ฟางเจิ้งไม่สนใจคนหน้าแบน แต่พูดกับหวังโอ้วกุ้ย “อาหวัง ผมเรียนมาน้อย เคยได้ยินกลอนกวีมาบ้าง แต่ไม่ได้เรียนมาหลายปีเลยลืมไปนานแล้ว ถ้าไม่หาดูสักหน่อย อาจะให้ผมเขียนอะไรล่ะ?”

หวังโอ้วกุ้ยอึ้งไป โอวหยางเฟิงหวากับชุยจิ่นก็อึ้ง เจียงซงอวิ๋นอึ้ง ซุนก้วนอิงอึ้ง…

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็เหม่อลอย จากนั้นระเบิดดังโครม!

“เจ้านี่ท่องทำนองรำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็กไม่เป็น? ฮ่าๆ…เขาเรียนหนังสือมากี่วันกันแน่เนี่ย?”

“เรียนไม่รู้เรื่องแล้วยังอยากแสร้งเป็นปรมาจารย์อีก? วะฮ่าฮ่า…”

“อยากเป็นนักเขียนพู่กันจีนผู้โด่งดัง? ฮ่าๆ…ดึงมาตรฐานการเข้ามาเป็นนักเขียนพู่กันจีนของเราให้ตกต่ำเกินไปรึเปล่า? พอได้แล้วละ”

“นี่…น่าตลกชะมัด! ขายขี้หน้า!” ซุนก้วนอิงถอนหายใจ ไม่ว่าจะพูดยังไง วัดเอกดรรชนีก็อยู่ในอำเภอซงอู่ ฟางเจิ้งทำขายหน้า เขาก็รู้สึกขายหน้าไปด้วย

ตอนนี้เจียงซงอวิ๋นไม่มีใจแขวะฟางเจิ้งแล้ว แต่พูดด้วยความเห็นใจว่า “ไอ้หนู…ช่างมันเถอะ ขี้เกียจจะพูดแล้ว”

ฟางเจิ้งพูดแบบนี้ หวังโอ้วกุ้ยจะพูดอะไรได้อีก จึงได้แต่ไปรออยู่ข้างๆ

ทว่าตอนนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นหวังโอ้วกุ้ย ซ่งเอ้อโก่ว หรือชาวบ้านคนอื่นๆ กระทั่งพั่งจื่อและโหวจื่อก็เริ่มสงสัยแล้วว่าฟางเจิ้งเอาชนะไม่ได้ อู๋ฉางสี่ที่มั่นใจว่าฟางเจิ้งต้องชนะยังกังวลเล็กน้อย อักษรที่ไม่เคยเขียนมาก่อนเทียบกับอักษรที่ฝึกเขียนมานานแล้วย่อมต่างกันอย่างแน่นอน

โอวหยางหวาไจฝึกฝนมาหลายปี รำลึกนู่เฉียวโหยอดีตเซ็กเพ็กก็เป็นผลงานที่มีชื่อเสียง เขียนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว

เมื่อมองฟางเจิ้งอีกครั้ง อย่าว่าแต่เคยเขียนเลย เคยอ่านแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง! ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ต่อให้มีพื้นฐานดีก็ต้องมีหักคะแนน เทียบกันแบบนี้ อู๋ฉางสี่เริ่มกังวลเล็กน้อยแล้ว ถ้าแพ้ก็จ่ายล้านหยวนนะ! เขาเกิดความรู้สึกเข้าตาจน ยิ่งใจคอไม่ดี นั่งไม่เป็นสุข

ฟางเจิ้งอ่านกวีทั้งหมดอย่างละเอียด จดจำไว้ในใจ สูดลมหายใจเข้าลึกและหลับตาลง เขาพบว่าจำได้ทั้งหมดแล้วในรวดเดียว!

‘เยี่ยม การทำความเข้าใจเพิ่มขึ้นมากจริงๆ! เหอะๆ ไม่ได้กินข้าวผลึกอย่างเปล่าประโยชน์ ไม่ได้ท่องพุทธคัมภีร์อย่างเสียเปล่าแล้ว ดี! ตอนนั้นถ้ามีเจ้าสิ่งนี้อยู่ ถ้าผลการเรียนยังไม่ติดระดับอำเภออีก หลวงตาคงหัวเราะจนฟันร่วงแน่’ ฟางเจิ้งนึกถึงหลวงจีนหนึ่งนิ้ว ในใจพลันอบอุ่น คำเย้ยเยาะถากถางของคนข้างนอกเหล่านั้นกลับกลายเป็นไม่สำคัญอีกแล้ว

เมื่อหยิบพู่กันขึ้นมา ฟางเจิ้งก็ต้องตะลึงงันไปอีกครั้ง เขาใช่พู่กันเป็น แต่ฝนหมึกทำยังไง? อาตมาทำไม่เป็น!

