ตอนที่ 100 ความอัปยศอดสู

ปฏิญญาค่าแค้น

ห้องทางด้านนี้ หลินหลันและเฟิ่งซูหมิ่นกำลังหยอกล้อเด็กชายตัวน้อยๆ ส่วนทางด้านเฉียวอวิ๋นซีกำลังออกไปต้อนรับแขกเรื่อชนชั้นสูงที่เพิ่งเข้ามาในห้องอีกฟากหนึ่ง ภายในโถงรับรองแขกจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

หลินหลันหันไปมองเห็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังห้อมล้อมสตรีชนชั้นสูงที่กำลังย่างกายเข้ามาอย่างสง่างาม ศีรษะของนางประดับไว้ด้วยปิ่นรูปทรงนกฟินิกส์สีทองตระหง่านตา เฉียวอวิ๋นซีเข้าไปให้การทักทายภายใต้อากัปกิริยาเป็นกันเองอย่างเป็นพิเศษ ตามด้วยสตรีคนอื่นๆ ต่างก็พากันเข้าไปทักทายอย่างมีมารยาท 

 

 

“ท่านผู้นี้คือฉีหวางเฟย [1] ต้นตระกูลนางคือสกุลจาง” เฟิ่งซูหมิ่นกล่าวแนะนำ 

 

 

สายตาของหลินหลันมองไปยังหญิงสาวผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายพระชายาขององค์ชายสาม เรือนร่างอรชรของนางอยู่ภายใต้เสื้อสีเขียวหยกลวดลายเถาวัลย์งดงามวิจิตร ท่อนล่างสวมใส่กระโปรงจีบรอบตัวสีเขียวหม่น ผมสลวยปล่อยสยายโดยมีการรวบเกล้ามวยย้อยไว้ระดับกลางศีรษะและเสียบด้วยปิ่นหยกที่มีรูปลักษณะนกฟินิกส์เด่นตระหง่านตา สีหน้าสดใสดูมีชีวิตชีวา คิ้วเรียวโก่งดั่งคันศรเหนือดวงตาที่กำลังเปล่งประกาย ยิ่งไปกว่านั้นอากัปกิริยาของนางยังดูสง่างามมีราศีและสุขุมในเวลาเดียวกัน…นางเอาแต่ยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น ขณะเดียวกันดวงตาคู่สวยก็จับจ้องไปยังเบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มจางๆ รวมๆ แล้วแม้ความงามจะไม่ถึงขนาดโดดเด่นกว่าผู้ใด ทว่ากลับทำให้ผู้พบเห็นยากจะละสายตาออกไปได้ หลินหลันรำพึงรำพันในใจ ความงดงามอันซึ่งออกมาจากกิริยามารยาท มันเป็นเช่นนี้เองสินะ!  

 

 

“นั่นเป็นสตรีจากตระกูลใดหรือ” หลินหลันเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ 

 

 

เฟิ่งซูหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นางน่ะหรือ…นางคือหลานสาวของเผยไท่ฟู่ [2] บุตรสาวของราชครูเผยจื่อชิ่งแห่งราชสำนักฮ่านหลิน” 

 

 

เผยจื่อชิ่ง ชื่อนี้เสมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน หลินหลันพยายามครุ่นคิดอย่างนักและในที่สุดนางก็นึกขึ้นมาได้ เมื่อตอนที่อยู่มณฑลเฟิงอาน เฉินจื่ออวี้เคยเอ่ยถึงชื่อนี้ขึ้นมา 

 

 

“มาเถอะๆ ข้าจะแนะนำผู้หนึ่งให้แก่พวกท่านได้รู้จัก” เฉียวอวิ๋นซีชักชวนฉีหวางเฟยมาทางด้านหลินหลัน 

 

 

หลินหลันส่งเด็กน้อยคืนให้แม่นม 

 

 

“นี่คือหลี่ฮูหยินที่ข้าเคยเอ่ยกับหวางเฟยไว้ก่อนหน้ายังไงล่ะ” เฉียวอวิ๋นซีกล่าวแนะนำด้วยรอยยิ้ม 

 

 

หลินหลันแสดงความเคารพอย่างอ่อนน้อมและมีมารยาท 

 

 

