บทที่ 46 ยอมแพ้
มุมปากหลัวซิวก็เผยแสยะยิ้มออกมา ในเขาปาฉี เขาเคยเจอกับแมวเงาลายดอก เป็นอสูรระดับ2 รวดเร็วจนตาเปล่ามองไม่ทัน ความเร็วของเฟิงเซวียนจวี๋ที่แสดงออกมา พอเทียบกับมันแล้ว สู้ไม่ได้เลย
จากนั้นก็เข่นฆ่ากันกับแมวเงาลายดอกตัวนั้น ภายใต้ความเป็นความตาย ทำให้หลัวซิวบรรลุทักษะที่หลบหลีกได้ในระยะมิลลิเมตร และวิชาท่าร่างก้าวสั้นก็สำเร็จเกินขั้นบรรลุผล ไปจนถึงระดับแดนบริบูรณ์
เขายังเอาวิชาท่าร่างและวิชากระบี่ผนวกเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว ก็เลยฆ่าเอาชนะแมวเงาลายดอกตัวนั้นได้
เฟิงเซวียนจวี๋ถือตัวมาก กระบี่ยังไม่ออกจากฝัก แต่ใช้ฝักกระบี่ฟันมาที่หัวของหลัวซิว
แต่หลัวซิวก็ยังทำเหมือนกับที่สู้กับคนอื่นๆ ก้าวขาเคลื่อนไปด้านข้างช้าๆ หลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
“ฟุบ!ฟุบ!ฟุบ!……”
เฟิงเซวียนจวี๋ออกกระบวนท่าเต็มที่ ลงมือติดต่อกัน แต่ก็ไม่โจมตีโนตัวของหลัวซิวได้แม้แต่ชายเสื้อ
“ให้ตายสิ!นี่มันเป็นวิชาก้าวสั้นระดับ2จริงหรือนี่? ทำไมรู้สึกว่าร้ายกาจกว่าวิชาท่าร่างระดับ3เสียอีก?”
ด้านล่างเวทีตื่นเต้นตกใจ ทุกคนจ้องมองไปยังชายหนุ่มสวมชุดดำหลัวซิว อึ้งตาค้าง อ้าปากจนแทบจะยาวถึงพื้นอยู่แล้ว
จริงๆแล้ว วิชาท่าร่างของหลัวซิวมันได้เกินไปจากวิชาก้าวสั้นระดับ2แล้ว จากที่ได้ปรับปรุงตามผังลายเส้นชีวิต ก็สามารถเทียบกับวิชายุทธ์ระดับ3ได้แล้ว
แบบนี้ก็แสดงว่า จริงๆ แล้ววิชาหมัดและทักษะยุทธ์ของหลัวซิว ถือว่าเป็นวิชายุทธ์ระดับ3แดนบริบูรณ์แล้ว!
ฉากนี้ ทำให้เจ้าสำนักยุทธ์ที่อยู่บนห้องใต้หลังคาออกอาการขึ้นมา รอยยิ้มบนใบ้หน้าหายไป ดวงตาหรี่ลง แล้วจ้องมองไปยังหลัวซิวในสนามแข่งขัน
เขาคือคนที่ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปเป็นคนเก่งระดับแดนปรมาจารย์ในโลกยุทธ์แล้ว สายตาและความรู้ก็ไม่ใช่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ จะเทียบได้
ตอนแรกเขายังมองไม่ออก เพราะว่าคู่ต่อสู้ของหลัวซิวนั้นอ่อนแอมาก แต่ว่าเฟิงเซวียนจวี๋เป็นถึงคนที่มีวิชาท่าร่างระดับ3 ฝึกยุทธ์ระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบฝีมือกัน ในที่สุดเขาก็ได้เห็นสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ด้านใน
“ดีนักนะหลัวซิว แค่วิชายุทธ์ระดับ2 ก็ถูกเอ็งฝึกจนเทียบกับวิชายุทธ์ระดับ3ได้เลย นี่มันไม่ใช่อัจฉริยะธรรมดา นี่มันฟ้าส่งมาเกิด!”
เขาอดหัวใจพองโตขึ้นมาไม่ได้ ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักยุทธ์ ในเมืองชิงหยุนดูเหมือนจะตำแหน่งสูง แต่ถ้าอยู่ในทั้งเขตการปกครองหยุนหลง ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
ถ้าในเมืองชิงหยุนมีคนที่เป็นยอดอัจฉริยะได้เข้าไปในสำนักเซียวเหยา เขาก็จะมีผลงานที่เสนอชื่อไป ไม่แน่ว่าอาจจะได้รางวัลจากสำนัก เพื่อให้ได้เขาได้มีโอกาสที่จะฝึกยุทธ์ทะลุแดนได้เป็นแดนเทพยุทธ์!
