ตอนที่ 82 อักษรของไต้ซือดั่งภาพวาด

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

จิ่งเหยียนชำเลืองตามองอู๋ฉางสี่อย่างดูถูกทีหนึ่ง จากนั้นมองฟางเจิ้งเหมือนกำลังยั่วยุ “เณร นายกล้ารึเปล่า?”

เฉินจิ้งเห็นดังนั้นก็แอบหัวเราะในใจ ‘จิ่งเหยียนทำได้ดีมาก ถ้าก่อกวนสักหน่อยหลวงจีนนี่จะต้องแพ้แน่ ฮ่าๆ…ถึงตอนนั้นจะกลายเป็นเรื่องตลกจริงๆ! กล้าปล่อยหมาป่ามากัดฉัน? ฉันก็จะให้แกพ่ายแพ้ชื่อเสียงย่อยยับ!’

ทุกคนเช่นเจียงซงอวิ๋น ชุยจิ่น โอวหยางเฟิงหวามองฟางเจิ้งอย่างตึงเครียด แต่ไม่มีใครคิดว่าฟางเจิ้งจะให้จิ่งเหยียนฝนหมึกให้ ถึงยังไงเรื่องนี้ก็ใหญ่เกินไป แต่ว่า…

ฟางเจิ้งประนมสองมือ ยิ้มบอกอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนสีกาแล้ว”

พูดจบก็พลันเกิดเสียงดังฮือฮา!

“หลวงจีนนี่บ้ารึเปล่า?”

“นี่…”

จิ่งเหยียนก็อึ้งไปเหมือนกัน เธอไม่ได้คิดจะช่วยฟางเจิ้งฝนหมึกจริงๆ แค่หาโอกาสยั่วยุหน่อยเท่านั้น แต่เธอไม่อยากเชื่อว่าฟางเจิ้งจะกล้าให้เธอฝนหมึกให้จริง

แต่ฟางเจิ้งดันตอบตกลง! ตอบรับจนทำเอาเธอตั้งตัวไม่ทัน!

เธอจะไปรู้ได้ยังไงว่าฟางเจิ้งก็จนปัญญาแล้วเหมือนกัน นอกจากจิ่งเหยียนแล้ว คนอื่นๆ ช่วยไม่ได้เลย ดังนั้นรู้ทั้งรู้ว่าไม่มีประโยชน์แต่ก็ยังมีความหวังเล็กน้อย อีกทั้งฟางเจิ้งยังไม่คิดว่าจิ่งเหยียนจะทำร้ายเขาอย่างเปิดเผยต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ แบบนั้นฟางเจิ้งไม่เสียหน้า แต่จะเป็นตัวจิ่งเหยียนเอง ด้วยนิสัยหยิ่งยโสของคุณหนูใหญ่คนนี้ เกรงว่าคงไม่ยอมเสียหน้าแน่ๆ

จิ่งเหยียนจ้องฟางเจิ้ง เห็นอีกฝ่ายยอมให้เธอฝนหมึกจริงๆ ก็ถลึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ จากนั้นก้มหน้าลงฝนหมึกให้

เติมน้ำไปเล็กน้อย ฝนเบาๆ หมุนแท่งหมึกเป็นวงกลมในมือ ไม่นานน้ำก็กลายเป็นสีดำเข้ม…

ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งมีเสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้น!

“อักษรดี!”

“คุณโอวหยาง เขียนได้สวยจริงๆ! สวยมากๆ!”

“สมบูรณ์แบบ!”

“สวย!”

จิ่งเหยียนขมวดคิ้ว ก่อนมองไปโดยจิตใต้สำนึก เห็นโอวหยางหวาไจเขียนเสร็จแล้ววางพู่กันลง โอวหยางเฟิงหวากับชุยจิ่นยกกระดาษขึ้นแสดง อักษรข้างบนราวกับพายุคลั่งโถมพืชหญ้า แต่กลับแฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งและยิ่งใหญ่ในตัวเอง มีความโบราณอยู่หลายส่วน มองแวบแรกจะอ่านกวีไปโดยไม่รู้ตัว ในใจเอ่อล้นไปด้วยความหลงใหลในยุคสมัยโบราณ เลือดเร่าร้อนโหมซัด! เป็นอักษรที่ดีจริงๆ!

