ตอนที่ 80 ไต้ซือเล่นมือถือ

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

พูดจบโอวหยางหวาไจสูดลมหายใจเข้าลึก พลันสงบนิ่ง จากนั้นหยิบพู่กันขึ้นมาแต้มน้ำหมึก บิดคอ เขียนอักษรลงไป ตัวอักษรประหนึ่งลมคลั่งถาโถมพืชหญ้า เป็นหญ้าพลิ้วไหวในตัวอักษรหวัด! เขียนมาตัวหนึ่ง ผู้ชมต่างสงบลง เพ่งมองอักษรของโอวหยางหวาไจด้วยสมาธิทั้งหมด ราวกับถูกอักษรนั้นสูบวิญญาณ

พั่งจื่อกับโหวจื่อก็เข้าไปใกล้ ทว่าสองคนไม่เข้าใจอักษร แต่เห็นอักษรของโอวหยางหวาไจแล้วมีความรู้สึกฮึกเหิมเหมือนมีพายุระดับสิบสองพัดผ่าน พืชหญ้าสะบัดไหวตามแรงลม ความรู้สึกนั้นสมจริงมาก! สองคนมองตากัน ต่อให้ไม่เข้าใจอักษร แต่กลับรู้ว่าอักษรนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ!

แต่พั่งจื่อก็ยังเอ่ยเหมือนแฝงคุณธรรมเอาไว้ “อะไรกัน เขียนเหมือนกับแมลงสาบตะกาย มองไม่ออกว่าเป็นอักษรสักนิด…”

“มิตรสหายท่านนี้ นี่คือการประลองศิลปะพู่กันจีน ห้ามส่งเสียงดัง ห้ามรบกวนผู้ประลอง” เจียงซงอวิ๋นตำหนิทันที

พั่งจื่อถลึงตาโต จะเข้าไปโต้เถียง แต่โหวจื่อดึงไว้ อู๋ฉางสี่ยังพูดเสียงเบา “นี่คือกฏ อย่าก่อความวุ่นวาย อยากช่วยไต้ซือก็เงียบหน่อย”

พั่งจื่อถึงหุบปากลง เหลือบตามองฟางเจิ้งแวบหนึ่งแล้วก็อึ้งไป เห็นฟางเจิ้งควักมือถือออกมาเล่น! ไม่ได้เขียนอักษร! พู่กันยังวางอยู่บนโต๊ะ ยังไม่ถอดปลอกพู่กันออก ส่วนหมึก? ยังไม่ขยับเลย!

“เวรเอ๊ย ไต้ซือทำอะไรน่ะ? เล่นมือถือในการประลองเนี่ยนะ? ฉันว่าแปลกๆ นะ หรือว่าไต้ซือจะยอมแพ้?” พั่งจื่อพูดโดยจิตใต้สำนึก

สิ้นเสียงทำให้ทุกคนตกใจสะดุ้งโหยง มองฟางเจิ้งโดยไม่รู้ตัว

ทว่าเจียงซงอวิ๋นกลับต่อว่า “มิตรสหายท่านนี้ อย่าส่งเสียงดังอีก ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไล่นายออกไป!”

พั่งจื่อรู้ว่าตนเป็นฝ่ายผิดจึงไม่ส่งเสียง

เจียงซงอวิ๋นเหลือบตามองโอวหยางหวาไจแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายเหมือนคลุ้มคลั่ง ดวงตาแดงก่ำ ราวกับว่าทั้งตัวเข้าไปอยู่ในสภาวะเสียสติ ไม่ได้ยินเสียงตะโกนของพั่งจื่อเลย! อักษรก็ดุจดั่งลมคลั่ง ปรากฏบนกระดาษอย่างรวดเร็ว เขียนไปทีละตัวสวยมากจริงๆ!

ซุนก้วนอิงหัวหน้าสมาคมศิลปะพู่กันจีนอำเภอซงอู่อีกฝั่งเห็นดังนั้นก็อดชมมิได้ “สมกับเป็นผู้มีชื่อเสียง! ไม่ว่าข้างนอกจะวุ่นวายแค่ไหนก็ยังไม่สะทกสะท้าน! เขียนอักษรแค่ไม่กี่สิบตัวแต่เข้าไปอยู่ในสภาวะนี้ได้ พลังของอักษรหลอมรวมกันแล้วเป็นอักษรดี สมกับเป็นนักเขียนพู่กันจีนชื่อดัง!”

