ฟางเจิ้งวางพู่กันในมือลง เขาไม่รู้ว่าตนเขียนอย่างไร แต่เมื่อเขียนเสร็จที่เหลือก็ไม่เกี่ยวกับเขามากนักแล้ว แพ้ชนะก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เขาสวดไปบทหนึ่ง อาศัยจังหวะที่คนอื่นไม่สังเกตเห็นก้าวเท้ายาวเข้าไปในวัด จากนั้นปิดประตูใหญ่ เขายังไม่ได้ทำความสะอาดอุโบสถเลย จะมาเสียเวลาไม่ได้!

ฟางเจิ้งสวดบทหนึ่งปลุกคนเหล่านี้ ทว่าตอนที่พวกเขาได้สติกลับมาก็พบว่าฟางเจิ้งหายไปแล้ว เหลือเพียงพู่กันกับอักษร!

พวกเขามองตากัน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง!

พวกเขาเห็นตอนโอวหยางหวาไจเขียนอักษรแล้ว ภาพพายุคลั่งพัดต้นหญ้าทำให้พวกเขาตกใจ แต่ไม่นึกว่าอักษรที่ฟางเจิ้งเขียนจะแสดงออกมาเป็นม้วนภาพ!

แสดงเสน่ห์ในกวีออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ความรู้สึกนั้นไม่เหมือนกำลังดูการเขียนอักษร แต่กำลังดูภาพยนตร์จอยักษ์ที่น่าตกใจอย่างหาที่เปรียบมิได้! หลังเพลิดเพลินจบแล้วยังรู้สึกหมดอาลัยตายอยากเป็นที่สุด!

พั่งจื่อกับโหวจื่อไม่เข้าใจอักษร พอเข้าใจพื้นฐานบ้าง แต่รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าฟางเจิ้งให้ความรู้สึกที่ดีกว่า!

อู๋ฉางสี่กับจิ่งเหยียนเข้าใจอักษร สองคนมองตากัน อู๋ฉางสี่หัวเราะ จิ่งเหยียนกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พอนึกถึงคำพูดที่ตนพูดกับฟางเจิ้งเมื่อครู่ก็หน้าแดง รู้สึกอับอายจนไม่รู้จะไปมุดหัวอยู่ที่ไหน! ไม่ต้องมองอักษรเธอก็รู้แล้วว่าระดับของฟางเจิ้งสูงกว่าโอวหยางหวาไจไม่ใช่แค่ระดับเดียว! เพียงแต่เธอไม่รู้จะวิจารณ์อย่างไร ทุกอย่างยังต้องดูผลในตอนท้ายสุดด้วย

อู๋ฉางสี่กับจิ่งเหยียนอดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นไว้ กวาดสายตามองอักษรฟางเจิ้งแวบหนึ่ง จากนั้นดวงตาสองคนพลันเบิกกว้าง ถอนตัวไม่ขึ้นอยู่เนิ่นนาน!

พั่งจื่อกับโหวจื่อเห็นดังนั้นก็เข้าไปใกล้ มองแวบหนึ่งแล้วถึงกับเหม่อลอย เขาสองคนไม่เข้าใจอักษรจีน แต่ก็ยังมองออกว่าอักษรเหล่านี้สวยงาม! ยิ่งใหญ่! น่าเกรงขาม! อักษรราวกับมังกรและพระพุทธองค์ ในความยิ่งใหญ่แฝงไว้ด้วยความสัตย์ซื่อและใจกว้าง แต่กลับซ่อนคมเอาไว้ เหมือนที่ว่ากันไว้ว่าพุทธศาสนามีเมตตาแต่จะรังแกไม่ได้!

คนเหล่านี้แข็งกลายเป็นหินอีกครั้ง

ทุกคนข้างๆ กำลังโอบล้อมพูดชมเชยโอวหยางหวาไจไม่ขาดปาก โอวหยางหวาไจพอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้มาก ถึงแม้รู้ว่าแบบนี้จะทำให้เขาพึงพอใจ แต่ก็ไม่มีใครต้านกระสุนเคลือบน้ำตาลเช่นนี้ได้ ไม่มีใครไม่ชอบฟังคำพูดดีๆ ที่สำคัญที่สุดคือโอวหยางหวาไจถือว่าตนเก่งเหนือใคร เขาคิดว่าตนคู่ควรกับคำพูดเหล่านี้ทั้งหมด!