เจียงซงอวิ๋นตบโต๊ะยืนขึ้นมา “อักษรดี! อักษรดี! อักษรดี! อักษรดี! ฮ่าๆ…ยินดีด้วยที่คุณโอวหยางพัฒนาไปอีกขั้น ต้องโดดเด่นในงานศิลปะพู่กันจีนทั่วประเทศในปีนี้อย่างแน่นอน!”

“ขอบคุณคำชมจากหัวหน้าสมาคมครับ” โอวหยางหวาไจไม่เกรงใจ รับคำชมจากเจียงซงอวิ๋นไปตรงๆ เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจในอักษรตัวเองอย่างมาก ส่วนฟางเจิ้ง? เขาไม่มองอีกฝ่ายมาตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ เขาผู้สูงศักดิ์ไม่มองฟางเจิ้งเป็นคู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ การประลองครั้งนี้ พริบตาที่เขาเขียนเสร็จ เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าจะต้องชนะแน่นอน!

ไม่เพียงแค่โอวหยางหวาไจ เจียงซงอวิ๋น ซุนก้วนอิงและคนจากสมาคมพู่กันจีนก็ยังคิดแบบนี้

แต่ก็มีคนไม่พอใจเช่นกัน พั่งจื่อตะโกนเสียงดัง “หุบปากสิโว้ย!”

“สหายท่านนี้ นายทำอะไร?” เจียงซงอวิ๋นถามด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย

พั่งจื่อแค่นยิ้ม “ทำอะไรล่ะ? เมื่อกี้ใครบอกนะว่าตอนประลองห้ามส่งเสียงดัง เดี๋ยวจะกระทบถึงผู้ประลอง! ทำไม? ที่พูดมาเมื่อกี้กลายเป็นลมตดแล้วรึไง?”

โหวจื่อพูดเสริมทันที “สำคัญคือลมตดจากปากดันสูบกลับไปได้ด้วย เก่งกาจจริงๆ! นับถือ!”

เจียงซงอวิ๋นหน้าแดงก่ำ เมื่อครู่เขาเพิ่งด่าไป ตอนนี้ถูกยอกย้อนกลับจึงเงียบปากทันใด ไม่รู้จะตอบโต้ยังไง

ตอนนี้เอง คนหน้าแบนพูดขึ้นว่า “ชิ! คุณโอวหยางเขียนอักษรนั่นคือศิลปะ แต่หลวงจีนนี่ใช้พู่กันไม่เป็นเลย ยังมาบอกว่าเขียนอักษรอีกรึไง? จะเงียบหรือไม่เงียบมีประโยชน์อะไรด้วย หรือว่าพวกนายคิดว่าเขาจะชนะได้?”

สิ้นเสียง พั่งจื่อกับโหวจื่อเหมือนแรงตก พวกเขาก็ไม่คิดว่าฟางเจิ้งจะมีโอกาสชนะเหมือนกัน

คนหน้าแบนเห็นดังนั้นก็ทะนงตน “ดังนั้นนะ ถ้าพวกนายไม่อยากขายหน้าก็ให้หลวงจีนนั่นรีบไปซะ ไม่เขียนก็ถือว่าไม่ขายหน้า…”

พั่งจื่อกับโหวจื่อไม่ยอม ทว่าอีกฝ่ายพูดเหมือนจะมีเหตุผล พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะโต้ตอบยังไง

จิ่งเหยียนกวาดสายตามองแวบหนึ่งแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆ ยิ่งเธอไม่ชอบหลวงจีนนี่สักเท่าไรก็ยิ่งอดใจถามไม่ได้ “เณร ทุกคนต่างนับถืออักษรของคุณโอวหยางกันทั้งนั้น แถมเขายังฝีกมาหลายปี จะต้องเป็นปรมาจารย์ระดับประเทศแน่นอน นายจะประลองต่อไหม? ขอโทษที่พูดตรงๆ นะ นายไม่มีหวังจะชนะเลย…หืม!?”

ช่วงที่จิ่งเหยียนมองฟางเจิ้งก็ตะลึงค้าง เห็นฟางเจิ้งที่ตอนแรกมองเธออย่างอบอุ่น แววตาพลันเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าราวกับบึงน้ำใสโปร่งแสง! ประกอบกับจีวรขาวบนร่าง ผิวพรรณขาวเนียน หัวโล้นสว่างเกลี้ยงเกลา ฉากหิมะขาวรอบตัว ทั้งตัวเขากำลังแผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์พิลึกพิลั่น!

