่อยากบอกว่าเขียนอักษรเป็นน่ะ”

ฟางเจิ้งพูดอย่างสบายใจมาก เขาเคยเห็นอักษรพุทธองค์มังกรแท้จริงมาแล้ว นั่นคืออักษรแห่งพุทธ มีความรู้สึกยิ่งใหญ่ นั่นต่างหากที่เรียกว่าน่าตกใจ! อักษรเขาเทียบกับอักษรพุทธองค์แล้วยังดูดีไม่เท่ากับอุจจาระก้อนหนึ่งเลย

โอวหยางเฟิงหวาเห็นฟางเจิ้งพูดอย่างสบายใจก็เชื่อจริงๆ เลยส่ายหน้าเล็กน้อย “นายเขียนอักษรแย่ขนาดนั้น ไม่กระดากอายที่ตัวเองสร้างกระแสเลยเหรอ? เฮ้อ…พูดจริงๆ นะ ฉันว่านายไม่ไหวหรอก พ่อฉันเป็นนักเขียนพู่กันจีนที่มีชื่อเสียงในเมือง ได้ที่หนึ่งในการประลองพู่กันจีนในเมืองหลายครั้ง! มีลูกศิษย์หลายร้อยคน…”

โอวหยางเฟิงหวาพูดความจริงเกี่ยวกับความเก่งกาจด้านพู่กันจีนของโอวหยางหวาไจจนหมดเปลือก แต่ฟางเจิ้งก็ยังหัวเราะเบาๆ

จะชนะไหมเขาไม่รู้ แต่มีเป้าหมายเพื่อความสนุก หน้าหนาวแบบนี้น่าเบื่อจะตาย! ส่วนแพ้ชนะ? ชนะก็ดี มีชื่อเสียงโด่งดัง แพ้ก็ช่าง อีกฝ่ายเป็นนักเขียนพู่กันจีนมีชื่อ เขาเป็นเณรไร้นาม ใครจะมาหัวเราะเยาะเขาได้? ต่อให้มีอยู่เขาก็ไม่รู้ หรือว่าอีกฝ่ายจะมาด่าเขาที่หน้าวัดกัน?

โอวหยางเฟิงหวาพูดอย่างตรงไปตรงมาจนนักเขียนพู่กันจีนคนหนึ่งจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนเมืองเฮยซานเข้ามา “เฟิงหวา อย่าคุยกับเขาเลย หลวงจีนวัดเล็กแบบนี้จะเข้าใจพู่กันจีนได้ยังไง? ถ้าเขาชนะ ฉันจะกินโต๊ะ!”

ฟางเจิ้งชำเลืองตามอง อีกฝ่ายตัวไม่สูง อยู่ราวๆ หนึ่งเมตรเจ็ดสิบ หน้าตาธรรมดา แต่กลับมีความหยิ่งยโส ความหยิ่งที่ว่าไม่ได้มีแค่กับฟางเจิ้ง ต่อให้เป็นตอนที่เจอคนจากสมาคมเมืองซงอู่ก็ยังพกไปด้วย เห็นได้ชัดว่าเขาดูถูกคนพื้นที่เล็กๆ นี่คือคนที่มีทัศนคติเย่อหยิ่งคิดว่าตนสูงศักดิ์ ช่ำชองเรื่องการเย้ยเยาะคนอื่น

ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่จำคำพูดอีกฝ่ายเอาไว้แล้ว

โอวหยางเฟิงหวากลับหัวเราะ “เหลียงอวี้ควน นายพูดเองนะ ถึงตอนนั้นอย่ามาสำนึกเสียใจล่ะ”

“ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ!” เหลียงอวี้ควนพูดอย่างมั่นใจ จากนั้นเอ่ยกับฟางเจิ้ง “เณรน้อย ฉันว่านะนายปิดประตูไม่ร่วมการประลองจะดีกว่า ถึงจะมีชื่อเสียงเสียหายเรื่องหนีการประลอง แต่ก็ดีกว่าแพ้นะ”

ขนาดพระโพธิสัตว์ดินเหนียวยังมีไฟลุกขึ้นหัวสามจั้ง แล้วนับประสาอะไรกับหนุ่มเลือดกำลังร้อน? ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วง โยมเตรียมยาแก้ท้องอืดเอาไว้เถอะ”