โอวหยางเฟิงหวากอดแขนโอวหยางหวาไจไว้ด้วยสีหน้าลำพองใจ แววตาที่มองโอวหยางหวาไจเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ

ชุยจิ่นก็เม้มปากยิ้ม พูดคุยกับทุกคนด้วยมาดบุตรสาวของครอบครัวมั่งมี

เจียงซงอวิ๋นกับซุนก้วนอิงก็อยู่ในนั้นด้วย พวกเขาคุยกันอย่างคึกคัก ส่วนฟางเจิ้งเหมือนถูกลืมไปนานแล้ว

ตอนนี้เอง ไชฟางสัมภาษณ์ซุนก้วนอิงเสร็จสิ้น จึงคิดจะไปดูว่าของฟางเจิ้งเป็นอย่างไรบ้าง แต่ว่า…

“เณรไม่อยู่แล้ว!”

“หืม?”

“อะไรนะ?”

“หนีไปแล้วเหรอ?!” พริบตานี้ในหัวทุกคนมีความคิดแบบนี้วูบผ่านโดยสัญชาตญาณ จึงพูดออกมาพร้อมกัน

“เณรรูปนี้ไม่มีความรับผิดชอบเลย หนีไปซะอย่างงั้น?”

“เนี่ยเหรอไต้ซือ?”

“ฮ่าๆ…ฉันก็บอกแล้วไง เขาต้องยอมแพ้แน่ แล้วก็ใช่จริงๆ ด้วย!”

โอวหยางหวาไจเห็นดังนั้นก็แค่นเสียงขึ้นจมูก “เป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย น่าขายหน้านัก!”

โอวหยางเฟิงหวาเม้มปากพูด “เจ้านี่ จริงๆ เล้ย…เมื่อกี้พูดซะสวยหรู แต่ดันหนีไปซะแล้ว”

“มันพูดจากะล่อนปลิ้นปล้อน จากนี้จะหาแฟนห้ามเอาขยะแบบนี้มาเด็ดขาดรู้ไหม?” โอวหยางหวาไจว่า

โอวหยางเฟิงหวาหน้าแดง พูดงอนๆ ว่า “พ่อคะ หนูยังเด็กอยู่นะ…”

“หนี? แบบนี้ได้ยังไง? ฉันจะไปจับเขาออกมา!” คนหน้าแบนพูดจบก็วิ่งไปที่ประตูวัด เคาะเสียงดังปังๆ

เสียงเคาะที่ว่าทำให้สี่คนที่กำลังมองอักษรอยู่ตื่นขึ้น

“แกจะทำอะไร?!” พั่งจื่อตะโกนด้วยความโมโห ตรงเข้าไปลากคนหน้าแบนลงมา

คนหน้าแบนเพิ่งจะโกรธก็เห็นพั่งจื่อตัวใหญ่บึกเบิกตาโต จึงฝ่อไปทันที ทว่าก็ยังรักษาหน้าไว้ “แกจะทำอะไร? หลวงจีนนั่นไม่แข่งแต่หนีไปแล้ว! ฉันเรียกเขาออกมาจะทำไม?”

“แกใช้ตาหมามองรึไงวะถึงเห็นไต้ซือหนีไป? ไต้ซือเขียนเสร็จแล้ว แกตาบอดรึไง?” พั่งจื่อต่อว่า

“อะไรนะ? เณรเขียนเสร็จแล้ว?” ทุกคนต่างอึ้งงัน คนหน้าแบนมึนงง เขาเห็นฟางเจิ้งหายไปเลยคิดว่าหนี ไม่ได้มองอักษรฟางเจิ้งเลย แต่อีกฝ่ายเขียนเสร็จแล้วต่างหาก นี่จึงน่าขายหน้าเล็กน้อย

ทว่าคนหน้าแบนก็ยังไม่ยอม “ดี ฉันว่านะเขาคงเขียนอักษรเน่าๆ เหมือนแมลงสาบตะเกียกตะกายนั่นแหละ!”

