ตอนที่ 79 ทำนองรำลึกนู่เฉียว

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

“สองท่านพร้อมรึยัง?” เจียงซงอวิ๋นถาม

โอวหยางหวาไจไม่มองฟางเจิ้ง แต่เงยหน้าพูด “ไม่มีปัญหา”

ฟางเจิ้งพยักหน้า “อมิตาพุทธ”

“ถ้าอย่างนั้น สองท่านประลองพู่กันจีน แน่นอนว่าต้องเขียนอักษรเหมือนกันถึงจะรู้ผลแพ้ชนะ เอาแบบนี้ สองท่านเขียนกวีของซูซื่อ ทำนองรำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็ก[1] เป็นไง?” แม้เจียงซงอวิ๋นจะถาม แต่ความจริงกลับไม่ให้โอกาสฟางเจิ้งตอบโดยการพูดต่อว่า “ในเมื่อสองท่านไม่มีความเห็นอะไร ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มได้!”

ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็พูดไม่ออก นี่ไม่ให้โอกาสเขาออกความเห็นเลย รังแกกันเกินไปรึเปล่า? ทำนองรำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็ก? เขาเคยอ่านตอนเรียนมาจริงๆ อีกทั้งยังเคยได้สัมผัสความน่าตื่นตกใจจากกวีอันยิ่งใหญ่นั้น แต่ไม่ได้เรียนหนังสือมาหลายปีเลยลืมไปนานแล้ว ตอนนี้ให้เขาเขียน? เขาไม่รู้ว่าควรจะเขียนอะไรเลย!

มองไปที่ด้านโอวหยางหวาไจ พอได้ยินว่าจะประลองกันแบบนี้ นัยน์ตาเขาขยับประกายอย่างชัดเจน มีท่าทีเตรียมพร้อมอยู่ในใจมาแล้วจึงเยือกเย็น

โอวหยางเฟิงหวายิ้มอย่างมั่นใจมาก กลับกันชุยจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูไม่พอใจกับเรื่องนี้ แต่ไม่ได้พูดอะไร

โอวหยางหวาไจชำเลืองตามองฟางเจิ้งแวบหนึ่งก่อนยิ้มเยาะในใจ ถ้าเขียนพุทธคัมภีร์เขาคงไม่มั่นใจมากนัก แต่ให้เขียนกวี? แถมยังเป็นกวีชื่อดังอีก? เขาเลยมั่นใจมาก! นักเขียนพู่กันจีนคนไหนบ้างที่ไม่เคยเขียนกวี? เกรงว่าส่วนใหญ่จะเคยเขียนกัน เคยฝึกเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แล้วเขาจะเขียนไม่ดีได้ยังไง? เขาจะแพ้ได้ยังไง? แพ้ให้กับเณรในภูเขาลึกไร้ชื่อเสียงอย่างนั้นเหรอ? ในมุมมองเขา นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้!

มิหนำซ้ำ…

“ไม่อยากเชื่อว่าจะประลองทำนองรำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็ก? เหอะ ครั้งนี้มีของดีให้ชมแล้ว ฉันได้ยินมาว่าคุณโอวหยางเคยเขียนกวีนี้ได้รางวัลใหญ่จากในมลฑลมาด้วย ถึงขั้นเสนอชื่อไประดับประเทศ”

“นั่นเป็นผลงานที่มีชื่อของคุณโอวหยาง น่าตกใจจริงๆ ประลองกวีอื่นก็พูดยาก แต่ประลองกวีนี้ต้องชนะแน่!”

สมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนที่รู้จักโอวหยางหวาไจต่างพูดคุยกันเงียบๆ เสียงเบามาก แค่พวกเขาหลายคนใกล้ๆ ได้ยิน แม้แต่โหวจื่อ พั่งจื่อและอู๋ฉางสี่ยังไม่ได้ยิน

ทว่าอู๋ฉางสี่ที่รู้เรื่องนี้พลันกระโดดออกมา “ฉันขอคัดค้าน! นี่ไม่ยุติธรรม! ใช้กวีที่โอวหยางหวาไจชำนาญที่สุดมาประลองกับไต้ซือแบบนี้ รังแกคนอื่นเกินไปหน่อยรึเปล่า?”

