ตอนที่ 86 ทำไมต้องฟังนาย?

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

“แบ่งอะไร? ไต้ซือ พวกเราขอบริจาค! ท่านเป็นคนมีความสามารถจริงๆ วัดนี้ซอมซ่อเกินไปแล้ว ห้าแสนนี่พวกเราบริจาคให้ท่านให้ซ่อมแซมวัด ไต้ซือมีเลขบัญชีไหมครับ?” โหวจื่อเคยมีอุทาหรณ์มาก่อน จึงขัดคำพูดอู๋ฉางสี่ทันที

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ดีใจใหญ่ ถ้าแบ่งเขาจะรับไม่ได้ แต่ถ้าบริจาคแน่นอนว่าได้ และเขาก็มีบัตรธนาคารเหมือนกัน ใช้ได้พอดี

ฟางเจิ้งตอบ “อมิตาภพุทธ ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณพวกโยมมาก”

“ไต้ซือ ท่านดูสิใกล้จะเที่ยงแล้ว มื้อเที่ยง…” พั่งจื่อลูบท้อง แลบลิ้นหัวเราะแหะๆ ความหมายไม่มีชัดเจนกว่านี้อีกแล้ว เจ้านี่อยากกินข้าวผลึกของฟางเจิ้ง!

ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย ตอบกลับเรียบๆ “วัดนี้เป็นวัดเล็ก ไม่ดูแลเรื่องอาหาร ถ้าโยมหิวก็รีบลงเขาเถอะ”

รอยยิ้มพั่งจื่อจางหายไป “ไต้ซือ ให้กินไม่ได้เหรอครับ? ดีชั่วยังไงพวกเราก็ตักน้ำเต็มโอ่งนะครับ”

ฟางเจิ้งส่ายหน้า “น้ำได้ ข้าวไม่ได้ ครั้งก่อนเพราะพวกโยมใช้แรงมากเกินไป แถมไม่ได้กินข้าวมาทั้งวันเลยให้กิน เดี๋ยวจะเป็นลมบนเขา ครั้งนี้พวกโยมยังลงเขาได้ ถ้าอยากกินข้าวในวัด รอวัดนี้เป็นวัดขนาดกลางก่อนค่อยมาใหม่นะ จะดูแลอย่างเต็มที่เลย”

พั่งจื่อจนปัญญา มองวัดเล็กพลางถามขึ้นว่า “ไต้ซือ แล้วเมื่อไรเลื่อนชั้นเหรอครับ?”

ฟางเจิ้งส่ายหน้าเบาๆ “การเลื่อนชั้นวัดต้องดูที่แสงธูป ดูขนาด ตอนนี้อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกัน…”

โหวจื่อตบบ่าพั่งจื่อ “อยากกิน กลับไปก็ช่วยไต้ซือประกาศวัดสิ”

พั่งจื่อตรึกตรองดูก็รู้ว่ามีแต่แบบนี้เท่านั้น ขณะจะเอ่ยลา เขาพลันร้องขึ้นว่า “ไต้ซือ ทำไมท่านไม่สวมรองเท้าล่ะ?”

จีวรสีขาวพระจันทร์ของฟางเจิ้งยาวมาก ประกอบกับมีหิมะ เดินลงไปเท้าจึงจมลงไป จีวรคลุมเอาไว้จึงมองไม่เห็นว่าเขาสวมรองเท้า อีกอย่างก่อนหน้านี้ทุกคนดูการประลอง ใครจะมามองเท้าเขา?

พอได้ยินพั่งจื่อตะโกน โหวจื่อกับอู๋ฉางสี่ก้มหน้ามอง แม้จะไม่เห็นเท้าฟางเจิ้ง แต่รอยเท้าที่ย่ำกลับชัดเจนมาก ไม่มีรอยรองเท้าแต่เป็นรอยเท้าสมบูรณ์!

