บทที่ 87 ยกระดับ (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 87 ยกระดับ (1)
“เช่นนั้นหรือว่าไม่มีความหวังแล้ว” ลู่เซิ่งสีหน้าหม่นหมอง

“ความหวังหรือ” ประมุขพรรคเฒ่ายิ้ม “พวกเราค้นหามาโดยตลอด น่าเสียดาย…” เขาหยิบผงหินสีขาวขึ้นสูดอย่างแรงอีกรอบ

“จริงด้วย ปราณภายในธาตุหยางต่างมีผลต่อพวกเขาเล็กน้อย ไม่แน่ว่าเมื่อฝึกปราณภายในถึงขอบเขตที่ไม่เคยมีมาก่อน อาจมีหนทางก็ได้” เขากล่าวกึ่งล้อเล่น

ลู่เซิ่งไม่กล่าวต่อ หน้าเบ้เหมือนเดิม

“เอาล่ะ สิ่งที่เจ้าอยากถามก็ถามจนกระจ่างแล้ว ไม่มีอะไรก็รักษาตัวเถอะ ครั้งนี้เพราะได้รับบาดเจ็บ เจ้าเอาผงยารักษาอการบาดเจ็บจากห้องโอสถได้ มีคนบันทึกคุณูปการของเจ้าไว้แล้ว นับว่าเป็นระดับสามขั้นหนึ่ง” ประมุขพรรคเฒ่าเอ่ย “มากพอจะให้เจ้าไปเลือกวรยุทธ์ โอสถ หรืออาวุธที่อยากได้แล้ว แต่ข้าแนะนำให้เจ้าไปหาอาวุธคล่องมือสักชิ้นก่อน”

“ไว้ว่ากันเถอะ” ที่ลู่เซิ่งขบคิดไม่ใช่เรื่องเหล่านี้ หากแต่เป็นประโยคสุดท้ายของประมุขพรรคเฒ่า

ปราณภายในธาตุหยางมีผลต่อพวกเขา

‘มีผลหรือ…’

เขาออกจากห้องโอสถ กลับไปถึงห้องเพาะดอกไม้ นิ่งซานกับต้วนเหมิ่งอันรอเขาอยู่ที่นั่น

“พี่ใหญ่ มีข่าวแล้ว!” นิ่งซานรีบขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว “ศพของคุณชายลู่เฉินซิน…เจอที่ป่าหินแถวๆ หมู่บ้านแห่งนั้น…”

“เจอได้อย่างไร” ลู่เซิ่งงุนงง ก่อนถามเสียงทุ้ม ความจริงตั้งแต่ลู่เฉินซินหายตัวไป เขาก็ทราบว่าอีกฝ่ายประสบผลร้ายมากกว่าผลดี เพียงแต่เป็นเพราะไม่มีความผูกพัน อย่างมากสุดเพียงเสียดายเล็กน้อย กลับไม่ได้เสียใจแต่อย่างใด

“พลพรรคสองคนไปปลดเบาในป่าหิน พอดีเห็นมือข้างหนึ่งโผล่พ้นดินจึงให้คนไปขุดดู ผลคือเป็นศพสี่ศพ…”

ต้วนเหมิ่งอันเสริมขึ้นจากด้านข้าง “เป็นทหารเฝ้าเมืองสองคน คุณชายลู่เฉินซิน และยังมีชาวนาที่ไม่รู้จักอีกคน”

ลู่เซิ่งเงียบเล็กน้อย

“ตอนนี้ศพอยู่ที่ใด”

“ยังอยู่ที่เดิมไม่ได้เคลื่อนย้าย” นิ่งซานตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“อย่าเพิ่งแจ้งบ้านข้า” ลู่เซิ่งกล่าวราบเรียบ

“ขอรับ!”