คนหน้าแบนทางนั้นยังประจบโอวหยางหวาไจ เจียงซงอวิ๋นกำลังดึงซุนก้วนอิงให้ชมอักษรของโอวหยางหวาไจ พวกชาวบ้านไม่เข้าใจ เห็นทุกคนกำลังพูดให้ร้ายชื่อเสียงฟางเจิ้งเลยเกิดความไม่พอใจ ไม่ว่าจะพูดยังไงฟางเจิ้งก็เป็นคนบ้านพวกเขา! ดังนั้นชาวบ้านไม่น้อยจึงเริ่มโต้เถียงคนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีน สองฝ่ายปะทะคารมกันดุเดือดมาก จนไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของฟางเจิ้ง

มีเพียงโหวจื่อ พั่งจื่อ รวมถึงอู๋ฉางสี่ที่จ้องฟางเจิ้งตลอดที่พบการเปลี่ยนแปลง เห็นฟางเจิ้งพลันสว่างไสวอย่างยิ่ง ในใจสามคนนี้ร้องขึ้นมาพร้อมกัน แม้จะไม่เข้าใจอักษร แต่ความรู้สึกแบบนี้จากฟางเจิ้งทำให้สามคนมีความหวังเสี้ยวหนึ่งอย่างน่าประหลาด!

เวลานี้เอง ฟางเจิ้งขยับแล้ว เขากดพู่กันลง แต้มหมึกที่จิ่งเหยียนฝนก่อนจะลงพู่กัน!

พริบตานั้น โหวจื่อ พั่งจื่อ อู๋ฉางสี่รวมถึงจิ่งเหยียนเหมือนเห็นสายฟ้าสายหนึ่งผ่าลงมาจากฟ้าดังสนั่น! ภาพตรงหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ…

มหานทีเคลื่อนสู่บูรพา กระแสคลื่นล้างสิ้นวีรชนพันปี…

ครืน…

มวลอากาศระเบิดออก สายน้ำจากมหานทีเหมือนพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ข้ามผ่านฟ้าดิน ท่ามกลางเสียงน้ำดังกระหึ่มคลับคล้ายเห็นวีรบุรุษในสมัยสามก๊ก!

ป้อมปราการจีนโบราณ ผู้คนกล่าวว่าคือผาแดงของจิวยี่ยุคสามก๊ก!

หินดาษดาทะลวงฟ้า มหาคลื่นธารากระแทกฝั่ง ม้วนกระหน่ำดั่งก้อนเมฆา!

……

ภาพตรงหน้าหลายคนเปลี่ยนไปอีกครั้ง บนฝั่งมหานทีมีคนเพิ่มมาคนหนึ่ง สวมผ้าโพกหัวขนนก บุคลิกองอาจห้าวหาญ ยามยิ้มเอ่ยพายุหินปลิวว่อน สะเทือนกระแทกฝั่ง ลูกคลื่นประหนึ่งหิมะขาว!

เกิดสงครามขึ้น ปรากฏเรือรบ ลูกศรเพลิงเกลื่อนฟ้า ย้อมโลกจนเป็นสีแดงฉาน จุดชนวนมหาธารา…

เสียงเปลวเพลิงลุกโชตช่วง เสียงตะโกนเข่นฆ่า เสียงอาวุธกระทบกัน ร่างวีรบุรุษจำนวนมากขยับวูบผ่านดวงตา! พวกเขาต่างเกิดความรู้สึกเลือดร้อนรุ่มไปทั่วร่าง ดวงตาแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว!

แต่สุดท้ายอาการเลือดร้อนทั้งหมดถูกเสียงน้ำมหานทีกลบ สุดท้ายกลายเป็นความว่างเปล่า จางหายไปในแม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์

ทว่าความตื่นตะลึง ความเสียดาย และปลงอนิจจังในใจกลับไม่จางหาย ในใจทุกข์ระทมอย่างยิ่ง แต่กลับระบายออกไม่ได้ พูดไม่ถูก และยังมีความรู้สึกหดหู่ที่วีรบุรุษสิ้นชีพไป…

“อมิตาพุทธ!”

……………………….