“ระบบย่อยฉันดี ต้องใช้ด้วยเหรอ?” เหลียงอวี้ควนถามกลับ

ฟางเจิ้งยิ้มแต่ไม่ตอบ ส่วนโอวหยางเฟิงหวาหัวเราะก่อนดึงเหลียงอวี้ควนไป

ไม่นานก็เตรียมการประลองเสร็จ เจียงซงอวิ๋นเป็นหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีนเมืองเฮยซานย่อมมีสิทธิ์เป็นกรรมการตัดสิน ซุนก้วนอิงเป็นผู้อาวุโส ทั้งยังเป็นหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีนอำเภอเมืองซงอู่ จึงมีสิทธิ์เป็นกรรมการเช่นกัน

ส่วนคนอื่นเป็นผู้ชม

ฟางเจิ้งค้านอะไรกับระบบกรรมการแบบนี้ไม่ได้ ถึงพั่งจื่อจะเห็นต่างก็ไม่มีประโยชน์ นี่เป็นอาชีพเฉพาะทาง คนอื่นๆ เป็นกรรมการไม่ได้

ขณะกล่าว ฟางเจิ้งกับโอวหยางหวาไจถูกพามาที่หน้าโต๊ะ บนโต๊ะปูด้วยกระดาษ วางพู่กันและจานฝนหมึกไว้แล้ว

ทางฝั่งโอวหยางหวาไจ ชุยจิ่นรับผิดชอบการฝนหมึก โอวหยางหวาไจเอามือไพล่หลังด้วยท่าทางองอาจ เงยหน้ามองฟ้าราวกับในแววตาไม่มีใครมีแค่ตัวเอง

เห็นดังนั้นก็มีคนแอบพยักหน้าไม่น้อย คุยกันว่า “สมกับเป็นปรมาจารย์พู่กันจีนในเมือง แค่การกระทำและจิตวิญญาณก็ต่างกับคนธรรมดาแล้ว ให้ความรู้สึกสูงศักดิ์อยู่บ้าง”

“พวกเราจะพูดว่าเขาสูงศักดิ์ไม่ได้ ถึงยังไงก็ยังมีปรมาจารย์ที่เขียนเก่งกว่าคุณโอวหยาง แต่ที่นี่ไม่มีใครเทียบเขาได้จริงๆ”

“เหอะๆ ฉันอยากรู้ว่าพอเณรนั่นเห็นอักษรของคุณโอวหยางแล้วจะกล้าเขียนต่อไปไหม”

“เดาว่าแค่คุณโอวหยางลงพู่กันเขาก็ยอมแพ้แล้วล่ะ”

……

ทุกคนพูดพึมพำ ความจริงเสียงไม่เบาเลย ฟางเจิ้งกับโอวหยางหวาไจได้ยินชัด ตามหลักแล้วนักเขียนพู่กันจีนจะห้ามให้เกิดเสียงดัง แต่เจียงซงอวิ๋นที่เป็นกรรมการกลับไม่ห้าม แถมยังมีสีหน้าเฉยชาราวกับไม่ได้ยิน ซุนก้วนอิงขมวดคิ้ว อยากจะปรามหลายครั้งแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร

ฟางเจิ้งก็ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจการเขียนศิลปะพู่กันจีนเสียทีเดียว พอเห็นดังนั้นก็รู้สึกหนาวในใจ ‘การประลองเล็กๆ แบบนี้คนพวกนี้ยังไม่ยุติธรรมอีก มีจิตใจกันแบบนี้ ถ้ามีปรมาจารย์ด้วยก็แปลกน่าดู มิน่าล่ะจีนถึงไม่มีปรมาจารย์ เพราะจิตใจป่วยแบบนี้เอง!’

แต่ฟางเจิ้งก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไร ไม่มีได้มีเสียย่อมไม่มีแรงกดดัน เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง รอคอยให้การประลองเริ่มขึ้น

เขาสวมจีวรขาวจันทร์ พูดได้ว่าช่วยขยายสภาพจิตใจและบุคลิกของเขาได้ดี จิตใจเขาสงบนิ่ง ยืนอยู่ตรงนั้นพลางแผ่รัศมีที่ต่างกับโอวหยางหวาไจอย่างชัดเจน!

โอวหยางหวาไจก็เผยความแกร่งกล้าออกมาเหมือนกัน ส่วนฟางเจิ้งนิ่งสงบและเที่ยงธรรม ทุกคนที่มองเขาจะจิตใจสงบโดยไม่รู้ตัว เกิดความสบายและสงบจากใจจริง

………………………………………….…..