ทุกคนเห็นว่าในที่สุดฟางเจิ้งก็หยิบพู่กันเตรียมจะเขียนแล้ว! ทันใดนั้นทุกคนต่างเพ่งสมาธิ ไม่ว่าเป็นคนที่อยากดูการแสดงละครหรือคนที่มีความหวังอันน้อยนิดต่างก็ยืดคอขึ้น รอดูว่าเณรน้อยจะเขียนอักษรบ้าบออะไรออกมา

แต่ผลสุดท้ายฟางเจิ้งถือพู่กันแล้วก็นิ่งอึ้งไป ทุกคนงุนงงอีกครั้ง เจ้านี่จะใช้อุบายอะไรอีก?

อู๋ฉางสี่ที่นั่งไม่ติดพลันตรงเข้ามาถาม “ไต้ซือ เอ่อ…ทำไมไม่เขียนล่ะครับ?”

ฟางเจิ้งยิ้มเจื่อน “คือ…ฝนหมึกยังไงนะ?”

อู๋ฉางสี่เวียนหัวจะล้มลง ก่อนถามไปตามจิตใต้สำนึก “เมื่อก่อนไต้ซือไม่เคยเขียนพู่กัน ไม่เคยฝนหมึกเลยหรือครับ?”

ฟางเจิ้งตอบอย่างสบายใจ “พูดจริงๆ นะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขียนพู่กันเลย”

พรวด!

โหวจื่อที่เงียบสงบมาตลอดได้ยินดังนั้นก็พ่นน้ำออกมาเป็นสายรุ้ง พูดว่า “อะไรนะ? ไต้ซือ ไม่เคยเขียนพู่กันมาก่อน?”

เห็นฟางเจิ้งพยักหน้า ในใจโหวจื่อพลันเย็นเยือกไปครึ่งหนึ่ง! เขาเป็นคนออกเงินหนึ่งล้านเลยนะ! ถึงจะไม่ใช่ตัวเลขที่มากมายอะไรสำหรับเขา แต่ก็ปวดใจอยู่ดี!

พวกเจียงซงอวิ๋นพูดไม่ออก หลวงจีนที่อู๋ฉางสี่โม้ไว้คนนี้ไม่เคยเขียนพู่กันจีนมาก่อน! นี่…ยังต้องประลองกันอีกหรือ? ใครก็รู้ว่าพู่กันจีนไม่ใช่ปากกาลูกลื่น ไม่ใช่ว่าใครจะเขียนก็ได้ มีความเบาหนักช้าและเร็วของการลงพู่กันตัดสินความหนาบางของอักษรเป็นต้น…การเขียนอักษรดีกับการใช้พู่กันเป็นหรือไม่นั้นมีผลอย่างมาก!

เจียงซงอวิ๋นขี้เกียจหัวเราะเยาะฟางเจิ้งแล้ว แต่กลับพูดด้วยความเห็นใจเล็กน้อย “เณร จริงๆ เลย…ถ้าเขียนพู่กันไม่เป็นแล้วจะแข่งอะไร?”

อู๋ฉางสี่พลันนึกอะไรออกจึงพูดขึ้น “ไต้ซือเก่งเรื่องเขียนบนหิมะ เขียนบนหิมะได้!”

