คำพูดของฟีเรนเทียไม่ใช่คำโกหก

หลังจากเริ่มเรียนคลาสฟันดาบอย่างจริงจัง สองแฝดก็ให้ความสนใจในตระกูลบราวน์เป็นอย่างมาก

ตระกูลบราวน์เป็นตระกูลที่ได้รับความเคารพและมีอิทธิพลต่อเหล่านักดาบทั่วอาณาจักรมากถึงเพียงนั้นเลยทีเดียว

ถึงแม้จะถูกขับไล่ออกไปจากเขตแดนที่พวกเขาเป็นผู้ปกครองมาหลายสมัยกว่าสามสิบปีอย่างไร้เกียรติ ทั้งหลังจากนั้นอำนาจของตระกูลก็ยังตกต่ำลงสุดๆ ก็ตาม

เมื่อตระกูลเริ่มเสื่อมสลาย ตัวแคทเธอรีนเองก็ไร้ที่ไป นางจึงเติบโตมาด้วยการพึ่งพาลอมบาร์เดีย และหลังจากบรรลุนิติภาวะจึงค่อยเข้าไปทำงานในพระราชวังในฐานะนางกำนัล

“ได้ยินมาว่าเป็นวิชาดาบที่เก่งกาจมาก ขนาดที่ประชาชนของอาณาจักรร่ำเรียนกันถ้วนหน้า จนถูกขนานนามว่าเป็นวิชาดาบประจำอาณาจักรเลยนะคะ!”

พอเห็นเธอพูดราวกับมันเป็นเรื่องใหญ่โต ใบหน้าของแคทเธอรีนก็ค่อยๆ ขึ้นสีแดงก่ำเล็กน้อย

“ชมเกินไปแล้วค่ะ”

ตอนนั้นเองสองแฝดก็ตื่นเต้นมากเสียจนเอ่ยถามแคทเธอรีนเสียงดัง

“จะ…จริงเหรอครับ”

“คนจากตระกูลบราวน์จริงๆ”

“น่าอายแต่เป็นเช่นนั้นจริงๆ ค่ะ”

“ว้าว!”

น้ำเสียงชื่นชมดังขนาดคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พวกเราหลายคนต้องหันมามองกันอย่างพร้อมเพรียง

“ถ้างั้นแคทเธอรีนเองก็เรียนฟันดาบด้วยเหรอคะ”

คำถามของเธอทำให้แคทเธอรีนโชว์มือของตัวเองที่มีเนื้อด้านปูดเล็กน้อยให้เห็น

“เรียนแค่ระยะสั้นๆ เพื่อฝึกฝนร่างกายเท่านั้นเองค่ะ”

“ได้ยินว่าผู้หญิงตระกูลบราวน์ต่างก็เรียนวิชาฟันดาบ เป็นเรื่องจริงนี่เอง…”

สองแฝดอ้าปากค้าง ทำตัวราวกับได้สมัครเป็นสมาชิกแฟนคลับตระกูลบราวน์เรียบร้อยแล้ว

“ถ้างั้นตอนนี้ก็ไม่จับดาบแล้วเหรอคะตอนนี้แคทเธอรีนทำงานอะไรคะ”

ฟีเรนเทียจงใจถามอาชีพของอีกฝ่าย

“ข้าทำงานอยู่ในวังค่ะ คุณหนู”

โล่งอกที่แคทเธอรีนให้คำตอบตรงกับที่เธอต้องการ

ที่จริงแล้วนางไม่ใช่คนที่ทำงานในพระราชวังทั่วไป แต่เป็นถึงหัวหน้านางกำนัลประจำวังจักรพรรดิเลยทีเดียว

เนื่องจากมันเป็นตำแหน่งหน้าที่อันทรงเกียรติที่ปกติแล้วจะมอบให้นางกำนัลที่อายุมากเป็นผู้รับผิดชอบ คนที่ครอบครองอำนาจที่แท้จริงในการดูแลพระราชวัง ย่อมต้องเป็นเหล่าหัวหน้านางกำนัลที่มีทั้งสิ้นสามคนด้วยกัน

เธอปรบมือเสียงดัง ‘เพียะ’ ทำท่าราวกับตกใจมาก พลางเอ่ยพูด

“ข้าเองก็เคยไปพระราชวังเหมือนกันค่ะ! ไปวังจักรพรรดินีกับท่านพ่อน่ะค่ะ!”

