พอนึกถึงอักษรของตัวเองแล้วมองอักษรตรงหน้า โอวหยางหวาไจพลันพบว่าเขาเหมือนจะเสียเวลาเปล่าไปหลายสิบปี! อักษรของเขาหวัดราวหญ้าที่พลิ้วไหวอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้ยามมองไปก็แค่วัชพืช! แม้แต่ก้นสุนัขยังเทียบไม่ได้ ไม่มีคุณค่า! อักษรตรงหน้าต่างหากคืออักษรที่แท้จริง! หนึ่งอักษรราวกับมังกร สองอักษรเป็นทองคำมหาศาล!

โอวหยางหวาไจชะงักงันอยู่กับที่ ทุกคนเลยแปลกใจว่าอักษรนี้น่าเกลียดขนาดไหน ถึงทำให้โอวหยางหวาไจมีปฏิกิริยาแบบนี้ได้?

ทุกคนเข้ามาดูใกล้ๆ จากนั้นต่างเหมือนถูกฟ้าผ่า…นี่มันอักษรคนเขียนหรือ?

แต่ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งทำงานสุดท้ายเสร็จพอดี เขาปาดเหงื่อตรงหน้าผาก “ถึงจะน่าเบื่อมากก็เถอะ แต่ชินกับเรื่องพวกนี้แล้ว ไม่ทำให้เสร็จก็เหมือนโดดเรียน จิตใจจะว้าวุ่น…ของวันนี้เสร็จแล้ว ทำตัวตามสบายได้สักที”

ขณะพูดอยู่นี้ ประตูใหญ่ถูกเคาะเสียงดัง

ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ประลองก็ประลองแล้ว เขียนอักษรก็เขียนแล้ว ยังมาเคาะประตูทำไมอีก? คนกลุ่มใหญ่มากันแบบนี้ไม่จุดธูปเลย รู้จักแต่ส่งเสียงดัง ไม่มีคุณสมบัติกันบ้างเลย!

ฟางเจิ้งเปิดประตูใหญ่ เห็นแต่คนกลุ่มใหญ่นอกประตูมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ

ฟางเจิ้งอึ้งไปก่อน จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึก “อมิตาพุทธ พวกโยมเป็นอะไรกัน?”

“เณร เณรเป็นคนเขียนอักษรนั่นจริงๆ เหรอ?” โอวหยางหวาไจถามเป็นคนแรก

ฟางเจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย “อาตมาเขียนเอง ทำไมล่ะ? โยมสงสัยอะไรเหรอ? อาตมาบอกไปนานแล้วว่าอาตมาเขียนอักษรไม่เป็น อักษรที่เขียนเลยดูไม่ได้…”

พอได้ยินฟางเจิ้ง มีหลายคนแทบจะกระอักเลือดซะเดี๋ยวนั้น!

คนที่มาในวันนี้เป็นสมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีน ในนี้มีใครบ้างที่ใช้พู่กันไม่เป็น? อักษรที่เขียนเสร็จถึงจะเอาไปขายไม่ได้ แต่เอาไปแลกสุรากินถือว่าไม่มีปัญหา นี่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาภูมิใจที่สุด…

แต่เมื่อเทียบอักษรพวกเขากับฟางเจิ้งแล้ว แม้แต่อุจจาระยังสู้ไม่ได้! และอักษรที่พวกเขามองเป็นดั่งเทพเจ้ากลับกลายเป็นขยะในสายตาฟางเจิ้ง! แล้วอย่างนั้นอักษรที่พวกเขาเขียนล่ะ? ยังสู้ขยะไม่ได้เหรอ

นี่จะทำให้ขายหน้ากันเกินไปแล้ว!

พอนึกถึงท่าทีลำพองใจของตนในตอนแรก นึกถึงท่าทีที่ดูถูกฟางเจิ้ง นึกถึงว่าเมื่อครู่เพิ่งจะเย้ยเยาะอีกฝ่าย ทุกคนต่างหน้าแดง อยากจะมุดดินหนีไปซะ…น่าขายหน้า! เจ็บปวด!