ลู่เซิ่งวางแผนจะหาโอกาสบอกคนในบ้าน เข้าใจดีว่าบิดาเตรียมใจต่อการตายของลู่เฉินซินไว้แล้ว คนที่เสียใจสุดแสนอย่างแท้จริงยังเป็นหวังเหยียนอวี่ ลู่เฉินซินเป็นบุตรคนเดียวของนาง

รอจนการปิดล้อมหมู่บ้านร้างแห่งนั้นผ่านพ้นไป ค่อยบอกก็ยังไม่สาย

ลู่เซิ่งเรียกอวี้เหลียนจื่อมาถามไถ่การจัดการในภายหลัง หลังยืนยันว่าไม่มีปัญหา ค่อยกลับไปพอกยา พักผ่อนรักษาอาการบาดเจ็บที่ห้องโอสถ

เวลาบ่าย เรือวาฬแดงส่งคนมาแจ้งข่าวว่า หมู่บ้านตระกูลต่งใกล้เมืองเลียบคีรีถูกภูเขาถล่มใส่ มีคนไม่น้อยโดนฝังทั้งเป็น ต้องการให้พวกเขาไปช่วยเหลือเก็บกวาด

ลู่เซิ่งให้อวี้เหลียนจื่อส่งยอดฝีมือคนหนึ่งของโถงอินทรีเหินนำคนสามสิบกว่าคนรวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือไป เขายังคงรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในห้อง

รอจนถึงเวลาพลบค่ำ ยอดฝีมือที่นำกลุ่มช่วยเหลือไปก็กลับมา สีหน้าไม่ดีอยู่บ้าง ไม่ใช่แค่เขา อวี้เหลียนจื่อที่ไปด้วยก็มีสีหน้าเหยเกเช่นกัน

“เป็นไร มีอุบัติเหตุหรือ”

นอกห้องเพาะดอกไม้ ลู่เซิ่งกำลังออกกระบวนท่าพื้นฐานของฝ่ามือทำลายใจอย่างเชื่องช้า เคลื่อนไหวเลือดลมในร่าง พลางถามอวี้เหลียนจื่อที่กลับมา

“ไม่ใช่” อวี้เหลียนจื่อส่ายหน้า “ไม่มีอุบัติเหตุ เพียงแต่ศพที่ต้องจัดการไม่ได้ตายเพราะภูเขาถล่ม หากศพทั้งหมดถูกฉีกกระจุย เจ้าหน้าที่จากจวนขุนนางล้วนถึงกับอาเจียนหมดสิ้น”

“ถูกฉีกกระจุย” การเคลื่อนไหวของลู่เซิ่งชะงัก ทราบว่าต้องเป็นเรื่องที่ภูตผีปีศาจกระทำแน่

“ดูจากร่องรอย คล้ายมีสองฝ่ายสู้กัน สภาพโหดเหี้ยมนองเลือดยิ่ง แขนขาขาดเต็มไปหมด เครื่องใน กระดูกสันหลังก็มีอยู่เยอะเช่นกัน” อวี้เหลียนจื่อเอ่ยเสียงทุ้ม

ลู่เซิ่งหลับตาใคร่ครวญ

“เรื่องนี้ท่านจัดการเสมือนภูเขาถล่ม ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น บอกพี่น้องที่ไปด้วยปิดปากให้สนิท แต่ละคนไปเบิกเงินหนึ่งตำลึงที่ห้องบัญชี

“รับทราบ” อวี้เหลียนจื่อพยักหน้า

“นอกจากนั้นช่วงนี้ภายนอกอาจวุ่นวายยิ่ง บอกให้ทุกคนอย่าออกไปไกล” ลู่เซิ่งกำชับ

“รับทราบ”

“ตามนี้ ไปเถอะ” ลู่เซิ่งตบบ่าปลอบใจอวี้เหลียนจื่อ

ช่วงเวลานี้ตระกูลเจินทำศึกใหญ่กับภูตผี ลู่เซิ่งเดาว่าสมควรเป็นคลื่นหลงเหลือหลังการแย่งชิงของวิเศษเมื่อก่อนหน้า

สตรีโคมไฟนางนั้นเห็นได้ชัดว่าสังกัดองค์กรหนึ่ง เหมือนกับเรือสำราญหอแดงก่อนหน้า ไม่แน่คนที่มาหาเรื่องเขาในครั้งนี้คือขุมกำลังหนึ่งที่กำลังทำศึกกับตระกูลเจิน