“วังจักรพรรดินี…อย่างนั้นเหรอคะ”

คำว่า ‘วังจักรพรรดินี’ ทำให้ใบหน้าของแคทเธอรีนมีสีหน้ามืดครึ้มพาดผ่านอยู่ชั่วครู่ แต่เพียงไม่นานก็ยิ้มให้พวกเด็กๆ

“ค่ะ! แต่ไม่สนุกเลยสักนิดค่ะ ยกเว้นที่ได้เพื่อนใหม่มานะคะ!”

“เพื่อน…เหรอคะ”

แคทเธอรีนเอียงคอด้วยความสงสัย

“ค่ะ! พอดีหลงทางในวังน่ะค่ะ แต่ว่า…”

เธอแสร้งทำใบหน้าเศร้าหมอง แล้วเอ่ยพูดต่อเสียงแผ่ว

“แต่ตอนนี้เป็นห่วงเพื่อนคนนั้นจังเลยค่ะ เขาบอกว่าป่วย บอกว่าอยู่คนเดียว…”

“คุณหนู?”

แคทเธอรีนเรียกเธอด้วยความเป็นห่วง

“แหะๆ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แต่ทำงานในวังไม่กลัวเหรอคะ ข้ากลัวองค์จักรพรรดินี…นิดหน่อยน่ะค่ะ”

พอเธอเปลี่ยนเป็นเรื่องจักรพรรดินี แคทเธอรีนก็ส่ายหน้า

“เพราะข้าทำงานรับใช้ฝ่าบาท ก็เลยไม่เป็นอะไรค่ะ”

“อา อย่างนั้นนี่เอง…”

นั่นไม่ใช่คำพูดจากใจจริง

จักรพรรดินีอาจจะไม่สามารถลงมือจัดการหัวหน้านางกำนัลที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์จักรพรรดิได้ แต่ความรู้สึกที่ต้องพบหน้าจักรพรรดินีที่มาจากตระกูลอังเกนัส ซึ่งเป็นตระกูลที่ทำลายตระกูลของตัวเองจนพังพินาศนั่นจะเป็นยังไงกันล่ะ

อีกอย่างราวีนี่คนนั้นย่อมไม่มีทางไม่ทราบว่า แคทเธอรีนซึ่งเป็นหัวหน้านางกำนัลคนนี้ ที่จริงแล้วเป็นคนของตระกูลบราวน์

ต่อหน้านาง จักรพรรดินีราวีนี่จะทำตัวหยิ่งยโสขนาดไหน

เธอรู้สึกนับถือในตัวแคทเธอรีนมากจริงๆ

หากเป็นเธอละก็ บางทีเธออาจจะยกมือขึ้นตบหน้าจักรพรรดินีไปนานแล้วก็ได้

หลังจากนั้นเธอก็สนทนากับแคทเธอรีนต่ออีกพักใหญ่

และในตอนที่งานเลี้ยงใกล้จะจบลง เธอก็แน่ใจได้

อุปนิสัย ความระมัดระวัง สมกับที่ได้ตำแหน่งหัวหน้านางกำนัลมาครอบครอง ความภักดีต่อลอมบาร์เดียความรู้กับประสบการณ์ทางด้านการฟันดาบ และเหนือสิ่งอื่นใดคือความโกรธแค้น ความเป็นปรปักษ์กับพวกอังเกนัสที่ต้องเก็บกดเอาไว้โดยไม่อาจทำอะไรได้

แคทเธอรีนเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้ปกครอง และแลเฟเรส!