เจียงซงอวิ๋นปลงอนิจจัง “อักษรของคุณโอวหยางดีจริงๆ แถมยังดีกว่าเมื่อก่อนอีก! น่าเสียดายหลายปีมานี้คุณโอวหยางเขียนอักษรให้ทุกคนชื่นชมน้อยมาก ถ้าครั้งนี้ไม่ใช่เพราะอู๋ฉางสี่ก่อความวุ่นวาย ฉันก็ไม่รู้ว่าอักษรเขาจะอยู่ระดับไต้ซือของประเทศแล้ว! เหอะๆ ดูท่าครั้งนี้ที่ฉันส่งเสริมการประลองจะถูก ครั้งหน้าในการประลองศิลปะพู่กันจีนระดับประเทศ เมืองเฮยซานพวกเราจะต้องมีหน้ามีตาอย่างแน่นอน”

ซุนก้วนอิงพยักหน้าติดกัน “จริงๆ นะ การประลองศิลปะพู่กันจีนระดับประเทศครั้งนี้เมืองเฮยซานของเราจะต้องเฉิดฉาย!”

เจียงซงอวิ๋นพยักหน้า ยิ้มจนปากแทบจะไม่หุบ ก่อนมองฟางเจิ้งแวบหนึ่ง ส่ายหน้าเล็กน้อย “หลวงจีนนี่ไม่รู้ทำอะไร เวลาประลองไม่ประลองดันเล่นมือถือ เขาคงยอมแพ้จริงๆ แล้วแหละ”

ซุนก้วนอิงพูดต่อ “พวกที่ชอบเอาใจฝูงชนเพื่อได้รับความเชื่อถือแบบนี้จะมีความสามารถอะไร? ช่างเถอะ วันนี้โชคดีได้เห็นอักษรของคุณโอวหยางก็มาไม่เสียเที่ยวแล้ว ถือว่านี่เป็นคุณูปการเขาแล้วกัน”

เจียงซงอวิ๋นพยักหน้า “จริงๆ ถ้าไม่ใช่ว่าเขาก่อเรื่อง พวกเราคงไม่มีดวงได้เห็นอักษรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้”

คนอื่นๆ ก็เห็นในจุดนี้จึงพูดคุยกันเบาๆ

“เฮ้ย เณรนั่นไม่เขียนอักษร ทำไมเล่นมือถือล่ะ?”

“ฮ่าๆ คงรู้ว่าสู้คุณโอวหยางไม่ได้เลยยอมแพ้ล่ะสิ”

“อักษรของคุณโอวหยางเหมือนเทพเขียนเองเลย สวยมาก มีพลังมากด้วย! คงอยู่ระดับเดียวกับปรมาจารย์ระดับประเทศแล้วมั้ง?”

“อักษรแบบนี้ ถ้าเป็นฉันก็ยอมแพ้เหมือนกัน เณรก็ฉลาด รู้ว่าอักษรตนเหมือนอุจจาระสู้อักษรคุณโอวหยางไม่ได้ เลยไม่เขียนซะเลย อย่างที่เรียกกันว่าไม่มีเปรียบเทียบก็ไม่เจ็บตัว”

“ใช่ ไม่เขียนก็ยังรักษาหน้าไว้ได้ ถ้าเขียน พอเทียบกันแล้ว หึๆ…”

…………

โอวหยางเฟิงหวาได้ยินทุกคนคุยกันก็แอบมองฟางเจิ้งแวบหนึ่ง เห็นฟางเจิ้งเล่นมือถือจริงๆ จึงส่ายหน้าเล็กน้อย ‘ตอนแรกคิดว่าเณรนี่จะน่าสนใจ จะแตกต่างกับทุกคนบ้าง ตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับเติงถูจื่อ[1] ดีแต่ชื่อแต่ปลอมเปลือก น่าเสียดายภายนอกก็ดูดี จิตใจทำให้พระโพธิสัตว์สกปรก มาบวชได้ยังไงกัน?’