อวี้เหลียนจื่อหมุนตัวจากไป

ลู่เซิ่งมองตามเงาหลังของเขา ในใจคล้ายมีความคิดใด

‘ไตร่ตรองดู เราเป็นเพียงหัวหน้าคนหนึ่งในพรรควาฬแดง เทียบได้กับคนที่คอยเก็บกวาดในแนวหลังให้แก่ตระกูลเจิน จนถึงตอนนี้ยังไม่มีคนมาสร้างปัญหาให้ สมควรไม่มีใครทราบว่าเราฆ่าสตรีโคมไฟนางนั้น

ขอแค่ไม่เปิดเผยเบาะแส เรายังปลอดภัยอยู่

เราในตอนนี้ไม่อาจเข้าร่วมศึกระดับนั้น สิ่งที่ต้องทำคือยกระดับพลังของตัวเองเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยต้องรักษาความปลอดภัยของตัวเองในความสับสนแบบนี้

ส่วนวิธีการยกระดับ…’

หลายวันต่อมา

ใกล้เมืองเลียบคีรี มีข่าวคนสูญหายส่งมาอย่างต่อเนื่อง จวนขุนนางติดประกาศ บอกว่ามีผู้เข็มแข็งพวกหนึ่งเรียกโจรเขาศิลา ปล้นชิงคนใกล้เมืองเลียบคีรี หนำซ้ำไม่ไว้ชีวิตพยาน การกระทำโหดเหี้ยมถึงขีดสุด ให้ทุกคนลดการออกไปด้านนอก อย่าได้เดินออกนอกทางหลวง

เมืองเลียบคีรีรู้สึกถึงภยันอันตราย ทุกคนพากันลดการเดินทางไปด้านนอก แม้แต่ขบวนพ่อค้าและรถวัวขนผักผลไม้ที่ไปๆ มาๆ ก็ลดจำนวนลงไม่น้อย

พรรควาฬแดงกับค่ายพรรคสำนักที่เหลือ ร่วมมือกับจวนขุนนางสะกดสถานการณ์รอบๆ อย่างสุดกำลัง พอมีปัญหาก็จัดการปิดปาก โปรยเงินแก้ไขทันที

ลู่เซิ่งแม้รักษาอาการบาดเจ็บในห้องเพาะดอกไม้มาโดยตลอด แต่แค่เรื่องเก็บกวาดที่ส่งมาหาเขาก็มีถึงสามเรื่อง เขามีเวลาไปดู ล้วนโหดเหี้ยมนองเลือด แขนขาดขาขาด ไม่เหมือนการกระทำของคน

ด้วยพลังยุทธ์ของเขารู้สึกได้ถึงปราณที่เย็นเยียบ เห็นได้ชัดว่าต้องเกี่ยวข้องกับภูตผีปีศาจ

หลายวันให้หลัง ในที่สุดตระกูลเจินก็มีการตอบสนองแล้ว

ไม่ทันไรก็มีคนมาสองคน เป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีวัยเยาว์ ต้องการม้าที่แข็งแรงกำยำสองตัวจากเรือวาฬแดง ลู่เซิ่งไม่เห็นแม้แต่ใบหน้าของพวกเขา ได้ยินว่าทั้งสองไปยังทุ่งราบหยกเก่าทางใต้

วันที่สองมีข่าวส่งมาว่าไฟไหม้ทุ่งหญ้า ทุกคนในหมู่บ้านเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ใกล้เมืองเลียบคีรีหายสาบสูญ

บนแม่น้ำไม้สนมีเรือสำราญขนาดใหญ่สองลำเกิดเพลิงไหม้ แม่นางและแขกที่อยู่ด้านในไม่มีใครหนีรอดออกมาได้

เขาทราบแก่ใจว่า นี่คือการโต้ตอบของตระกูลเจิน พื้นที่ต่างๆ เช่นเมืองเลียบคีรีเป็นอาณาเขตขุมกำลังของตระกูลเจิน องค์กรภูตผีนั่นกล้าท้าทายย่อมเกิดการต่อสู้

ด้านนอกสู้กันอย่างดุเดือด ลู่เซิ่งกลับอ้างว่าบาดเจ็บ โยนทุกเรื่องให้อวี้เหลียนจื่อ ตนเข้าเมืองเลียบคีรีเริ่มแผนการของตัวเอง

“สุราดอกบ๊วย! สุราดอกบ๊วยชั้นดี! ชิมหนึ่งคำไม่หอมไม่เอาเงิน!”

