ตอนที่ 85 แยกย้าย แบ่งเงินกัน!

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

เจียงซงอวิ๋นพูดต่อ “อักษรโอวหยางหวาไจหวัดเหมือนพายุคลั่งโถมพืชหญ้า มีพลังมหาศาล ตอนเขียนอักษรยังแฝงไว้ด้วยท่วงทำนองดั่งพายุคลั่ง และก็มีบุคลิกปรมาจารย์เหมือนกัน ดังนั้นฉันคิดว่าการประลองครั้งนี้เสมอ!” พูดจบ ทั้งลานเกิดเสียงดังเกรียวกราวอีกครั้ง

คนที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่คนเขลา คนนอกวงการเป็นชาวบ้าน แต่คนจากสมาคมศิลปะพู่กันจีนไม่ใช่แบบนั้น มองอักษรของฟางเจิ้งกับโอวหยางหวาไจปราดเดียวก็รู้แล้วว่าฟางเจิ้งเหนือกว่า!

ทว่าพอมองโอวหยางหวาไจ ทุกคนก็เข้าใจว่าเจียงซงอวิ๋นไว้หน้าโอวหยางหวาไจ ไม่อย่างนั้นถ้าเขาแพ้ให้กับเณรไร้ชื่อเสียงคงต้องขายหน้ามากแน่ๆ

ทว่าอู๋ฉางสี่ไม่ยอม “เจียงซงอวิ๋น ยังหน้าด้านพูดแบบนี้อีก? โอวหยางหวาไจ ไม่กระดากใจที่บอกว่าเสมอบ้างเลยเหรอ?”

เจียงซงอวิ๋นขมวดคิ้ว “อู๋ฉางสี่ นายคิดจะทำอะไร พวกนายอยากมีชื่อเสียงไม่ใช่เหรอ เสมอกับโอวหยางหวาไจยังไม่พอใจอีกรึไง?”

“พอใจ? ถุย! ฉันล่ะอับอายแทนแกจริงๆ!” อู๋ฉางสี่ต่อว่า

เจียงซงอวิ๋นหน้าเขียวปัด กำลังจะระเบิดอารมณ์แล้ว

แต่กลับได้ยินโอวหยางเฟิงหวาพูดขึ้น “พ่อคะ อักษรพ่อสู้เณรเขาไม่ได้จริงๆ หรอคะ?”

โอวหยางหวาไจมองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย พร้อมประนมสองมือ “อมิตาพุทธ”

“นี่คือไต้ซือของจริง อักษรพ่อสู้เขาไม่ได้” พูดจบใบหน้าที่ตึงเปรี๊ยะมาตลอดของโอวหยางหวาไจพลันหลอมละลาย ก่อนพูดต่อว่า “ผมคิดว่าตัวเองเก่งกาจมาตลอด วันนี้เพิ่งรู้ว่าผมเป็นแค่กบในกะลา! ผมไม่เคยเห็นอักษรของไต้ซือมาก่อน แต่ท่วงทำนองในอักษรนั่น ผมเคยเห็นแค่จากไต้ซือเฒ่าเท่านั้น วันนี้ผมแพ้แล้ว แพ้อย่างหมดรูปด้วย! ไต้ซือ ผมขอโทษที่เสียมารยาทกับท่าน กลับไปผมจะเขียนลงเว็บเวยป๋อขอโทษท่านอย่างเป็นทางการ”

โอวหยางเฟิงหวาพูดด้วยความตกใจระคนมึนงง “พระเจ้า พ่อแพ้หรอเนี่ย?” จากนั้นมองฟางเจิ้ง พูดด้วยความเหลือเชื่อว่า “เณ…ไต้ซือ ท่านเริ่มเขียนอักษรตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เหรอ แล้วไหนบอกว่าเขียนอักษรพู่กันไม่เป็นไง บอกว่าใช้พู่กันไม่เป็นไม่ใช่เหรอ หลอกฉันนี่! ไหนว่านักบวชโกหกไม่ได้?”

