บทที่ 88 ยกระดับ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

รถม้าเคลื่อนที่อย่างมั่นคง เลี้ยวสี่ห้าโค้ง ทะลุบึงน้ำลานกว้างแห่งหนึ่ง ไม่ทันไรก็หยุดบนถนนที่ค่อนข้างเงียบสงบ

ลู่เซิ่งจ่ายเงินแล้วลงจากรถ แหงนมองป้ายต้อนรับทำจากหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงมุมถนน

บนหินสีขาวเทาที่เหมือนกับนิ้วขนาดใหญ่นิ้วหนึ่ง ใช้สีชาดเขียนตัวหนังสือตัวใหญ่อย่างชัดเจนว่า โถงสมบัติเลิศ

“นายท่านลู่! ท่านมาเหตุใดไม่ส่งคนมาบอกก่อนสักคำ พวกเราจะได้จัดสถานที่ต้อนรับท่าน!” เจ้าของร้านพอเห็นลู่เซิ่ง ตกใจรีบวิ่งมา ยิ้มเอาใจ

ในเมืองเลียบคีรีมีคนมีประสบการณ์ทราบช่องทางส่วนหนึ่ง ผู้ใดไม่รู้จักนามยิ่งใหญ่ของหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่ในตอนนี้บ้าง ผลการต่อสู้ สังหารท่านประมุขกงซุน พริบตาเดียวก็สร้างภาพลักษณ์ยอดฝีมือโหดเหี้ยมที่มีพลังเหี้ยมหาญในใจทุกผู้ทุกคน

“เชิญด้านในๆ!” เจ้าของเป็นคนอ้วนฉุ พยายามเบิกตาตี่ ใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อตลอดเวลา พาลู่เซิ่งเดินไปด้านใน

“ของเล่า” ลู่เซิ่งคร้านจะพิจารณาลักษณะของร้าน ตอนนี้เขารีบ ฉวยโอกาสที่ตระกูลเจินต่อสู้กับภูตผีอย่างดุเดือดอยู่ด้านนอก ยกระดับตัวเองและเตรียมตัวให้พร้อมโดยแข่งกับเวลา

“ทางนี้ อยู่นี่หมดแล้ว!” เจ้าของรีบกล่าว หลังพาลู่เซิ่งเข้าร้าน ก็ทะลุเข้าโถงหลัง มาถึงด้านหน้าหีบใหญ่สองใบตรงมุมกำแพงอย่างรวดเร็ว

“เพิ่งขุดขึ้นมาจากดินอย่างแท้จริง แม้แต่กลิ่นโคลนยังไม่ทันล้าง ขออภัยท่านด้วย” เจ้าของยิ้มประจบ

“พวกเจ้าเปิดฝา!”

เขารีบให้พนักงานที่อยู่สองด้านยกฝาหีบออก

พนักงานชายสองคนที่มีกล้ามเนื้ออยู่บ้างเข้าไป แยกกันเปิดสลักของหีบทั้งสองใบ พลิกฝาหีบขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตึง

ฝาหีบชนใส่กำแพงด้านหลัง ส่งเสียงทึมทึบ เผยให้เห็นสิ่งของกระจัดกระจายอยู่ด้านใน

“ไม่เป็นไร ที่ข้าต้องการคือของสดใหม่” ลู่เซิ่งไม่นำพา นั่งยองๆ ลงหยิบกระบี่สำริดเล่มหนึ่งขึ้นมา

ไม่มีปราณหยิน

เขาเปลี่ยนเป็นเชิงเทียนทองแดงอีกชิ้น

ไม่มีปราณหยินเช่นกัน

ชิ้นที่สาม เป็นกระบี่เหล็กสั้น

ยังคงไม่มี

“ข้าจะดูเองทีละชิ้น พวกเจ้าไม่ต้องสนใจ ไปทำงานเถอะ” ลู่เซิ่งว่า

เจ้าของไหนเลยกล้าไป เดิมทีเขาไม่ใช่เจ้าของร้านแห่งนี้ แต่เป็นผู้ดูแลใหญ่ของร้านสมบัติเลิศ เพียงได้ยินเบื้องบนถ่ายทอดคำสั่งว่า หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกลู่แห่งพรรควาฬแดงจะมาเลือกของที่ร้านสาขาย่อยของตน ก็ตกใจรีบมาจากบ้าน ต้อนรับลู่เซิ่งด้วยตัวเอง