จริงๆ แล้วเจ้าสำนักยุทธ์ของแต่ละเมืองก็ไม่ต่างจากเขามากนัก ผลการฝึกตนถึงระดับฝึกจิตครึ่ง ใช้พลังในตัวหมดแล้ว ยากที่จะบรรลุระดับต่อไป
ดังนั้นสำนักเซียวเหยาก็เลยให้โอกาสพวกเขา ส่งตัวมาดูแล้วสำนักยุทธ์ต่างๆ ในเมืองใหญ่ ถ้าหากว่าสามารถแนะนำยอดอัจฉริยะเข้ามาสำนักได้ ก็จะได้ยาฝึกจิตเป็นรางวัลแล้วก็ได้พัฒนาตัวเองจนถึงระดับแดนเทพยุทธ์
ตั้งแต่แดนพรสวรรค์ถึงแดนเทพยุทธ์ เป็นอุปสรรคที่ใหญ่มาก ถ้าบรรลุได้ ก็จะมีอายุยืนถึง800ปี มีเวลมากพอที่จะไปพัฒนาตัวเองให้มีระดับที่สูงขึ้นไป
แต่ถ้าไม่สามารถบรรลุแดนเทพยุทธ์ได้ อย่างมากก็มีอายุแค่100กว่าปี พอร่างกายเริ่มแก่ตัวไปเรื่อยๆ เลือดลมอ่อนแรง พละกำลังก็จะอ่อนแรงไปด้วย ถ้าอยากจะบรรลุก็คงจะยาก
“แพล๊ง!แพล๊ง!”
มีเสียงดังขึ้น2ครั้ง ในสนาม หลัวซิวและเฟิงเซวียนจวี๋เหมือนจะชักกระบี่ออกมาพร้อมกัน
“วิชากระบี่บรรลุผลงั้นหรือ?”
เจ้าสำนักยุทธ์ตกใจอีกครั้ง แต่ไม่นานก็เก็บอารมณ์ได้ สุดยอดอัจฉริยะที่สามารถฝึกวิชายุทธ์ระดับ2ให้มีพลังเหมือนกับวิชายุทธ์ระดับ3ได้ ภายในสองเดือนก็ฝึกวิชากระบี่จะถึงขั้นบรรลุผล ทำให้เขารู้สึกว่ามันก็สมเหตุสมผลกันอยู่
ในสนาม สีหน้าเย่อหยิ่งของเฟิงเซวียนจวี๋ก็มลายสิ้น ถึงแม้จะเป็นวิชากระบี่ฟ้าแลบแดนบรรลุผลเหมือนกัน แต่วิชากระบี่ของหลัวซิวแข็งแกร่งกว่าเขา แถมยังออกกระบวนท่าเร็วกว่าด้วย สามารถกดเขาได้อย่างสิ้นเชิง
พูดถึงวิชาท่าร่าง เขาสู้หลัวซิวไม่ได้ พูดถึงวิชากระบี่ เขาก็สู้หลัวซิวไม่ได้อีก!
คิดๆ ที่ก่อนหน้านี้ที่ตนเองได้บอกไปว่าจะเอาชนะภายใน3กระบวนท่า เฟิงเซวียนจวี๋ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า เรื่องนี้มันจะต้องกลายเป็นเรื่องตลกที่ใหญ่มากแน่ๆ
“วิ๊ง!”
แสดงกระบี่สาดเข้ามาในทันใด อยู่ดีๆ ตัวของเฟิงเซวียนจวี๋ก็นิ่งไป เพราะว่ากระบี่ยุทธ์สีดำในมือของหลัวซิวนั้น ได้ชี้ปลายกระบี่มาที่คอหอยของเขาแล้ว ห่างเพียงแค่มิลลิเมตร!
“ผม………..ผมยอมแพ้!”
เฟิงเซวียนจวี๋ก็กัดฟันจนแทบจะแตก อยากจะมุดแผ่นดินหนี
เขารู้ดีว่าตนเองแพ้แล้ว ไม่เพียงแค่แพ้การประลองยุทธ์ แม้แต่ศักดิ์ศรีและจิตใจ ก็แพ้อย่างราบคาบ
บนห้องใต้หลังคา เจ้าสำนักยุทธ์หายใจเข้าอย่างแรง นิ้วมือก็เคาะลงที่พนักแขนเบาๆ
ฝึกพลังหยางบริสุทธิ์ขั้นสุดยอดระดับ3สำเร็จ ภายใน5เดือนจากการกลั่นร่างขั้น2บรรลุมาถึงการกลั่นร่างขั้น9 ภายในสองเดือนฝึกวิชากระบี่ฟ้าแลบจนถึงแดนบรรลุผล แถมยังผนวกเข้ากับวิชาท่าร่าง เรียกได้ว่าไม่มีคู่ต่อสู้อีกแล้วในใต้ระดับแดนฝึกชี่ไห่!
หนึ่งในนี้ ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ ล้วนสามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ แต่เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นกับคนเพียงคนเดียวทั้งหมดเลย…..