ฉีหวางเฟยกวาดสายตามองไปที่หลี่ฮูหยินท่านนี้อย่างละเอียด แม้ว่านางจะไม่ได้ดูโดดเด่น ทว่าผิวพรรณขาวนวลสะอาดสะอ้านไร้ที่ติ คิ้วเข้มเหนือด้วงตาอันงดงาม รูปลักษณ์หน้าตาสระสวยอย่างเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะดวงตาคู่กลมโตที่ดูมีไหวพริบชาญฉลาดและเป็นดวงตาซึ่งฉายแสงแห่งความสุขออกมาอยู่ตลอดเวลา เมื่อมองดูกิริยาท่าทางในการแสดงความเคารพซึ่งดูอ่อนน้อมชดช้อยอย่างเป็นธรรมชาติของนาง เห็นได้ชัดว่ามันออกมาจากตัวตน มิใช่การเสแสร้งดัดจริต และที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด สามีของนางเป็นผู้ที่ใครๆ ต่างหมายปองมากที่สุดในเวลานี้ เป็นเป้าหมายที่องค์รัชทายาทและองค์ชายฉีต่างกำลังจับจ้องเพื่อแย่งชิงมา ฉีหวางเฟยแสดงทีท่าอย่างชื่นชอบในตัวหลินหลัน นางก้าวไปเบื้องหน้าพลางจับมือของหลินหลันและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบหลี่ฮูหยินเสียที คำล่ำลื่อไม่สู้ได้พบเจอตัวจริงๆ เวลานี้ข้าถึงได้เข้าใจว่าท่านจอหงวนมีความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ ถึงได้มีสายตาล้ำเลิศกว่าผู้อื่นในการเลือกภรรยาอย่างท่านมาเป็นคู่ครอง” 

 

 

การเอ่ยเยินยออย่างเปิดเผยต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ส่งผลให้หลินหลันถึงกับหน้าแดงระเรื่อ 

 

 

“หวางเฟยเอ่ยชมกันเกินไปแล้วเพคะ” หลินหลันกล่าวและเผยรอยยิ้มแสนหวาน 

 

 

ฉีหวางเฟยหันไปมองเฉียวอวิ๋นซีด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วกล่าวขึ้น “คาดไม่ถึงเลยว่าทั้งๆ ที่เจ้ายังเยาว์วัยเช่นนี้แต่กลับมีทักษะด้านการรักษาอันเก่งกาจยิ่งนัก เห็นทีว่าการดูแลโหว์เหยียฮูหยินของเจ้า จะช่วยทำให้นางผิวพรรณชุ่มชื้นอ่อนเยาว์เสียยิ่งกว่าตอนเป็นสาวๆ เสียอีกนะ” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซียิ้มยียวนแล้วกล่าวออกไป “นี่หวางเฟยกำลังเชยชมข้าหรือทำร้ายข้ากันแน่เพคะ” 

 

 

ฉีหวางเฟยถลึงตาใส่นาง “เจ้าไปส่องกระจกดูเองก็รู้แล้วมิใช่หรือ” 

 

 

ผู้คนพากันส่งเสียงหัวเราะขึ้นมา 

 

 

หลินหลันเห็นว่าเผยจื่อชิ่งแอบมองมาที่นางอย่างเงียบๆ อยู่ตลอด จึงอดไม่ได้ที่จะมองนางกลับไปเช่นกัน ทว่านางเองก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างไร กลับยิ้มเล็กยิ้มน้อยให้ด้วยซ้ำ 

 

 

ชั่วครู่ถัดมา สาวใช้ผู้หนึ่งเข้ามาเอ่ยถาม “งานเลี้ยงฉลองตระเตรียมเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ จะเริ่มเปิดงานเลี้ยงบัดนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้วจึงกล่าวออกไป “เริ่มเลยเถอะ!” 

 

 