“อู๋ฉางสี่ เขียนบนหิมะกับกระดาษมันเทียบกันได้รึไง? สิ่งที่เรียกว่ายุติธรรมคือตัดสินแพ้ชนะในสภาพการณ์เดียวกัน อีกอย่างระดับโลกก็ดี ในประเทศก็ดี มีการประลองที่ไหนเขียนบนหิมะตัดสินว่าอักษรใครดีกว่ากันเหรอ?” เจียงซงอวิ๋นปฏิเสธอย่างเด็ดขาด โอวหยางหวาไจชนะแน่นอนในสายตาเขา สามเณรนี่ไม่มีโอกาสชนะเลย เขาไม่อยากเปลืองความคิดหาวิธีอื่น

คนอื่นๆ ก็พากันพูดขึ้น ข้อเสนอของอู๋ฉางสี่จึงถูกกลบลงไป

“ทำยังไงดี? เหล่าอู๋ ไต้ซือใช้พู่กันไม่เป็นไม่เท่าไร แต่ฝนหมึกไม่เป็นนี่สิปัญหา ไม่มีหมึกแล้วจะเขียนยังไง?” โหวจื่อพูด

“ฝนหมึกมันจะยากอะไร? ฉันฝนเอง!” พั่งจื่อรูดแขนเสื้อขึ้นจะเดินเข้าไป แต่อู๋ฉางสี่ดึงไว้เสียก่อน “นายเคยฝนเหรอ?”

พั่งจื่อกลอกตามองบน “สมัยนี้แล้วใครจะใช้พู่กันเขียนกัน ถ้าจะเขียนก็ต้องใช้น้ำหมึก ฉันไม่เคยฝนหมึกหรอก แต่ก็แค่ฝนไม่ใช่เหรอ จะยากแค่ไหนกันเชียว?”

“นาย…นายมันไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ! การฝนหมึกต้องมีความพิถีพิถันมาก ถ้าออกแรงเยอะจะทำให้เสียเอาง่ายๆ ตรงมุมเสียง่าย น้ำเยอะก็เขียนออกมาจาง น้ำน้อยอักษรข้น ไม่ว่ายังไงอักษรที่เขียนออกมาก็จะไม่มีคุณค่า! ไม่อย่างนั้นนายคิดว่าทำไมโอวหยางหวาไจถึงไม่ให้ลูกสาวเขาฝนหมึก หรือให้คนอื่นฝนแทน? คนที่ฝนหมึกข้อแรกต้องเชี่ยวชาญ ข้อสองต้องเข้าใจนิสัยของผู้เขียน รู้การเปลี่ยนความหนาบางของหมึก ข้อสามสำคัญที่สุด จะต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้!” อู๋ฉางสี่ต่อว่า

พั่งจื่อกับโหวจื่อตะลึงค้าง แบบนี้แล้วพวกเขาไม่กล้าเข้าไปจริงๆ โหวจื่อจึงพูดขึ้น “อู๋ฉางสี่ นายไป”

อู๋ฉางสี่ยิ้มแห้ง “ฉันก็รู้แค่ทฤษฎีแหละ ไม่เคยศึกษามาก่อน…หนึ่งล้านหยวนเชียวนะ ฉันไม่กล้าทำหรอก”

ฟางเจิ้งกลุ้มใจมากเหมือนกัน หยิบแท่งหมึกขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะลงมือยังไง เขาได้ยินที่อู๋ฉางสี่พูด คิดว่าฝนๆ ไปก็พอ ตอนนี้เขาลงมือไม่ได้แล้ว อักษรพุทธองค์มังกรสอนเขาแค่เขียนอักษรยังไง แต่ไม่ได้สอนเขาฝนหมึกด้วย!

“ฉันเอง” ตอนนี้เอง มีคนคนหนึ่งเดินมาอยู่หน้าฟางเจิ้ง

ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นก็นิ่งอึ้งไป นั่นคือจิ่งเหยียน!

“เณร ขอบอกไว้ก่อนนะ ฉันไม่ชอบหน้านาย อีกอย่างนายกล้าปล่อยหมาป่ามากัดฉัน ความแค้นครั้งนี้ฉันจะจำเอาไว้ชั่วชีวิต! ฉันออกมานี่ไม่ได้จะช่วย แค่รู้สึกว่าภูเขาร้างนี่มันหนาวเกินไป ไม่อยากเล่นกับนายแล้ว รีบจบๆ เรื่องซะ ทุกอย่างจะได้ราบรื่น ดังนั้นจะให้ฉันฝนหมึกรึเปล่าขึ้นกับอยู่นายแล้ว” จิ่งเหยียนเชิดหน้าขึ้น พูดด้วยความหยิ่งยโส

“ไต้ซือ อย่าให้เธอฝนหมึก การฝนหมึกสำคัญมาก! ถ้าเธอคิดไม่ดีท่านต้องแพ้แน่!” อู๋ฉางสี่ส่งเสียงขึ้นมา

…………………………………..