จากนั้น การแข่งขันรอบที่สามก็ดำเนินต่อไป สวี่ชิวเซิงและหลัวซิวชนะกันคนละสนาม เป็นที่1เท่ากัน ดังนั้นก็เลยวนมาถึงการประลองกันของหานซานกับเฟิงเซวียนจวี๋ ถ้าใครชนะ ก็จะได้อยู่ในรายชื่อด้านหน้า
“ฮ่าๆ ไอ้หนุ่ม เห็นหน้ามึงขี้ขลาดบูดเบี้ยวเหมือนมะระแบบนั้น หรือว่าแพ้จนร้องไห้ไปแล้วล่ะ?” หานซานเดินขึ้นมาบนเวทีประลองยุทธ์ หัวเราะพูดเสียงหนักแน่น
“ไอ้ทึ่มตัวใหญ่ กูไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลัวซิว แต่มึงก็เป็นได้แค่เป้าาของกูเท่านั้นแหละ!” เฟิงเซวียนจวี๋ส่งเสียงโมโห กระบี่ยุทธ์ก็ออกจากฝัก
“ฮ่าๆ มาเลย ระวังดาบเปิดเขาของพี่ฟันจนเบี้ยวไปนะน้อง!”
สองคนประชันหน้ากัน ล้วนมีผลการฝึกตนระดับการกลั่นร่างขั้น9ขั้นสูงเหมือนกัน รังสีของปราณในก็สาดออกมาทั่วตัว
อันดับรายชื่อของปีที่แล้วนั้น หานซานอยู่ลำดับที่2 เฟิงเซวียนจวี๋อยู่ลำดับที่3
ในชั้นหัวกะทิ พวกเขาสองคนถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกัน
“ไอ้ทึ่มตัวใหญ่ เดี๋ยวจะให้ลิ้มลองความร้ายกาจของวิชากระบี่ฟ้าแลบ!”
เฟิงเซวียนจวี๋ตะโกนออกไป กระบี่คมกริบออกจากฝัก รังสีกระบี่เยือกเย็นฟันผ่านอากาศไป รวดเร็วดั่งสายฟ้า จนน่าตกใจ
เขารู้ดีว่าตนเองแพ้ให้กับหลัวซิวไปแล้วหนึ่งสนาม ถ้ายังไม่มีโอกาสชนะสวี่ชิวเซิงได้ล่ะก็ และถ้าครั้งนี้แพ้ให้หานซานไป เกรงว่าจะไม่ได้เข้า3อันดับแรก
ดังนั้นสนามนี้ เฟิงเซวียนจวี๋จะต้องสู้อย่างเต็มกำลังที่สุด
ตอนที่ประมือกับหลัวซิวนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิชาท่าร่างหรือวิชากระบี่ ก็ล้วนถูกหลัวซิวกดไว้หมด แต่ตอนนี้สู้กับหานซาน เขาก็สามารถแสดงพลังฝีมือที่แท้จริงของตนเองออกมาได้แล้ว ทำให้คนด้านล่างเวทีล้วนส่งเสียงตื่นเต้นตกใจขึ้นมา
แพล๊ง!พล๊าง!แพล๊ง!
ดาบและกระบี่กระทบกัน เฟิงเซวียนจวี๋ถอยร่นไป3ก้าว แต่เขาก็รีบใช้วิชาเคลื่อนไหวย้ายร่างเปลี่ยนเงาทันที กระบี่ไวดั่งเม็ดฝน ทำให้หานซานจำเป็นต้องขับเคลื่อนปราณในออกมาป้องกันทันที
สองคนนี้ หานซานเน้นด้านพละกำลังและการปัดป้อง ส่วนเฟิงเซวียนจวี๋นั้น เน้นคล่องแคล่วว่องไว คนหนึ่งมั่นคง คนหนึ่งเร็วดั่งลม
ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือขั้นสุดยอดของ พลังของสองคนนี้จะร้ายกาจกว่าการกลั่นร่างขั้น9ธรรมดาทั่วไปมาก
เฟิงเซวียนจวี๋ได้ฝึกฝนจนวิชาท่าร่างและวิชากระบี่จนถึงแดนบรรลุผล วิชาดาบและวิชาปราณแข็งของหานซานก็ฝึกจนถึงแดนบรรลุผลแล้วเหมือนกัน
ช่วงพริบตา สองคนก็ได้สู้กันไปกว่า20กระบวนท่าแล้ว ใครก็ทำอะไรอีกฝั่งไม่ได้เลย เฟิงเซวียนจวี๋ไม่อาจทำลายการป้องกันของหานซานได้ ส่วนหานซานก็อาจจะตามความเร็วของเฟิงเซวียนจวี๋ได้
ตอนนี้ สองคนจะวัดกันที่ปราณในของใครจะหมดก่อนกัน และใครจะอดทนได้นานกว่ากัน