เขาโบกมือเงียบๆ ให้อีกสองคนไป ตนถอยหลังไปสองสามก้าว เฝ้าอยู่ที่นี่คนเดียว คอยฟังคำสั่งตลอดเวลา

ลู่เซิ่งหยิบของมาโยนไปด้านข้างทีละชิ้นๆ ไม่ทันไรก็ดูของหลายสิบอย่างในหีบใหญ่ใบแรกจนหมด ไม่มีปราณหยินสักชิ้น

เขาไม่ประหลาดใจ ปราณหยินเก็บไว้ในสิ่งของได้ แต่สลายตัวเร็วยิ่ง ของที่ปราณหยินแทบไม่หายไปหายากสุดขีด

ลู่เซิ่งเดินถึงหน้าหีบใบที่สอง นั่งยองๆ พลิกดูต่อ

ของแต่ละชิ้นถูกหยิบออกมา ไม่ทันไรก็โดนโยนไปด้านข้าง ดูได้ครึ่งหนึ่ง การเคลื่อนไหวของลู่เซิ่งพลันชะงัก มือหยุดลง จับกำไรหยกสีแดงดิ้นทองชิ้นหนึ่งไว้ ไม่สนใจโคลนสีเหลืองดำที่เบื้อนอยู่ เอาขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด

ปราณหยินอันเย็นเยียบหลายสายไหลจากกำไลหยกนี้เข้าสู่มือลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง

เขาตรวจสอบกำไลชิ้นนี้ ด้านบนมีอักษรเล็กๆ แถวหนึ่ง

‘เก้าหงส์ธารใสอยู่หนใด’

“กำไลชิ้นนี้มาจากที่ใด” เขาหยิบขึ้นมาถามเจ้าของ

“เรียนคุณชาย ของเหล่านี้ต่างเอามาจากศพไร้ญาติ มาจากไหนพวกเราเองก็ไม่แน่ใจ” เจ้าของตอบอย่างลำบากใจ

“เอาเถอะ ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งวางกำไรหยกลงด้านข้าง พลิกสิ่งของที่เหลืออยู่ต่อ

ครั้งนี้ไม่โชคดีเหมือนก่อนหน้า ของที่เหลืออยู่ทั้งหมดไม่มีปราณหยิน

ลู่เซิ่งหยิบกำไลหยกดิ้นทองลุกขึ้น

“ข้าเอากำไลชิ้นนี้ บอกราคามาเถอะ”

เจ้าของรับมาดู

“ในเมื่อนายท่านลู่ให้เกียรติ เช่นนั้นก็ขายราคาต้นทุนยี่สิบตำลึงก็แล้วกัน”

ลู่เซิ่งล้วงตั๋วเงินสองใบยี่สิบตำลึงออกมาให้ ลุกขึ้นนำกำไลหยกออกจากโถงภายใน

“ภายหลังมีของมาใหม่อีก อย่าลืมแจ้งข้า”

ก่อนไปเขากำชับผู้ดูแลใหญ่คนนี้

“ท่านวางใจ ต้องแจ้งแน่!” เจ้าของร้านยิ้มแย้มตอบกลับ

ลู่เซิ่งถือกำไลหยก เรียกรถม้า ก่อนกลับไปห้องเพาะดอกไม้

ระหว่างทางกำไลหยกชิ้นนั้นถ่ายปราณหยินเข้าสู่ในร่างเขาอย่างต่อเนื่อง

กลับถึงห้องเพาะดอกไม้ เขากลับห้องพักผ่อน สั่งทุกคนห้ามรบกวน ปิดประตูเรียบร้อย

ลู่เซิ่งนั่งลง ใช้น้ำชาในกาน้ำชาล้างกำไลหยกรอบหนึ่ง จากนั้นเช็ดผ้าจนแห้ง กำไลหยกพลันแวววาวผิดปกติ

หยกสีแดงมีสีเลือดเลือนรางในเส้นแสง

ตอนนี้ปราณหยินในกำไลหยกถูกดูดมาพอประมาณแล้ว

‘ดีปบลู!’