งานเลี้ยงจัดขึ้นบริเวณสวนหลังอาคารขนาดย่อม ประตูและหน้าต่างซึ่งหันไปทางทิศใต้ถูกเปิดออกกว้าง ฝั่งตรงข้ามมีการตั้งเวทีสำหรับการแสดงละครง ทว่าเวลานี้บนเวลาที่ยังคงไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีจัดให้หลินหลันนั่งบริเวณโต๊ะแขกคนสำคัญ หลินหลันพยายามบอกปฏิเสธ ด้วยโต๊ะแขกคนสำคัญหากมิใช่หวางเฟยนั่งด้วยก็คงเป็นบรรดาฮูหยินของขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก ส่วนนางเป็นเพียงภรรยาของขุนนางระดับหกผู้หนึ่งเท่านั้นเอง การร่วมวงพูดคุยและการทานอาหารกับคนเหล่านี้คงเป็นไปอย่างไม่สะดวกสบายนัก แน่นอนว่าหากฉีหวางเฟยไม่อยู่ร่วมโต๊ะ นางคงพอไปร่วมวงได้อยู่ ด้วยหมิงอวินเคยบอกนางไว้ว่า อ๋องฉีคือองค์ชายสามซึ่งเป็นผู้สนับสนุนและซื่อสัตย์ต่อองค์รัชทายาท การที่ฉีหวางเฟยเป็นกันเองกับนางเช่นนี้ มิใช่เป็นเพราะความเป็นหลินหลันอย่างแน่นอน ดังนั้นควรเว้นระยะห่างไว้สักนิดจะเป็นการดี 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีมิอาจสู้ความดื้อดึงของนางได้ จึงทำได้เพียงจัดให้นางนั่งโต๊ะที่รองลงมา หลินหลันที่เพิ่งหย่อนตัวลงนั่งรู้สึกได้ถึงรัศมีแห่งความอิจฉาตาร้อนที่กำลังระอุขึ้นจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองจึงได้เห็นว่าบรรดาสาวน้อยที่นั่งโต๊ะด้านหลังของนาง ต่างพากันค้อนสายตาและจับจ้องมาที่นางอย่างดุเดือด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเผยจื่อชิ่ง ภายใต้สายตาเหล่านั้น ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความคับข้องใจอย่างน่าประหลาด มันยังแฝงเอาไว้ซึ่งการดูหมิ่นเหยียดหยาม และความชิงชัง… 

 

 

ก็ได้! นางยอมรับว่าตนเองคงเสมือนซินเดอเรลล่าที่ได้รองเท้าแก้วจากเจ้าชาย ทว่าทุกคนก็ไม่น่าจะคับข้องใจอะไรกันถึงขนาดนี้หนิ! และทันใดนั้นจู่ๆ หลินหลันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเฉินจื่ออวี้เคยพูดถึงความโด่งดังของหลี่หมิงอวินท่ามกลางหมู่สาวๆ ในเมืองหลวง และนางก็เริ่มรู้ซึ้งได้ทันทีว่าสาวๆ เหล่านี้คงเป็นผู้ที่ชื่นชอบคลั่งไคล้หมิงอวินสินะ? 

 

 

หลินหลันส่งยิ้มหวานให้แก่พวกนางแล้วหันกลับมาดั่งเดิม นางนั่งตัวตรงอย่างผ่าเผยและเชิดหน้าชูตาอย่างสง่างามยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นท่าทางที่นางเรียนรู้มาจากหมิงอวินนั่นเอง สองมือประครองถ้วยน้ำชาขึ้นอย่างอ่อนช้อย จิบลิ้มรสอย่างละเมียดละไม พวกเจ้าอยากมองก็เชิญมองให้สาแกใจไปเลย!  

 

 

การแสดงละครเบื้องหน้ายังไม่เริ่มขึ้น คาดว่าคงเป็นการแสดงละครหลังจากรับประทานอาหารกันเรียบร้อย และระหว่างรับประทานอาหารกันอยู่นั้นก็มีคนผู้หนึ่งเสนอการละเล่นพนันดื่มสุราขึ้นมา ตามด้วยเสียงขานรับอย่างพร้อมเพียงกัน 

 

 

หลินหลันกวาดตามองไปทั่วๆ และก็พบว่ามีฮูหยินจำนวนหนึ่งแอบปลีกตัวหนีไปอย่างรวดเร็ว ทว่านางรู้สึกอย่างรู้อย่างเห็นเป็นอย่างยิ่งว่าคนโบราณเขาละเล่นพนันดื่มสุราที่ว่านี้กันอย่างไร จึงนั่งฟังอยู่เช่นนั้น หากตนเองเล่นไม่ได้ไว้ค่อยปลีกตัวออกไปก็ยังไม่สาย 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีกล่าว “การละเล่นนี้ต้องมีผู้นำเล่นสักคน ใครจะรับหน้าที่นั้นหรือ” 

 

 

ฉีหวางเฟยกล่าว “ให้จื่อชิ่งเป็นผู้นำเล่นแล้วกัน!” 