จิ่งเหยียนขมวดคิ้วมองฟางเจิ้ง เฉินจิ้งข้างๆ พูดเสียงเบาว่า “หลวงจีนนี่คงพอแล้วจริงๆ มาเล่นมือถือเวลาประลองแบบนี้ ไม่มีแม้แต่ความกล้าในการประลอง ขยะจริงๆ”

จิ่งเหยียนพยักหน้าเห็นด้วยกับเฉินจิ้งเป็นครั้งแรก “ใช่ น่าเสียดายภายนอกดูดี ตอนแรกคิดว่าเขาจะต่างไปบ้าง ตอนนี้คงมีความสามารถอยู่เล็กน้อย แค่อยากเล่นตลกเพื่อสร้างชื่อเสียง! อยากให้พวกเราสร้างชื่อให้เหรอ ต่อไปจะให้เขามีชื่อเสียงแน่!”

จิ่งเหยียนพูดจบก็ตรึกตรองอยู่ในใจว่าจะขยายด้านมืดของวัดเอกดรรชนีให้ใหญ่ที่สุดยังไง! เธอจะทำให้วัดนี้เหม็นโฉ่จนถึงที่สุด!

พวกชาวบ้านไม่เข้าใจอักษร แต่ก็รู้ว่าอักษรของโอวหยางหวาไจสวยงาม แต่ฟางเจิ้งกลับเล่นมือถือ เห็นได้ว่าสถานการณ์แปลกๆ ไปเล็กน้อย ถึงคนนอกจะเป็นคนใหญ่โต ทุกคนต้องให้เกียรติก็ตาม แต่ฟางเจิ้งเป็นเด็กจากหมู่บ้าน ตอนนี้เขาเสียเปรียบย่อมร้อนใจเป็นธรรมดา

หวังโอ้วกุ้ยก็เหมือนกัน มองอยู่นานจนอดใจไม่ไหว ปรี่เข้าไปพูดด้วยความโมโห “ฟางเจิ้ง แกทำอะไรอยู่หา? ประลองสิ! แกไม่รู้เหรอ? ยังมีอารมณ์มาเล่นมือถืออีก? ต่อให้อักษรแกไม่สวยก็ต้องเขียน! เป็นลูกผู้ชายแพ้ได้ แต่จะหนีไม่ได้ จะหนีไม่ได้! เจอกับความลำบากแล้วหนีเขาเรียกว่าอะไร?!”

ฟางเจิ้งงุนงง เขาหนี? หนีการประลอง? อะไรกันเนี่ย!

“อาหวัง ผมไม่ได้หนี” ฟางเจิ้งอธิบาย

“ไม่ได้หนีแล้วแกเล่นมือถือทำไม? เอามือถือมานี่ ประลองจบแล้วเดี๋ยวคืนให้” หวังโอ้วกุ้ยทำท่าทางจะแย่งมือถือ

ฟางเจิ้งรีบหลบแล้วยิ้มแห้งๆ “อาหวัง อย่ามาแย่งมั่วซั่วสิ ผมถือมือถือไว้มันต้องมีประโยชน์”

“ประลองอักษร แกถือมือจะมีประโยชน์อะไร?” หวังโอ้วกุ้ยถาม

“ฮ่าๆ สงสัยไต้ซืออยากหาอักษรดีๆ มาเลียนแบบมั้ง” ชายหน้าแบนอีกฝั่งพูดอย่างมีนัยแอบแฝง

“เอาล่ะ คนที่กางเกงไม่เหลือแม้แต่ครึ่งเดียวอย่าพูดเลย ลมเย็นขนาดนี้ไม่หนาวไข่รึไง?” ซ่งเอ้อโก่วรีบตรงเข้ามา พูดประโยคเดียว ทำให้คนหน้าแบนอึดอัดใจจนแทบจะคลำหาอาวุธมาใช้กับซ่งเอ้อโก่ว แต่เห็นซ่งเอ้อโก่วมีท่าทีอันธพาลจึงล้มเลิกความคิดทันที คิดในใจว่า ‘ฉันเป็นปัญญาชน จะมาต่อยตีกับคนหยาบคายไม่ได้ เพราะจะเป็นที่อับอายแก่ปัญญาชน…’

………………………………….…..….

[1] เติงถูจื่อ เป็นบุคคลประวัติศาสตร์จีนที่ถูกมองว่าเป็นคนทะลึ่งลามก