เครื่องมือปรับเปลี่ยนเด้งขึ้นมาด้านหน้าลู่เซิ่ง

เขาเพ่งสมาธิมองด้านหลังกรอบวรยุทธ์ ยังดี ด้านหลังวรยุทธ์ส่วนใหญ่ต่างมีปุ่มกด มีแค่หลังวิชาหยินหยางกระเรียนหยกที่ไม่มี

เขามองดูวิชาลมปราณแดงฉาน ด้านหลังวิชาลมปราณแดงฉานระดับหกมีปุ่มกด แสดงว่าปราณหยินที่ดูดซับในครั้งนี้มากพอจะยกระดับมันขั้นหนึ่ง

[เรียนรู้วรยุทธ์หรือไม่] คำถามบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนโผล่มาอีกครั้ง

‘ใช่’ ลู่เซิ่งขบคิด ยังคงเลือกใช่เหมือนครั้งก่อน

กรอบข้อความหายไป เขารีบมองไปที่วิชาลมปราณแดงฉานอยู่ ปุ่มกดด้านหลังยังอยู่

‘คิดจะต้านพิษพันธนาการ สิ่งที่มีผลเพียงหนึ่งเดียวของเราคือวิชากำลังภายในธาตุหยาง วิชาลมปราณแดงฉานเป็นที่พึ่งหลักที่ต้องยกระดับก่อน ทั้งยังเป็นกำลังหลักที่เราใช้เล่นงานภูตผีได้’

ลู่เซิ่งยืนยันตัวเลือก เพ่งสำนึกกดบนปุ่มด้านหลังวิชาลมปราณแดงฉานอย่างรวดเร็ว

ชิ้ง

เมื่อกดปุ่ม กรอบก็จางลง ไม่ทันไรก็ชัดขึ้นอีกรอบ ตัวหนังสือก่อนหน้ากลายเป็นสภาพใหม่โดยสิ้นเชิง

[วิชาลมปราณแดงฉาน: ระดับเจ็ด ผลพิเศษ: ตาข่ายโลหิต เสริมแกร่งพิษอัคคี แรงกระแทกหกชั้น เสริมจุดไฟ]

‘ตาข่ายโลหิต…มีจริงๆ ด้วย’ ลู่เซิ่งยินดี

ตามคัมภีร์ลับ เมื่อวิชาลมปราณแดงฉานบรรลุระดับสูงสุด ปราณภายในจะไหลเวียนเป็นวัฏจักร พลังไฟไปถึงขีดจำกัด เกิดเครือข่ายปราณภายในที่ปกคลุมผิวทั่วตัวชั้นหนึ่ง

นี่คือตาข่ายโลหิตที่บนคัมภีร์บอก

แต่ว่าตาข่ายโลหิตที่เป็นรูปธรรมมีอานุภาพขนาดไหน ลู่เซิ่งก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ถึงจะรู้สึกว่าพลังยุทธ์ทั่วร่างแข็งแกร่งขึ้นมาด้วยความเร็วสูง แต่การเปลี่ยนแปลงละเอียดอ่อนอื่นๆ ไม่ได้รู้สึกถึงมากนัก

เขาหยิบกล่องขาวใบนั้นออกมาเปิด เอาขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาเปิดจุก แล้วเทของเหลวสีดำหยดหนึ่งใส่ฝ่ามือตัวเองเบาๆ

ซี่…

ควันขาวลอยขึ้น กลิ่นเหม็นเน่าโชยมา

ลู่เซิ่งเห็นอย่างชัดเจนว่าของเหลวสีดำหยดนั้นกลิ้งอย่างต่อเนื่องอยู่กลางฝ่ามือตนเอง เล็กลงและระเหยไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับหยดลงบนหม้อร้อน