 

 

ผู้ที่อยู่ข้างๆ กล่าวคัดค้านทันควัน “มิได้ๆ นะเพคะ สาวน้อยแห่งตระกูลเผยร่ำเรียนบทกวีมาเต็มหัว หากเอ่ยบทกวีทั้งบทออกมา เห็นทีว่าจะสู้มิไหวนะเพคะ” 

 

 

เผยจื่อชิ่งลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีไหมเจ้าคะ พวกท่านฮูหยินละเล่นชายเหมย [3] กันไป ส่วนพวกเราพี่สาวน้องสาวจะเล่นอย่างอื่นแทน” 

 

 

ฉีหวางเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็ดีเหมือนกัน พวกเจ้าวัยสาวๆ โดยปกติก็ชอบต่อบทกวีกันอยู่แล้ว เช่นนั้นพวกเราขอไม่รบกวนสมองอันน้อยนิดและเปลืองสติปัญญาแล้วจะดีกว่า พวกเจ้าเล่นกันเองแล้วกันนะ!” 

 

 

“หลี่ฮูหยินก็มาเล่นกับพวกเราด้วยเถอะ!” เผยจื่อชิ่งกล่าวขึ้น 

 

 

หลินหลันชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเผยรอยยิ้มแล้วกล่าวออกไป “ข้าเล่นไม่เป็นน่ะ!” 

 

 

“หลี่ฮูหยินเป็นถึงภรรยาของท่านจอหงวน แล้วจะต่อบทกวีไม่ได้อย่างไรกันเจ้าค่ะ อย่ามัวถ่อมตนอยู่เลย” หญิงสาวท่านหนึ่งที่อยู่ข้างๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีอยากช่วยให้หลินหลันหลุดพ้นสถานการณ์ชวนอึดอัดจึงกล่าวขึ้นภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม “ให้หลี่ฮูหยินมาเล่นชายเหมยกับพวกเราแล้วกัน” 

 

 

เผยจื่อชิ่งทำเพียงมองหลินหลันอย่างเงียบๆ เพื่อรอคำตอบจากนาง 

 

 

“พวกท่านเล่นกันก่อนแล้วกัน ข้าขอลองดูสักพัก หากข้าสามารถเล่นได้ไว้ข้าค่อยร่วมวงเล่นด้วย” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม 

 

 

เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความจริงแล้วมันง่ายดายมาก ท่านเล่นได้อย่างแน่นอน” หลังจากนั้นนางก็เอ่ยประกาศเริ่มการละเล่น “วันนี้ไม่ต่อบทกวีแล้วกัน พวกเรามาเล่นผางจื่อ [4] หากต่อบทได้จะดื่มหรือไม่ก็ตามสบาย แต่หากต่อบทไม่ได้จะต้องรับบทลงโทษด้วยการดื่มหนึ่งแก้ว” 

 

 

ทันใดนั้นสาวใช้ก็นำแก้วหนึ่งใบยื่นส่งให้ “แก้วนี้มันเล็กเกินไป เปลี่ยนเป็นแก้วที่ใหญ่กว่านี้มา” หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างเผยจื่อชิ่งกล่าว 

 

 

หลินหลันถึงกับแอบสะดุ้ง บรรดาสาวน้อยพวกนี้คงไม่ได้คิดจะต่อกรกับนางอยู่หรอกนะ! 

 

 

สาวใช้นำแก้วขนาดใหญ่ขึ้นเข้ามาเปลี่ยนให้ เผยจื่อชิงดวงตาลุกวาวและรอยยิ้มกระหยิ่มก็ปรากฏขึ้น “ข้าเริ่มก่อนแล้วกัน มีหมวดน้ำสามหยด [5] สร้างเป็นคำว่าชิง [6] ไม่มีหมวดน้ำสามหยดก็อ่านว่าชิง [7] ตัดหมวดน้ำสามหยดด้านข้างของชิงออกไปแล้วเพิ่มหมวดอักษรรื่อ [8] กลายเป็นฉิง [9] ดวงตะวันฉายแสงทิศตะวันออกขณะที่ฝนกำลังตกทางทิศตะวันตก กล่าวคือเดิมคิดว่าไร้ซึ่งเยื่อใยทว่ากลับยังมีความรักอยู่ในนั้น” 

 

 

ทุกคนพากับปรมมือโห่ร้องเชยชมว่าเยี่ยมยอด เผยจื่อชิ่งเผยรอยยิ้มหวานหยดย้อยแล้วชูแก้วขึ้นก่อนจะดื่มมันเข้าไปหนึ่งอึก 

 

 

หลินหลันแอบนึกอยู่ในใจ จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้ดูยากอะไรมากนัก 

 

 