“สุราเหลืองเขากวาง! หนึ่งชั่งสามเหวิน! สองชั่งห้าเหวิน!”

“สุราผลสยง (แบร์เบอร์รี่) หนึ่งไหสิบเหวิน ขายถูกๆ!”

บนถนนสุราของเมืองเลียบคีรี ลู่เซิ่งถือกล่องสี่เหลี่ยมสีขาวใบหนึ่ง เดินออกจากร้านสุราร้านหนึ่งอย่างเอ้อระเหย

เขาใส่เสื้อคลุมยาวสีเขียวอ่อน สวมหมวกซิ่วไฉปกปิดหัวที่ล้านเลี่ยน

เดินไปถึงข้างถนน เขาชั่งน้ำหนักกล่องในมือ พร้อมเรียกรถม้าคันหนึ่ง

“ไปไหนหรือคุณชาย” สารถีรถม้าถามด้วยรอยยิ้มปะเหลาะ

“โถงสมบัติเลิศ” ลู่เซิ่งบอกชื่อสถานที่

“ได้ขอรับ ท่านนั่งดีๆ” สารถีรถม้าชูแส้หวดใส่อากาศ ม้าแก่ค่อยๆ ขยับตัว แม้รู้สึกกินแรงยิ่ง แต่ยังคงเดินบนถนนอย่างมั่นคง

ลู่เซิ่งนั่งในรถ ปลดผ้าม่านลงบังสายตาจากด้านนอก จากนั้นวางกล่องในมือลงบนตัก เปิดฝาเบาๆ

ขวดกระเบื้องขนาดเล็กวางอยู่ด้านใน เป็นขวดปากเล็กสีขาว แต่ละใบใช้ผ้าขาวละเอียดเกลี้ยงเกลาอุดไว้

ขวดกระเบื้องสีขาวฝังในผ้าแพรพื้นดำ ค่อนข้างสะดุดตา

ลู่เซิ่งหยิบขวดใบหนึ่งขึ้นถอดจุกเบาๆ มองเข้าไปด้านใน

ในขวดกระเบื้องบรรจุของเหลวเหมือนน้ำที่ดำเหลือประมาณ เพิ่งถอดจุกออกก็ได้กลิ่นสุราเข้มข้นโชยออกมาปะทะหน้า

‘โลกหล้ายิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยเรื่องพิสดาร คิดไม่ถึงศิษย์พี่ศึกษาวิธีนี้ได้ สามารถกักเก็บพลังพันธนาการไว้โดยผสมในสุราเข้มข้น’ ลู่เซิ่งสะท้อนใจ ‘ถ้าเราทดลองเอง ไม่ทราบต้องรอนานขนาดไหนจึงจะทดสอบได้วิธีนี้’

หลังสะทกสะท้อน เขาเพ่งสมาธิเอียงขวดกระเบื้องใบเล็กใส่ฝ่ามือตัวเอง เทของเหลวสีดำหยดหนึ่งขนาดเท่าเม็ดงาออกมา

ซี่…

พริบตานั้น ฝ่ามือลู่เซิ่งปรากฏสีแดง ปราณแดงฉานทะลักสู่กลางฝ่ามืออย่างบ้าคลั่งไม่ขาดสาย ต้านทานของเหลวสีดำอย่างรุนแรง

ผิวหนังกลางฝ่ามือประเดี๋ยวเดียวกลายเป็นสีดำ เดี่ยวเป็นสีขาว ยื้อยันกันต่อเนื่อง กลิ่นเนื้อเน่าลอยออกมาจากบนมือ เหมือนกับวางเนื้อไว้นานจนเน่าเสีย