โอวหยางหวาไจได้ยินดังนั้นก็ยังไม่คิดจะมองไป นัยน์ตามีการดูถูกอยู่ลึกๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ในที่สุดละครฉากนี้ก็จบสักที”

เจียงซงอวิ๋นกับซุนก้วนอิงมองตากัน ก่อนที่เจียงซงอวิ๋นจะพูดขึ้น “ในเมื่อเณรเขียนเสร็จแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอประกาศผล การประลองครั้งนี้…”

“ประกาศ? เจียงซงอวิ๋น คุณหน้าด้านรึไง? คุณยังไม่ดูอักษรของไต้ซือก็จะประกาศแล้วเหรอ?” อู๋ฉางสี่ชี้หน้าเจียงซงอวิ๋น

“อักษรนี่มีอะไรให้น่ามองกัน? คนที่ใช้พู่กันไม่เป็นจะเขียนอักษรที่ดีได้ยังไง? อู๋ฉางสี่ นายเลิกหวังซะเถอะ ครั้งนี้นายแพ้แล้ว” คนหน้าแบนมองอย่างเหยียดหยาม

“แพ้? ฉันน่ะเหรอกลัวแพ้? เจียงซงอวิ๋น ฉันขายหน้ารึเปล่าไม่รู้หรอกนะ แต่คุณจะมาตัดสินมั่วแบบนี้ไม่ได้ เชื่อไหมว่าวันหนึ่งนี้ฉันจะเขียนทุกอย่างที่นี่ส่งไปสำนักพิมพ์ใหญ่ทั่วประเทศ! ถึงตอนนั้นค่อยมาดูกันว่าใครที่จะขายหน้า!” อู๋ฉางสี่กล่าว

เจียงซงอวิ๋นมีสีหน้าเกรี้ยวโกรธทันที “ได้! อู๋ฉางสี่ ฉันจะดูอักษรของเณร แล้วให้นายยอมแพ้ซะ!”

พูดจบเจียงซงอวิ๋นก็ตรงเข้าไป ก้มหน้าลงมอง

เจียงซงอวิ๋นรู้สึกแค่ความคิดขาวโพลน ราวกับเห็นพุทธองค์เขียนอักษรบนฟ้า! พู่กันลากผ่าน มังกรเทพบินฉวัดเฉวียนบนฟ้า ภาพที่พวกโหวจื่อเห็นก่อนหน้านี้เผยขึ้นมาในความคิดเขาทั้งหมด…อักษรที่สมบูรณ์แบบอย่างนี้ เขาเหมือนกับไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อย่างไรอย่างนั้น! ดวงตาแดงเรื่อโดยไม่รู้ตัว…

“ฮ่าๆ…อักษรของหลวงจีนนั่นน่าเกลียดขนาดนั้นเชียว? น่าเกลียดจนหัวหน้าสมาคมเจียงร้องไห้เลย” คนหน้าแบนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ฉันขอไปดูบ้าง” ซุนก้วนอิงพูดพลางเดินเข้ามา ก้มหน้าลงมอง…ก่อนจะร้องไห้เหมือนกัน…

“อะไรกันเนี่ย? ทำไมร้องไห้อีกคนแล้ว?” ทุกคนไม่เข้าใจ

ซ่งเอ้อโก่วเข้ามาใกล้ ก้มหน้ามองแล้วร้องว้าว จากนั้นแหงนหน้าล้มไปข้างหลังนั่งลงกับพื้น แล้วพลิกตัวคุกเข่าเอาหัวโขกลงไป “ขอเข้าเฝ้าพุทธองค์! พระพุทธองค์โปรดอย่าถือโทษ…”

“เสแสร้ง! ในหมู่บ้านนี้ไม่มีคนปกติเลยรึไง?” โอวหยางหวาไจเห็นซ่งเอ้อโก่วโอ้อวดเกินจริงจึงพูดด้วยความโมโห เดินเข้าไปหนึ่งก้าว กดลงที่อักษรของฟางเจิ้ง ทำท่าจะพลิกขึ้นมาดูสักหน่อย

แต่ทันทีที่มองไป นัยน์ตาเขาพลันฉายแววตกตะลึง! ภาพอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง นี่ต้องมีขอบเขตระดับไหนกันถึงจะเขียนอักษรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ออกมาได้?

…………………………………….….