เจียงซงอวิ๋นแค่นเสียงขึ้นจมูก “อู๋ฉางสี่ นายเป็นคนเสนอการประลองเอง เป็นคนกำหนดเวลาและสถานที่เอง ทำไม วันนี้ประธานจะเลือกกวีมาประลองก็ไม่ได้เรอะ? ส่วนความยุติธรรม? ปัญญาชนในใต้หล้ามีมากมาย คนที่ฝึกพู่กันจีนมีนับไม่ถ้วน แต่ทำนองรำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็กกลับใช้กันอย่างแพร่หลาย ใช้ในการฝึกกวีบ่อยมาก ถ้ายังเขียนอักษรนี่ไม่ได้อีกจะเขียนอะไรได้? ฉันใช้กวีที่ทุกคนเคยฝึกมาประลองนี่ก็เพื่อความยุติธรรม ไม่อย่างนั้นแล้วฟางเจิ้งเป็นหลวงจีน ชำนาญการเขียนคัมภีร์ แต่คุณโอวหยางไม่เคยเขียน ไม่เคยฝึก หรือว่าแบบนี้ยุติธรรม?”

อู๋ฉางสี่คิดว่าพูดแบบนี้ไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่รู้จะพูดค้านยังไง

สมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนคนอื่นๆ ก็ออกมาเห็นด้วย

หนึ่งเป็นนักเขียนพู่กันจีนในเมือง ผู้คนในกลุ่มก๊วนแข็งขัน มีพลังสูง อีกหนึ่งเป็นหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีน จึงมีอิทธิพลในกลุ่มก๊วนอย่างมาก พวกเขาย่อมอาศัยจังหวะนี้ประจบประแจง

ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาไม่ยอมรับว่าคนนอกอย่างฟางเจิ้งเป็นนักเขียนพู่กันจีน! ในความคิดพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติกับฟางเจิ้งอย่างนักเขียนพู่กันจีน และไม่คิดด้วยว่าฟางเจิ้งเป็นคนในกลุ่มก๊วนพวกเขา

คนหนึ่งอยู่ในกลุ่ม อีกคนอยู่นอกกลุ่ม คนหนึ่งสนิทคนหนึ่งห่างไกล มองปราดเดียวก็เห็นชัด แน่นอนว่าต้องช่วยพูดให้โอวหยางหวาไจ!

โดยเฉพาะหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีนเมืองซงอู่ที่ถูกฟางเจิ้งปิดประตูปล่อยหมาป่าออกมากัดจนอยู่ในสภาพย่ำแย่ ได้โอกาสระบายความโกรธพอดีจึงจู่โจมฟางเจิ้งเสีย

คนพูดกันเยอะขนาดนี้ อู๋ฉางสี่ไม่มีแม้แต่โอกาสอ้าปาก ถูกกดจนโงหัวไม่ขึ้น

ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็จนปัญญา เขาไม่เก่งเรื่องการโต้เถียงต่อหน้า โต้ไปก็ถูกทารุณจนน่วม ในเมื่อเถียงไม่ได้ก็ไม่เถียงมันซะเลย!

ฉะนั้นฟางเจิ้งจึงพูด “อมิตาพุทธ โยมอู๋ ขอบคุณมากที่ช่วยยึดมั่นในความเป็นธรรม แต่ว่าอาตมาเขียนอักษรไม่เป็น แถมยังเอาออกมาดูไม่ได้ คงไม่ใช่เรื่องดี ถ้าอย่างนั้นเขียนอะไรก็ได้เถอะ”

“เณรถือว่ารู้ตัวเองดี! แต่ว่าครั้งนี้ฉันมั่นใจว่าเณรแพ้แน่!” โอวหยางหวาเฟิงยืดคอหงส์ขึ้นแล้วพูดด้วยสีหน้าลำพองใจ

ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ตอบอะไร

เจียงซงอวิ๋นเห็นฟางเจิ้งพูดแบบนี้ ซ้ำยังมีการยอมแพ้แฝงในคำพูด เขาจึงยิ้มกว้างกว่าเดิม “เณร คนมีคุณค่าที่รู้จักตัวเอง เณรคิดได้แบบนี้ก็ถือว่าไม่เลว น่าเสียดาย ไม่ควรสร้างชื่อเสียงด้วยวิธีที่ไม่ควรแบบนี้เลย เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เสียเวลาทุกคนไม่ว่า วันหลังทุกคนคุยกันเรื่องประลองจะกลายเป็นเรื่องตลก”