‘หนึ่งหยดผ่อนคลายมากแล้ว ใช้แค่สามลมหายใจก็ทำลายได้’ ลู่เซิ่งสัมผัสการสิ้นเปลืองปราณภายใน ‘คุณภาพปราณแดงฉานก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย เพียงใช้พลังยุทธ์สองส่วนก็มีผลเท่าก่อนหน้า แม้ปริมาณหลักเพิ่มไม่มาก แต่พลังยุทธ์ในความเป็นจริงอย่างน้อยเพิ่มมากกว่าสี่เท่า!

สมกับเป็นขอบเขตสูงสุดของวิชาลมปราณแดงฉาน’

‘ทดลองตาข่ายโลหิตดู’ ลู่เซิ่งลุกขึ้น โคจรปราณภายในทั่วร่าง

ทันใดนั้นเขารู้สึกได้ว่าตาข่ายปราณภายในที่มองไม่เห็นและไร้รูปร่างชั้นหนึ่งโผล่ขึ้นบนผิวหนังอย่างรวดเร็ว ปกป้องทุกส่วนทั่วทั้งร่างไว้

‘น่าสนใจ’ เขายกนิ้วชี้ขึ้นค่อยๆ ยื่นเข้าหาโต๊ะ

ตอนที่ห่างผิวโต๊ะข้อหนึ่ง ลู่เซิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าปลายนิ้วมีของบังอยู่ ไม่อาจขยับไปด้านหน้าได้อีก

หนำซ้ำของสิ่งนี้มีความยืดหยุ่นเป็นอย่างยิ่งเหมือนกับดอกฝ้ายกลุ่มหนึ่ง บีบอัดไปด้านหน้าได้หลายครั้ง แต่ไม่อาจแตะต้องผิวโต๊ะ

ซี่…

ทันใดนั้นขอบโต๊ะลุกไหม้ขึ้น เปลวเพลิงสว่างไสวลามตามผ้าปูโต๊ะอย่างรวดเร็ว

‘ถึงแม้มีผลป้องกันระดับหนึ่ง ทั้งมีคุณสมบัติพิษอัคคี แต่ว่าอุณหภูมิช้าและต่ำเกินไป แม้แต่โต๊ะต้องแตะอยู่หลายอึดใจค่อยจุดไฟได้…’ ลู่เซิ่งยกกาน้ำชาขึ้นสาดใส่โต๊ะ ดับหย่อมไฟที่ลุกไหม้ขึ้น

‘เผชิญคนธรรมดาหรือยอดฝีมือทั่วไป ตาข่ายโลหิตนี้มีประสิทธิผลไร้สิ้นสุดจริงๆ บนตัวขอแค่ใส่เกราะหนังชั้นหนึ่ง กอปรกับพลังป้องกันจากตาข่ายโลหิตชั้นนี้ ต่อให้เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งก็ลดอานุภาพได้หลายเท่าตัว

แต่เผชิญกับภูตผี นี่ไม่พอแล้ว ต้องเสริมแกร่งต่อ!’

‘จริงด้วย ดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้าก็แสดงปราณในสภาพตาข่าย อาจจะส่งเสริมได้’ ลู่เซิ่งรีบอ่านคัมภีร์ลับวิชาลมปราณแดงฉานอย่างรวดเร็ว

น่าเสียดาย ดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้าที่พูดถึงเป็นแค่ฉบับโดยสังเขปที่สร้างเลียนแบบผลพิเศษของวิชาลมปราณแดงฉานระดับเจ็ด

ตอนนี้เขามีพลังยุทธ์ระดับเจ็ด ดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้าเหมือนโครงไก่อยู่บ้าง

‘เรามีคุณูปการระดับสามขั้นหนึ่งอยู่พอดี เอาไปเลือกวรยุทธ์ที่ชอบในพรรคได้ คุณูปการขั้นหนึ่งสมควรเลือกวิชาเดินลมปราณกำลังภายในที่ดีที่สุดสองสามเล่มนั้นได้กระมัง’ ลู่เซิ่งจนปัญญาอยู่บ้าง