“ถึงคราวจวงเจี่ยะเจียแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

หญิงสาวที่มีคิ้วเรียวยาวท่านหนึ่งลุกขึ้นแล้วกล่าว “มีหมวดน้ำสามหยดอ่านว่าเซียง [10] ไม่มีหมวดน้ำสามหยดก็อ่านว่าเซียง [11] ตัดหมวดน้ำสามหยดข้างเซียง เพิ่มอวี่กลายเป็นซวง [12] อย่าได้ยุ่งเรื่องผู้อื่นให้มากจนเกินไป” 

 

 

และเสียงโห่ร้องยอดเยี่ยมๆ ก็ดังขึ้นอีกระรอก 

 

 

“ถึงคราวเว่ยเจี่ยะเจียบ้างแล้ว…” 

 

 

วันนี้หลินหลันรู้สึกไวต่อความรู้สึกเป็นพิเศษต่อผู้มีสกุลเว่ย ก่อนหน้านั้นฮูหยินเว่ยได้เอ่ยว่ากล่าวนางสารพัด พอมาตอนนี้ดันมีเว่ยเสี่ยวเจี่ยะโผล่ขึ้นมาอีกคน หลินหลันอดไม่ได้ที่จะมองนางอยู่สักพัก สตรีท่านนี้รูปร่างสูงเพรียว สีหน้ายโสโอหัง คล้ายกับเว่ยฮูหยินอยู่ไม่น้อยทีเดียวเชียว 

 

 

“มีหมวดน้ำสามหยดอ่านว่าซี [13] ไม่มีหมวดน้ำสามหยดก็อ่านว่าซี ตัดหมวดน้ำสามหยดในคำว่าซีออกไป เพิ่มเหนี่ยว [14] กลายเป็นจี [15] ไก่ฟ้าชื่นชมขนของมันว่าสวยงาม แต่มิกล้าสะบัดขนทิ้งแล้วดูตัวมันที่แท้จริง” 

 

 

เมื่อเอ่ยจบนางก็ส่งสายตามองมาที่หลินหลันเชิงยั่วยุ 

 

 

สีหน้าของเฉียวอวิ๋นซีเคร่งขรึมขึ้นในทันที บุตรสาวตระกูลเว่ยท่านนี้ชักจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นการระบายความรู้สึกส่วนตัวต่อหลินหลันอย่างโจ่งแจ้ง 

 

 

ขณะที่เฉียวอวิ๋นซีกำลังจะเอ่ยปากขึ้น ฉีหวางเฟยกลับกระตุกมือนางรั้งไว้พลางส่ายหน้าเล็กน้อย นางก็อยากจะดูเหมือนกันว่าหลินหลันจะตอบโต้อย่างไร 

 

 

ทางด้านหลินหลันก็พอฟังออกว่าเว่ยเสี่ยวเจี่ยะผู้นี้จงใจจิกกัดนาง ด่านางว่าเป็นไก่ฟ้าหลังเขา หลินหลันจึงยิ้มออกไปแล้วกล่าวอย่างนุ่มนวล “มีมู่ [16] อ่านวาเฉียว [17] ไม่มีมู่ก็คือเฉียว [18] ตัดมู่ข้างเฉียว เพิ่มนวี่ [19] กลายเป็นเจียว [20] ข้าคือสตรีผู้อ่อนหวาน แล้วเหตุใดจักต้องทระนงตนไปกันเล่า” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีได้ยินประโยคดังกล่าว จึงหย่อนตัวนั่งลงตามเดิมอย่างสบายใจ เห็นทีว่าหลินหลันก็ไม่ใช่ธรรมดาเช่นกัน 

 

 

สีหน้าของเว่ยจือเสวียนดูเจื่อนๆ ไปทันที สีหน้าอาการนั่นช่างไม่ต่างจากผู้เป็นมารดาของนางเลยสักนิด นางครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“มีมู่ [21] อ่านว่าฉาย [22] ไม่มีมู่ก็อ่านว่าฉาย [23] ตัดมู่ออกไปจากฉาย เพิ่มเป้ย [24] กลายเป็นฉาย [25] มิทราบว่าฮูหยิน หลงรักในแก่นแท้หรือสมบัติเงินทองกันแน่เจ้าคะ” 

 

 

หลินหลันแสร้งทำทีเป็นประหลาดใจ แล้วเอ่ยถามเผยจื่อชิ่ง “เชื่อมคำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ” 

 

 

เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มเหยเก “จื่อเสวียน เจ้าประกอบคำผิดแล้ว ดื่มเสียเลยหนึ่งแก้ว!” 