โอวหยางหวาไจจ้องฟางเจิ้งเขม็ง ส่วนฟางเจิ้งมีสีหน้าแปลกใจ คิดในใจว่า ‘เจ้านี่คงไม่ชอบผู้ชายหรอกมั้ง? ระบบ ถ้าวันนี้ฉันจะฉีกหน้าเจ้านี่ก็ไม่นับว่าผิดศีลหรอกใช่ไหม?’

ระบบตอบกลับอย่างสุภาพมากว่า “นับ!”

ฟางเจิ้งพูดไม่ออก เอ่ยอยู่ในใจ ‘นับด้วยเหรอ? เอาเถอะ ดูท่าวันนี้อาตมาต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว…’

“ฉันไม่เชื่อ!” ตอนนี้เอง คนหน้าแบนโพล่งขึ้นมา

“นายไม่เชื่อ?” โหวจื่อโกรธแล้ว กระชากเสื้อคนหน้าแบนพลางว่า “ไหนแกพูดอีกทีซิ?”

“แชะ!” แสงสว่างวาบ โหวจื่อมองไปก็เห็นเฉินจิ้งวางกล้องถ่ายภาพลง ก่อนพูดอย่างมีนัยแอบแฝง “สมกับเป็นหลวงจีนในป่าเขา เขียนอักษรโดยที่ไม่มีใครเห็น บางทีพวกนายอาจจะอาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่ทันสังเกตเห็นหยิบอักษรที่เตรียมไว้ออกมา ไม่คุยเหตุผล เอาแต่จะต่อยตี? ป่าเถื่อนจริงๆ!”

โหวจื่อโมโห ชี้หน้าเฉินจิ้ง “แกพูดอะไรระวังปากหน่อย!”

“ฉันระวังมากอยู่แล้ว ไม่ต้องให้แกมาเตือนหรอก” เฉินจิ้งทำเสียงหึๆ

อู๋ฉางสี่พูดด้วยความโกรธ “เฉินจิ้ง แกอย่ามาพูดมั่วนะ! พวกเราเตรียมไว้แล้วอะไร? หัวหน้าสมาคมเจียงซงอวิ๋นเป็นคนออกหัวข้อเอง พวกเราจะเตรียมมาก่อนได้ยังไง ถ้าเตรียมมาก่อนแกจะบอกว่าพวกเราเตี๊ยมมากับหัวหน้าสมาคมเจียงซงอวิ๋นใช่ไหม?”

เจียงซงอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็หน้าเขียวปัดไปหมด

เฉินจิ้งเห็นดังนั้นจึงยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ฉีกเป็นแผลแล้ว เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟันบอก “หัวหน้าสมาคมเจียงไม่เตี๊ยมกับหลวงจีนในป่าเขาอยู่แล้ว แต่บนโลกก็มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าดวง! ทำนองรำลึกเซ็กเพ็กมีชื่อเสียงมาก เป็นไปได้ว่าพวกแกมีอักษรของนักเขียนพู่กันจีนชื่อดังอยู่ส่วนหนึ่ง”

“แก…” อู๋ฉางสี่โกรธจนแทบแย่

ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว เฉินจิ้งหาแต่เรื่องมาตั้งแต่เริ่ม ถูกต่อยตีไปแล้วยังไม่จดจำ น่ารังเกียจจริงๆ!

แต่ว่าเจียงซงอวิ๋นกลับถอนหายใจโล่งอก “ถึงเสี่ยวเฉินจะพูดไม่ถูกต้องอยู่บ้าง แต่เหตุผลก็ไม่ได้แย่…”

“เจียงซงอวิ๋น คุณไม่อายบ้างรึไง?” อู๋ฉางสี่ต่อว่าด้วยความโกรธ

เจียงซงอวิ๋นเอ่ย “อู๋ฉางสี่ นายระวังคำพูดหน่อย ถึงคำพูดเฉินจิ้งจะมีความน่าจะเป็นที่ต่ำมาก แต่จะตัดทิ้งไม่ได้! คนที่เห็นเณรเขียนมีแค่พวกนาย พวกนายรู้จักกับเขา แล้วฉันจะเชื่อคำพูดพวกนายได้ยังไง? เว้นแต่ให้เณรเขียนอีกครั้ง ถ้าอักษรไม่ต่างกัน ฉันก็พูดอะไรไม่ได้”