ฟางเจิ้งยิ้มอย่างจนปัญญา “สีกา อาตมาใช้พู่กันครั้งแรกจริงๆ ส่วนอักษร? อาตมาเขียนยังไง ตัวอาตมาเองยังไม่รู้ แต่อาตมาเคยเห็นอักษรดีขนานแท้มาก่อน เทียบกับอักษรอาตมาแล้วต่างกันมาก! ดังนั้นอาตมาจะกล้าบอกว่าตัวเองเขียนพู่กันเป็นได้ยังไงล่ะ”

โอวหยางเฟิงหวาเงียบไป แต่โอวหยางหวาไจกลับร้องด้วยความตกใจ “ไต้ซือเคยเห็นอักษรที่ดีกว่านี้หรอครับ?”

ฟางเจิ้งพยักหน้า “นักบวชไม่โกหก”

โอวหยางหวาไจถามต่อ “อักษรที่ท่านเห็นเป็นอักษรที่ไต้ซือเขียนใช่ไหมครับ? แล้วมันชื่ออะไร? ยังมีอักษรนั้นให้ผมมีวาสนาได้ชมสักครั้งไหมครับ?”

ฟางเจิ้งยิ้มแห้งๆ ชมเหรอ? เขายังไม่รู้ว่าจะได้ชมอีกครั้งที่ไหนเลย! จะเอาออกมาให้โอวหยางหวาไจดูได้ยังไง?

ดังนั้นฟางเจิ้งจึงส่ายหน้า “อักษรนี้เรียกว่าอักษรพุทธองค์มังกร เป็นอักษรที่พระพุทธองค์เห็นมังกรเทพทะยานขึ้นฟ้าแล้วจึงสร้างขึ้นมา อาตมามีวาสนาได้เห็นอักษรนี้เพียงครั้งเดียว เกรงว่าโยมคงต้องผิดหวังแล้ว”

โอวหยางเฟิงหวาไม่เชื่อเลยถามอีก “ไต้ซือน้อย เป็นไปได้ยังไง? ในเมื่อท่านเคยเห็นอักษรนั่นก็น่าจะเก็บไว้บ้างสิ? ทำไมถึงมีวาสนาได้เห็นครั้งเดียวล่ะ?”

“ไต้ซือน้อยอะไร? เรียกไต้ซือสิ!” โอวหยางหวาไจตักเตือน

โอวหยางหวาไจยู่ปากเล็ก “ก็เป็นไต้ซืออายุน้อยนี่นา…”

“ผู้บรรลุก่อนมาก่อน จะไปใช้อายุเป็นเกณฑ์วัดได้ยังไง?”

โอวหยางเฟิงหวาตะโกนอย่างไม่ยอม “ไต้ซือ…”

ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ แสดงความเคารพตอบ ส่วนคำถามของโอวหยางหวาไจ เขาได้แต่ส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร ไม่อยากโกหกกลัวจะถูกฟ้าผ่า

โอวหยางหวาไจได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าผิดหวัง แสดงความเคารพแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อไต้ซือไม่บอก ผมก็จะไม่ดึงดัน” พูดจบก็มองเจียงซงอวิ๋นที่หน้าเขียวปัด ยิ้มเฝื่อนๆ ให้ “เมื่อกี้ผมอยากจะบอกว่าให้ตัดสินผมแพ้น่ะ แต่พี่เจียง…เฮ้อ”

พูดจบโอวหยางหวาไจหยิบบัตรธนาคารส่งให้เจียงซงอวิ๋น “ในนี้มีเงินเก็บมากกว่าครึ่งของผม หนึ่งล้านหยวน รหัส 959542”

พูดจบโอวหยางหวาไจก็จูงมือโอวหยางเฟิงหวากับชุยจิ่นลงเขาไป

โอวหยางเฟิงหวาไปแล้ว ทุกคนรู้ว่าการแสดงครั้งนี้สิ้นสุดลงแล้ว

ซ่งเอ้อโก่วพูดอย่างมีเจตนาแอบแฝง “เจ้าตัวยอมแพ้แล้ว ตาแก่เจียงยังไม่ยอมรับอีกรึไง?”