 

 

ใบหน้าของเว่ยจื่อเสวียนแดงกล่ำ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมาที่หลินหลันอย่างโกรธเกรี้ยวและกล่าวเสียงแข็ง “แก้วนี้ข้ารับโทษ ทว่าอย่างไรก็ตามเชิญหลี่ฮูหยินเชิญต่อบทต่อไปด้วย” 

 

 

หลินหลันเผยรอยยิ้มอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแล้วกล่าวออกไป “มีมู่ [26] ทำเป็นเฉา [27] ไม่มีมีก็อ่านว่าเฉา [28] ตัดมู่ข้างเฉาออกไป เพิ่มมี่ [29] กลายเป็นเจา [30] หนุ่มผู้มีพรสวรรค์เคียงคู่สาวงามเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบ แล้วไปเกี่ยวอะไรกับนกเขาอย่างเจ้าด้วย” 

 

 

เว่ยจื่อเสวียนแทบจะล้มทั้งยืน ใครจะไปคิดว่าสาวชาวบ้านผู้นี้จะปากคอเราะร้ายได้ถึงเพียงนี้ นำนางไปเปรียบเทียบกับนกเขาจนทำให้นางต้องขายหน้าต่อผู้คนมากมายไปเสียได้ 

 

 

หลินหลันมองดูนางที่กำลังโมโหจนควันออกหู ก่อนจะยกแก้วสุราขึ้นมาลิ้มรสหนึ่งอึกอย่างไม่แยแส โกรธให้อกแตกตายไปเลยสิดี ได้สั่งสอนให้รู้เสียบ้างว่าคนอย่างหลินหลันไม่ได้ยอมให้ผู้ใดมาย่ำยีอย่างง่ายดาย วันนี้เลยถือโอกาสแสดงให้เหล่าบุตรสาวชนชั้นสูงที่มีใจหมายปองหลี่หมิงอวินได้รับรู้ไว้เสียหน่อยว่าตราบใดที่ยังมีหลินหลันอยู่ พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้แตะต้องเขา ใครหน้าไหนเข้ามานางก็จะจัดการให้เรียบ หากไม่เกรงกลัวความอัปยศอดสู่ก็ลองเข้ามาดูสิ 

 

 

“สมกับที่เป็นภรรยาของท่านจอหงวนเสียจริง ทั้งมีความคิดสร้างสรรค์และไหวพริบว่องไว ข้ายอมรับความพ่ายแพ้อย่างจริงใจ มา พวกเรามาดื่มแสดงความเคารพให้ฮูหยินจอหงวนสักหนึ่งแก้ว” เผยจื่อชิ่งออกตัวคลายสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้ 

 

 

“มิบังอาจเจ้าค่ะ อย่างไรก็ตามเชิญเว่ยเสี่ยวเจี่ยะรับบทลงโทษก่อนนะเจ้าคะ” 

 

 

เว่ยจื่อเสวียนจ้องเขม็งใส่หลินหลันแล้วคว้าแก้วสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมด บรรดาหญิงสาวที่ร่วมโต๊ะเดียวกันต่างมองนางด้วยความน่าสงสาร นี่มันเป็นการทำให้เว่ยจื่อเสวียนผู้หยิ่งผยองต้องได้รับความอับอายกันเห็นๆ พวกนางจึงพากันสาปแช่งบรรพบุรุษของหลินหลันอยู่ในใจ 

 

 

เผยจื่อชิ่งมองไปยังหลินหลันด้วยรอยยิ้มจางๆ ขณะถือแก้วสุราไว้พลางครุ่นคิด นางนึกถึงคำพูดของฉีหวางเฟยเมื่อครู่ที่ว่าหลี่หมิงอวินช่างมีสายตาหลักแหลมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว 

 

 

ฉีหวางเฟยเอ่ยกระซิบกระซาบ “หลี่ฮูหยินท่านนี้มิใช่ธรรมดาๆ เสียจริงด้วย!” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซียิ้มเล็กยิ้มน้อย “แน่นอนอยู่แล้วเพคะ” 

 

 

ฉีหวางเฟยกล่าวขึ้นอีกครั้ง “นางถูกจริตข้ามาก วันหน้าเจ้าช่วยพานางไปนั่งเล่นที่บ้านข้าทีสิ” 

 

 

เฉียวอวิ๋นซีพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจางๆ 

 

 

 

 

 

——