เจียงซงอวิ๋นไม่คิดเลยว่าเขาจะพูดถูกจริงๆ วันหลังตอนที่ทุกคนคุยกันเรื่องการประลองพู่กันจีนบนเขาเอกดรรชนี การประลองนี่จะกลายเป็นเรื่องตลกจริงๆ! เป็นเรื่องตลกมากด้วย! เพียงแต่ว่าคนที่ถูกหัวเราะเยาะคือ…

“เณร ฉันว่านะท่านยอมแพ้ไปเถอะ”

“ใช่ รู้ว่าเขียนอักษรไม่ได้แล้วก็อย่าอวดเก่งเลย ยอมแพ้เถอะ”

“ฉันว่าไม่ต้องแข่งต่อแล้ว ใจเขายอมแพ้แล้วล่ะ แข่งไปก็ไม่มีความหมาย”

………

ทุกคนพากันพูดคุย

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแห้งเบาๆ เขามีความสามารถแค่ไหนยังไม่รู้เลย กลับกันเทียบกับอักษรพุทธองค์มังกรแท้จริงแล้ว อักษรเขาห่วยจนมองไม่ได้ จะชนะได้ไหมไม่มีความหมาย อีกอย่างคนพวกนี้เป็นคนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีน ได้ยินมาว่าพวกเขาเคยเห็นรูปศิลปะพู่กันจีนของฟางเจิ้งบนอินเทอร์เน็ตมาแล้ว ในเมื่อพวกเขาไม่ชอบตนขนาดนี้ก็อาจจะไม่สวยจริงๆ ก็ได้

พอคิดได้ดังนั้นจึงยังไม่คิดว่าตนจะชนะได้จริงๆ แต่เขาคำนวณไว้แล้ว ไม่ว่าแพ้หรือชนะวัดเอกดรรชนีจะต้องออกข่าวอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ให้ทุกคนรู้ว่ามีที่แบบนี้อยู่ ส่วนชื่อเสียงเสื่อมเสีย? ก็ให้มันเสียไปสิ…

“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดมากแล้ว คอยดูความสามารถดีกว่า! ยังไม่ได้เริ่มประลองเลยก็พูดไม่หยุดแล้ว พวกแกคิดว่ามันน่าสนุกรึไง? แล้วก็พวกที่สวมกางเกงครึ่งเดียวไม่หนาวเรอะ? ถ้าไม่หนาวก็คุยกันอีกสักชั่วโมง!” ตอนนี้เองพั่งจื่อทนมองต่อไม่ได้จึงตะโกนเสียงดัง

ถ้าเขาไม่พูดยังพอว่า แต่ถ้าพูดเมื่อไร พวกที่กางเกงถูกฉีกขาดพลันรู้สึกถึงลมหนาว ขาแทบจะเย็นเยือก รีบเข้าไปใกล้กองไฟ ขณะเดียวกันมีคนออกไปหาฟืน แต่หน้าหนาวแบบนี้ หิมะเพิ่งตกเสร็จ การจะหาฟืนไม่ใช่เรื่องง่าย ดีที่บนเขามีหญ้าเยอะและก็ไม่มีคนฟันทิ้ง พอกวาดหิมะออก หญ้าแห้งพวกนี้จึงมีประโยชน์

แต่ว่านี่ไม่ใช่แผนระยะยาว เห็นคนพวกนี้หนาวจะเห็นหมาแล้ว เจียงซงอวิ๋นจึงไม่พูดมากอีก แต่ยืนขึ้นกล่าวว่า “ในเมื่อสองฝ่ายไม่มีข้อคิดเห็นอะไร ถ้าอย่างนั้นฉันขอประกาศอย่างเป็นทางการ เริ่มการประลองได้!”

……………………………………….

[1] ทำนองรำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็ก เซ็กเพ็กหรือเรียกอีกอย่างว่ายุทธการผาแดง เป็นสงครามสำคัญในปลายราชวงศ์ฮั่น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสามก๊ก