“แคทเธอรีน บราวน์ ท่านเจ้าตระกูลเรียกพบครับ”

แคทเธอรีนกำลังมองหลานชายหลานสาวของเจ้าตระกูลที่กำลังโบกมือน้อยๆ ให้นางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มห่างออกไปไกล นางหันหลังกลับเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเอง

เขาคือมาร์วิน ดิลลาร์ด บุตรชายคนแรกของโรมาเชีย ดิลลาร์ด

งานพบปะนักเรียนทุนที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีปีละหนึ่งครั้งตามความต้องการของเจ้าตระกูล ทุกครั้งจะเปลี่ยนคนรับผิดชอบไปทีละตระกูล

คราวนี้ดูเหมือนจะเป็นคิวของตระกูลดิลลาร์ดสินะ

ขนาดของงานใหญ่มากเกินกว่าจะมอบให้คนคนเดียวรับผิดชอบจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ที่ใช้วิธีการเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลอยู่ในตัว

แคทเธอรีนเดินตามหลังมาร์วิน ดิลลาร์ดไปบนเส้นทางที่คุ้นเคย

ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสองคนก็มาถึงหน้าห้องทำงานของเจ้าตระกูล

เครย์ลีบันเปิดประตูเดินออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคิวก่อนหน้าแคทเธอรีนพอดี

“ไม่ได้พบกันนานนะครับ แคทเธอรีน”

“เครย์ลีบันเองก็ยังเหมือนเดิมเลยนะคะ”

ทั้งสองคนเคยอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ลอมบาร์เดียพร้อมกันช่วงหนึ่งจึงพอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่บ้าง

“ท่านเจ้าตระกูลกำลังรออยู่เลยครับ”

เครย์ลีบันช่วยเปิดประตูห้องทำงานให้อย่างมีมารยาท

“ขอบคุณค่ะ”

แคทเธอรีนยิ้มพลางเอ่ยพูด เครย์ลีบันค้อมศีรษะให้มาร์วิน ดิลลาร์ด เล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

“หมอนั่น…”

มาร์วิน ดิลลาร์ด มองภาพด้านหลังของเครย์ลีบัน เขาพึมพำเสียงแผ่ว

‘สองคนนี้สนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอ’

แคทเธอรีนเอียงคอเล็กน้อยด้วยความงุนงง แล้วเดินเข้าไปในห้องทำงาน

ข้างในห้องเหลือเพียงรูลลักกับแคทเธอรีนแค่สองคนไม่มีทั้งเลขาฯ ของเจ้าตระกูล ไม่มีทั้งพ่อบ้าน

ช่างแตกต่างจากบรรยากาศครื้นเครงของงานเลี้ยงด้านนอกที่ส่งเสียงดังโหวกเหวกอย่างสิ้นเชิง บริเวณหน้าโต๊ะทำงานที่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ทุกครั้งที่ได้เห็น มีเพียงเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ไร้ซึ่งที่เท้าแขนวางอยู่เท่านั้น

แคทเธอรีนสูดลมหายใจเข้าลึกโดยไม่มีเสียง ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น

“นิสัยขี้ระแวงนี่ยังไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ นะ”

รูลลักยิ้มเมื่อเห็นภาพนั้นในขณะที่เอ่ยพูด

“ยินดีที่ได้พบท่านเจ้าตระกูลค่ะ”

แคทเธอรีนทักทายด้วยความสุภาพอ่อนน้อม

“แล้ววันนี้มีข่าวใดมาแจ้งบ้าง”

รูลลักถามเข้าประเด็นทันทีโดยไม่คิดพูดเรื่อยเปื่อยอ้อมค้อม

เหตุผลที่ตระกูลลอมบาร์เดียทุ่มเทเงินทองจำนวนมหาศาลจัดงานพบปะนักเรียนทุนทุกปี

รวมถึงเหตุผลที่ทุกครั้งตระกูลที่เป็นเจ้าภาพงานจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปก็อยู่ที่นี่แล้ว

“แม่นมของเจ้าชายลำดับที่สองเฟเรสเสียชีวิตแล้วค่ะ”

งานพบปะนักเรียนทุนเป็นวันที่ใช้รวบรวมข่าวสาร มันเป็นวิธีที่พวกเขาจะได้มานั่งในห้องทำงานของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเช่นนี้ และเพื่อบอกกล่าวข่าวสารสำคัญจากทั่วอาณาจักรโดยไม่ทำให้ใครสงสัย