นี่เป็นวิธีที่เขาศึกษาได้ พลังพันธนาการกักเก็บไว้ในสุราเข้มข้นได้เป็นเวลานาน เขาจึงมาทดลองพลังยุทธ์ของตัวเองว่าถึงระดับไหนแล้ว ต่อสู้กับตัวประหลาดระดับพันธนาการเหล่านั้นได้หรือไม่

อย่างรวดเร็ว ไม่ถึงสิบลมหายใจ หยดน้ำกลางฝ่ามือลู่เซิ่งค่อยๆ สลายหายไป เขาเหงื่อออกเต็มตัว สีหน้าซีดขาวอยู่บ้าง

ลู่เซิ่งยกมือขึ้นดู ยิ้มหนักใจ

‘ตามการศึกษาของศิษย์พี่ สภาพอ่อนแอที่สุดที่พลังพันธนาการก่อตัวได้คือขวดกระเบื้องสิบใบเป็นอย่างน้อย ถ้าเราคิดเอาชนะความประหลาดลี้ลับที่เป็นรูปเป็นร่างกับคนของตระกูลขุนนางจริงๆ เงื่อนไขพื้นฐานก็คือต้านทานพลังพันธนาการได้ ถ้าแม้แต่พิษพันธนาการยังป้องกันไม่ไหว นั่นหมายความว่าแค่แตะ พวกเขาก็ต้องตาย ไม่ต้องพูดถึงการทำลายฉากกั้นพลังพันธนาการ

เขานึกย้อนถึงตอนขอขวดกระเบื้องเหล่านี้จากหงหมิงจือ ประมุขพรรคเฒ่าแสดงสีหน้าผิดหวังและหม่นหมอง แสดงว่าเคยทดลองต้านทานพิษกับพลังระดับพันธนาการมาก่อน น่าเสียดาย ล้มเหลวโดยไม่อยู่เหนือความคาดหมาย

‘พลังยุทธ์ของเราในตอนนี้เป็นวิชาลมปราณแดงฉานระดับหก ระดับเดียวกับศิษย์พี่ แต่ความจริงเรายังแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย อย่างไรศิษย์พี่ก็แก่ชราร่วงโรย จำเป็นต้องใช้พลังยุทธ์ไม่น้อยประคับประคองร่างไม่ให้เสื่อมถอย แต่เราแตกต่าง’

ลู่เซิ่งเขย่าขวดกระเบื้องในมือ ด้านในว่างเปลา ขวดมีแค่สุราพลังพันธนาการขนาดเท่าเม็ดงาหยดหนึ่ง

พลังอันพิสดารนี้ถูกเก็บไว้ในสุราความเข้มข้นสูงมาสิบกว่าปี จึงค่อยอ่อนกำลังลง

‘พลังยุทธ์ของเราได้แต่ฝืนต้านทานพิษพันธนาการได้หนึ่งในสิบส่วน ความแตกต่างในนี้มากเกินไปแล้ว…’ ลู่เซิ่งสะท้อนใจ

‘หวังว่าครั้งนี้จะได้ของดีจากโถงสมบัติเลิศ’

เขาออกมาในครั้งนี้ ด้านหนึ่งซื้อสุราด้วยตัวเอง และออกมาขยับเนื้อขยับตัวพักผ่อนหย่อนใจ อีกด้านหนึ่งคือโถงสมบัติเลิศเป็นร้านโบราณวัตถุที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเลียบคีรี บอกว่ามีของเก่าชุดหนึ่งเพิ่งมาถึง เชิญเขาไปเลือก

โถงสมบัติเลิศเป็นกิจการของชุมนุมล่องไพรหนึ่งในพรรคสองชุมนุมสามสำนัก

ชุมนุมล่องไพรกับพรรควาฬแดงมีความสัมพันธ์ใช้ได้ ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งแจ้งพวกเขาแล้วว่า ตนต้องการของที่ขุดจากหลุมศพส่วนหนึ่ง ทางด้านนั้นจดจำได้ทันที

……………………………………….