“ไต้ซือ เอ่อ…ท่านฝึกวิชาอะไรครับเนี่ย?” โหวจื่อถามด้วยความตกใจ

ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มเฝื่อนในใจ วิชาอะไร? เขาฝึกวิชายากจนยังไงล่ะ! ไม่มีรองเท้าฝ้ายสวม ได้แต่อาศัยความสามารถคุ้มกันของจีวรขาวจันทร์เดินเท้าเปล่า…แม้ยังเย็นอยู่แต่ก็ไม่หนาวมากนัก ถือว่าดีกว่ารองเท้าพังๆ ที่สวมอยู่ ถ้าไม่มีการคุ้มกันจากจีวรคงหนาวกลายเป็นสุนัขไปแล้ว

แต่ฟางเจิ้งกลับตอบไปว่า “อมิตาพุทธ อาตมามีพลังธาตุไฟแข็งแกร่ง อุณภูมิแค่นี้ไม่เท่าไรหรอก”

“ผมรู้แล้ว หนุ่มน้อยกล้านอนบนเตียงหนาวเหน็บ อาศัยพลังธาตุไฟแข็งแกร่งล้วนๆ! เฮ้อ! ไต้ซือ ท่านอดอยากรึเปล่า? ให้ผมช่วยหาผู้หญิงมาระบายธาตุไฟหน่อยไหม? ผมรู้ว่าเรื่องนี้อดกลั้นยากมาก…เหวอๆๆ…”

พั่งจื่อยังพูดไม่จบ ฟางเจิ้งก็หมุนตัวกลับ ยกพั่งจื่อที่หนักร้อยแปดสิบกว่ากิโลฯ โยนออกไปนอกประตูใหญ่ จากนั้นสวดไปบทหนึ่ง “อมิตาภพุทธ!” ประตูใหญ่ถูกปิดลง!

พั่งจื่อตาค้าง โหวจื่อกับอู๋ฉางสี่ที่เดินตามออกมาจ้องพั่งจื่อด้วยความโมโห ก่อนโหวจื่อจะพูดกับพั่งจื่ออย่างไม่เกรงใจว่า “ไอ้ห่า เมื่อกี้พูดอะไรไป? ไต้ซือเป็นพระอาจารย์ เขาต้องให้นายแนะนำผู้หญิงให้อย่างนั้นเหรอ? สมองนายปัญญาอ่อนไปแล้วรึไง?”

พั่งจื่อถูจมูก ตอบกลับโดยไม่สำนึก “ก็ฉันคิดแทนไต้ซือนี่…เรื่องความต้องการน่ะ บอกว่าจะละก็ละได้เลยที่ไหน ไม่ดีต่อร่างกายนะ”

“ไม่ดี? ดูซิว่าถ้าฉันไม่ต่อยนายจะดีขึ้นไหม! ครั้งนี้จบเห่แล้ว จากนี้เข้าวัดไม่ได้แล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย!” โหวจื่อขี่อยู่บนตัวพั่งจื่อพลางรัวหมัด พั่งจื่อผลักโหวจื่อออก แล้ววิ่งหนีพลางร้องเสียงดังลงเขาไป

พวกเขาก่อความวุ่นวายตลอดทางลงเขา โหวจื่อตบเข้าที่หน้าผาก ยังไม่ได้เลขบัญชีมาเลย!

แต่โหวจื่อก็ฉลาด ใช้แอปวีแชตค้นหาคนที่อยู่ใกล้ๆ จนหาเลขวีแชตของฟางเจิ้งพบและเพิ่มเพื่อน จากนี้ไม่ต้องโอนผ่านธนาคารแล้ว แต่โอนผ่านวีแชตแทน

แต่ในตอนนี้ ฟางเจิ้งกลับมีสีหน้ากลัดกลุ้มใจ

“ระบบ ฉันระบายความกำหนัดไม่ได้จริงๆ เหรอ?” ฟางเจิ้งโกรธตอนที่บอกว่าหนุ่มน้อยนอนบนเตียงหนาวมีพลังธาตุไฟเปี่ยมล้น ไม่มีใครพูดยังพอว่า แต่พั่งจื่อยกประเด็นนี้ขึ้นมา ฟางเจิ้งจะไม่หวั่นไหวสักนิดได้ยังไง? แต่หวั่นไหวก็ส่วนหวั่นไหว เป็นไต้ซือในอนาคตต้องมีความแน่วแน่เป็นพื้นฐาน โดยเฉพาะเมื่อระบบพลันพูดมาประโยคหนึ่งว่า ‘ระวังองคชาตเสื่อมล่ะ’ ฟางเจิ้งถึงโยนพั่งจื่อออกไปอย่างเด็ดขาด…

“ได้!” ระบบตอบกลับอย่างมั่นใจมาก

ฟางเจิ้งถอนหายใจโล่งอก ยิ้มเอ่ยว่า “แล้วจะแก้ยังไง?”