“คุณไม่เชื่อคำพูดพวกเขา แล้วถ้าฉันพูดล่ะ?” ตอนนี้เอง จิ่งเหยียนพูดขึ้นมา

“จิ่งเหยียน เธอ…” เฉินจิ้งเห็นจิ่งเหยียนก้าวออกมาพูดแทนฟางเจิ้งก็ร้อนใจ

จิ่งเหยียนไม่มองเฉินจิ้ง แต่กล่าวต่อ “ทำไมต้องให้ยุ่งยากขนาดนี้? ไต้ซือเป็นคนนอก ที่นี่เป็นวัด ไม่เหมาะจะส่งเสียงดัง ไต้ซือไม่ยอมประลองเมื่อกี้ พวกคุณก็ไม่ควรไปบังคับเขา ตอนนี้จะให้ไต้ซือเขียนใหม่อีก? ไม่เคารพผู้อื่นเกินไปหน่อยรึเปล่า พวกคุณต้องการหลักฐานเหรอ? เอากล้องมาที ช่างกล้องฉันบันทึกภาพไว้หมดแล้ว พวกคุณดูก็จะเข้าใจเอง!”

พูดจบเฉินจิ้งพลันโกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ตอนแรกเขารู้สึกว่าจิ่งเหยียนแปลกไปเล็กน้อยที่คิดจะฝนหมึกให้เณรนั่น! ตอนนี้จิ่งเหยียนพูดแทนอีกฝ่าย ในใจจึงเกิดความหึงหวงเต็มสิบ

เขาใส่ร้ายฟางเจิ้งเพียงเพราะฟางเจิ้งปล่อยหมาป่ามากัดเขา ทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าจิ่งเหยียน จึงอยากจะแก้แค้นเท่านั้น แต่ตอนนี้ความหึงหวงอยู่เหนือกว่าเรื่องอื่นแล้ว…

“ฉันดูหน่อย!” ตอนนี้เอง โอวหยางหวาไจออกปาก พวกเจียงซงอวิ๋นมองตากันแล้วตามไปทันที

วิดีโอก็เป็นวิดีโอ มีหลายอย่างที่ถ่ายไม่ได้ โดยเฉพาะพลังและท่วงทำนองตอนฟางเจิ้งเขียน ทว่าอย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าฟางเจิ้งเขียนจริงๆ!

ทุกคนมองหน้ากัน ไม่รู้จะพูดยังไงดี เจียงซงอวิ๋นหน้าแดงเล็กน้อย โดนตบหน้าไปทีหนึ่ง เจ็บนัก!

โอวหยางหวาไจมองเจียงซงอวิ๋น จากนั้นมองฟางเจิ้ง ก่อนพูดเบาๆ ข้างหูเจียงซงอวิ๋น “หัวหน้าสมาคมเจียง เรื่องนี้ผมว่า…”

“ฉันเข้าใจ วางใจเถอะ ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง” เจียงซงอวิ๋นพยักหน้าโดยไม่รอให้โอวหยางหวาไจพูดจบ

“หัวหน้าสมาคมเจียง ตอนนี้ประกาศผลได้รึยัง?” อู๋ฉางสี่ถาม

เจียงซงอวิ๋นพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าลึก “อักษรของเณรยอดเยี่ยมจริงๆ มีความยิ่งใหญ่มาก มีความเป็นพุทธ อักษร หายากราวกับภาพวาด มีบุคลิกของปรมาจารย์”

พูดจบ อู๋ฉางสี่ พั่งจื่อ และโหวจื่อเลิกคิ้วขึ้น ฟางเจิ้งขมวดคิ้วเช่นกัน อักษรเขาดีขนาดนั้นเชียว? ทำไมเขาไม่รู้เลยล่ะ? เทียบกับอักษรพุทธองค์มังกรของแท้แล้ว อักษรของเขาเหมือนกับอุจจาระด้วยซ้ำ!

………………………….