ต่อให้ฝึกฝนวิชาลมปราณแดงฉานถึงจุดสูงสุด บรรลุขอบเขตเจ้าสำนักอาทิตย์ชาดรุ่นก่อน เทียบคำนวณกับพิษพันธนาการในขวดกระเบื้องก็ได้แต่ต้านพิษได้เพียงครึ่งหนึ่งของพลังพันธนาการ

ลู่เซิ่งเดาว่าระดับการต้านทานต่อพิษชนิดนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับพลังป้องกันของพลังพันธนาการ

หากเป็นแบบนี้ ต่อให้เขาระเบิดพลังยุทธ์ในตอนนี้ทั้งหมด อย่างน้อยต้องเพิ่มอีกหนึ่งเท่า จึงอาจทำลายฉากกั้นป้องกันของพลังพันธนาการได้

“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก! ประมุขพรรคมีคำสั่งให้ระดับสูงทุกคนไปรวมตัวกันที่เรือวาฬแดง!”

เสียงของอวี้เหลียนจื่อพลันแว่วเข้ามาจากนอกประตู

“ระดับสูงทุกคนหรือ” ลู่เซิ่งหยีตา “บอกไหมว่าเรื่องอันใด”

“ไม่” อวี้เหลียนจื่อก็คับข้องใจเช่นกัน สุดท้ายเขาก็ไม่นับเป็นระดับสูง ความสามารถมีมากพอ หากขาดพลังไปบางส่วน ยังต้องขัดเกลา ไม่อย่างนั้นเวลานี้เขาก็จะรู้จริงแล้ว

“ทราบแล้ว ข้าจะออกไปทันที กำลังไปจะตำหนักใหญ่อยู่พอดี”

ลู่เซิ่งเก็บขวดกระเบื้องใส่กล่อง เอาไว้ใต้เตียง จากนั้นค่อยจัดแจงเสื้อผ้า เปิดประตูห้อง

“ม้าเตรียมไว้แล้ว หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกประหยัดหน่อย ม้าดีตัวหนึ่งแพงยิ่ง บอกหายก็หาย ไม่ว่าผู้ใดก็ฟุ่มเฟือยแบบนี้ไม่ได้” อวี้เหลียนจื่อกำชับลู่เซิ่งอย่างอับจน ม้าที่ลู่เซิ่งขี่ออกไปก่อนหน้านี้ ตอนหลังไม่ทราบไปที่ใดแล้ว ทำให้ม้าดีหนึ่งตัวของสาขาพรรคในเมืองเลียบคีรี ณ เวลานี้หายไปหมด

“ทราบแล้ว” ลู่เซิ่งอดหัวเราะไม่ได้ พอออกจากห้องก็มีพลพรรคจูงม้ากำยำสีแดงตัวหนึ่งมาถึงหน้าเขา

“ยังมี คืนนี้นำศพของลู่เฉินซินกลับมาได้แล้ว ถึงเวลาแล้วกระมัง” เขาพลันนึกได้จึงถาม

“ถึงเวลาแล้ว” อวี้เหลียนจื่อพยักหน้า ไม่ทราบเพราะอะไร ตอนนี้พอมองลู่เซิ่ง มักรู้สึกว่าเป็นคนละคนกับก่อนหน้า

ถ้าหากว่าบอกว่าก่อนหน้านี้ทำให้คนรู้สึกอันตรายเหมือนเป็นสัตว์ร้าย เช่นนั้นหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกในตอนนี้มีลมปราณหนักแน่นเต็มเปี่ยม มอบความสงบที่มั่นคงดั่งภูผาให้แก่ผู้คน

“อย่างนั้นส่งมาที่นี่ก่อน ข้าจะส่งกลับไปด้วยตัวเอง” ลู่เซิ่งสั่ง ไม่ว่าอย่างไรที่บ้านก็ต้องการคำว่ากล่าว

……………………………………….