“หาผู้หญิง” ระบบตอบ

“ได้จริงๆ เหรอ?” ฟางเจิ้งดวงตาเปล่งประกาย

“ถ้านายไม่กลัวองคชาติเสื่อมไปชั่วชีวิตก็ตามสบายเลย” ระบบว่า

ฟางเจิ้งโกรธจนแทบแย่ “นายพูดให้จบเลยได้ไหม? ถ้าพักหายใจนายจะตายรึไง?”

“ไม่ตาย แต่คุยกับคนโง่ก็ต้องมีทักษะ”

ฟางเจิ้งหัวเสีย เอ่ยว่า “ไม่มีวิธีเลยสักนิดจริงๆ เหรอ”

“มี”

“นายพูดให้ถูกต้องหน่อยสิ ให้วิธีที่ได้ผลจริงๆ มาจะได้ไหม?” ฟางเจิ้งถูกระบบปั่นหัวจนใกล้จะหมดความอดทนแล้ว

“ท่องพุทธคัมภีร์ แน่นอนว่าจิตใจจะสงบ” ระบบตอบกลับอย่างจริงจังมาก

ฟางเจิ้งชูนิ้วกลางชี้ขึ้นฟ้า ตะโกนว่า “แม่งไอ้เวรเอ๊ย!”

ครืน! เปรี้ยงๆ!

สายฟ้าสองสายผ่าลงมาตรงหน้าฟางเจิ้ง เขาพูดด้วยความไม่พอใจ “ทำมือกับคำพูดด้วยกัน น่าจะนับเป็นหนึ่งครั้งสิ?”

“ฉันบอกสองครั้งก็สองครั้ง ไม่เชื่อลองด่าสองครั้งดู”

ฟางเจิ้งชี้ขึ้นฟ้าพลางตะโกนด่า “ปู่เอ็งสิ!”

ครืน! สายฟ้าผ่าลงตรงหน้าอีกสายหนึ่ง

จากนั้นฟางเจิ้งสะบัดแขนเสื้อ เดินหนีไป!

“ยังขาดอีกคำหนึ่งนะ” ระบบเตือน

ฟางเจิ้งแค่นเสียงหึ “นายให้ฉันด่าสองครั้งก็ต้องด่าสองครั้งอย่างนั้นเหรอ? ทำไมฉันต้องฟังนายด้วย?” ให้ด่าอีกเหรอ หนึ่งวันมีโอกาสสามครั้ง ครั้งที่สี่จะผ่าโดนตัวเขา เขาไม่โง่หรอกนะ

พอกลับไปหลังลาน เขาก็หยิบมือถือออกมาเลื่อนดู พบว่ามีคำขอเพิ่มเป็นเพื่อน เห็นเป็นโหวจื่อเลยกดเพิ่มไป

แต่เพิ่งเพิ่ม โหวจื่อก็โอนเงินมาให้ห้าแสน! แนบมาด้วยประโยคหนึ่งคือ ‘ไต้ซือ บัตรเครดิตมันยุ่งยากเลยโอนผ่านวีแชตเอา เป็นยังไงครับ โหวจื่อฉลาดไหม? เป็นการบังคับรับโอนไปเลยไง ฮ่าๆ…’

ทว่าฟางเจิ้งไม่ได้อ่านอักษรข้างหลังเลย เอาแต่จ้องเลขศูนย์ข้างหลังเงินห้าแสนนั่น! ทั้งยังนับนิ้วตรวจดู “หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้าตัว…ศูนย์ห้าตัวมันเงินเท่าไร? นับใหม่ หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน…ห้าแสน…ฮ่าๆๆ…ระบบ ในที่สุดฉันก็หลุดพ้นจากความยากจนสักที ฮ่าๆ…จากนี้ฉันจะกินข้าวผลึกทุกมื้อเลย!”

แต่ระบบไม่สนใจเขาเลย

ฟางเจิ้งนับเงินดีแล้วก็ส่งข้อความไปให้โหวจื่อ “อมิตาพุทธ”

……………………………