เจียงซงอวิ๋นแค่นเสียงขึ้นจมูก ส่งบัตรธนาคารให้อู๋ฉางสี่ “พวกคุณชนะ! พอใจรึยัง! ไม่คิดจะมีที่ยืนให้คนอื่นบ้างเลยเหรอ?” พูดจบเจียงซงอวิ๋นก็สาวเท้ายาวเดินไปเร็วๆ

ทว่าพอลงเขามาแล้ว เจียงซงอวิ๋นก็เริ่มด่าทอ “ใครมันปล่อยลมยางรถฉันวะ?!…”                 สมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนคนอื่นๆ เห็นอย่างนั้นก็แยกย้ายกัน โดยเฉพาะสมาชิกสมาคมศิลปะพู่กันจีนอำเภอซงอู่ที่หนาวจนจะไม่ไหวแล้ว จึงรีบลงเขาไป

“ถุย! ก่อนหน้านี้ทำอะไรไปบ้างล่ะ? ทำไมไม่คิดจะให้ไต้ซือมีที่ยืนบ้าง? พอตัวเองเสียเปรียบก็มาเรียกร้อง ชิ เป็นคนยังไงวะ!” พั่งจื่อมองเงาแผ่นหลังเจียงซงอวิ๋นพลางก่นด่า

“ไต้ซือ ผมจะมีวาสนาได้เรียนอักษรพุทธองค์มังกรบ้างไหม?” ตอนนี้เอง ซุนก้วนอิงเดินมาตรงหน้าฟางเจิ้ง ถามขึ้นอย่างเขินอายเล็กน้อย

“นี่ผู้อาวุโสซุน ท่านพูดเกรงใจไปรึเปล่า? เมื่อกี้ไม่รู้ใครนะที่ช่วยเจียงซงอวิ๋นประจบโอวหยางหวาไจ แถมยังจงใจเข้าข้างอีกฝ่ายอีก” พั่งจื่อเอ่ยถากถาง

ซุนก้วนอิงหน้าแดง แต่ก็โค้งตัวเคารพฟางเจิ้ง “เมื่อกี้เป็นความผิดผมเอง หวังว่าไต้ซือจะไม่ถือสา”

ฟางเจิ้งแสดงความเคารพกลับ “ไม่เป็นไร อาตมายังเรียนรู้ไม่แตกฉานจะไปสอนคนอื่นได้ยังไง? โยมอย่าให้อาตมาต้องลำบากใจเลย” แต่กลับคิดในใจว่า ‘อาหารบนเขากินคนเดียวยังจะแย่ ถ้าลุงมาอีกคนฉันต้องหิวตายล่ะมั้ง? อีกอย่างฉันเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น!’

ซุนก้วนอิงกล่าวลาด้วยความจำใจ เพียงแต่รู้สึกไม่ยินยอมอยู่ในใจเล็กน้อย

คนเหล่านี้ลงเขาไปแล้ว ผู้ใหญ่บ้านหวังโอ้วกุ้ยย่อมตามลงไปดูแล ไม่ว่าคนเหล่านี้จะเป็นยังไงก็ตาม แต่หมู่บ้านจะมีชื่อเสียงหรือไม่นั้นก็ต้องหวังพึ่งพวกเขาด้วย

ชาวบ้านคนอื่นๆ เปลี่ยนมุมมองต่อฟางเจิ้ง เอาแต่พูดชมไม่หยุด จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

พอคนเหล่านี้แยกย้าย พั่งจื่อ โหวจื่อ อู๋ฉางสี่ก็เข้ามาใกล้ ยิ้มพูดขึ้นว่า “ไต้ซือ ยินดีด้วยครับ!”

ฟางเจิ้งหัวเราะแห้งๆ “พวกโยม ยินดีอะไร? จากนี้ไปอย่าให้มีการประลองแบบนี้อีกนะ”

นี่คือคำพูดจากใจฟางเจิ้ง พอคนเหล่านี้มาวัดก็วุ่นวายไปหมด เหนื่อยจริงๆ อีกอย่างเขาไม่เก่งเรื่องการต้อนรับคน พอคนมากเข้าก็ทำอะไรไม่ถูก

ครั้งนี้อู๋ฉางสี่ขอให้ฟางเจิ้งทำให้สิ่งที่เหลือวิสัย ทำโดยไม่ได้บอกฟางเจิ้งเลย แต่เมื่อเห็นฟางเจิ้งไม่โกรธเลยถอนหายใจโล่งอก รับปากรัวๆ ว่าจากนี้จะไม่มีครั้งที่สอง!

จากนั้นอู๋ฉางสี่เอ่ยต่อ “ไต้ซือครับ การประลองครั้งนี้มีสัญญาเดิมพันด้วย พวกเราชนะมาหนึ่งล้านหยวน แต่ไต้ซือเป็นกำลังหลัก ดังนั้นพวกเราเลยอยากแบ่งให้…”

………………………………..…………