เว่ยจื่อเสวียนโดนตอกกลับไปถึงสองครา หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดคิดเสนอตัวขึ้นมาต่อกรกับหลินหลันอีก ขณะที่บรรยากาศในงานเลี้ยงฉลองก็เริ่มครื้นเครงขึ้นเรื่อยๆ หลังงานกินเลี้ยงสิ้นสุดลง การแสดงละครจึงเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ในยุคสมัยโบราณไม่มีความบันเทิงเช่นการเล่นดนตรีสดอะไรพวกนั้น มีเพียงการเชิญผู้แสดงละครงิ้วออกมาร้องเล่นทำเพลงเพื่อสร้างความครื้นเครงก็เท่านั้น และแน่นอนว่า ต้องเป็นผู้ที่ร่ำรวยเงินทองเท่านั้นถึงจะจัดงานระดับนี้ขึ้นมาได้
ละครประเภทงิ้วอะไรพวกนี้ หลินหลันไม่ชื่นชอบเท่าไหร่จริงๆ ก็อย่างว่าละครพวกนี้จะไปสู้ละครทางโทรทัศน์ในสมัยใหม่ได้อย่างไรกัน! ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเสียงขับร้องอันอ้อยอิ่งแหลมเปี๊ยบ ทั้งยังปราศจากอักษรบรรยาย นั่นจึงทำให้นางฟังไม่รู้เลยเลยสักประโยค การนั่งอยู่ตรงนั้นจึงเป็นเรื่องน่าเบื่อไปโดยปริยาย นอกจากนั้นแล้วนางยังต้องคอยปั้นหน้ายิ้มแย้มและรักษาอากัปกิริยาท่าทางให้สง่างาม นี่มันเหนื่อยจะแย่
โชคดีที่หลี่หมิงอวินมาช่วยให้นางหลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ได้ทันการณ์พอดี เขาส่งหยินหลิ่วมาเร่งเร้า หลินหลันจึงไปบอกลาเฉียวอวิ๋นซีทันที โดยระหว่างนั้นฉีหวางเฟยก็เอ่ยขึ้น “ไว้วันหลังเจ้ามานั่งเล่นที่จวนของข้านะ”
หลินหลันตอบรับอย่างยินดี
หลังออกจากจวนจิ้งปั๋วโหว์ ทันทีที่ขึ้นรถม้าก็ได้กินสุราที่คละคลุ้งเตะจมูก เห็นหลี่หมิงอวินกำลังนั่งหมดสภาพอยู่บนรถ ใบหน้าแดงกล่ำราวกับลูกตำลึง นัยน์ตาหยาดเยิ้มมองมาที่นางอย่างเสน่หา
หลินหลันขมวดคิ้วขณะกล่าวออกไป “เหตุใดถึงได้ดื่มหนักเช่นนี้”
หลี่หมิงอวินยกยิ้มมุมปาก กล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อยอิ่งเป็นพิเศษ “ปฏิเสธไม่ได้ เลยดื่มไปหลายแก้ว และความสามารถในการดื่มของข้าก็ไม่ดีเท่าไหร่เสียด้วย…”
หลินหลันบ่นพึมพำ “ไม่ได้เรื่องจริงๆ เลย”
เขามิได้ขุนเคืองแต่อย่างใด กลับยิ้มอ่อนแล้วกล่าวขึ้น “เมื่อก่อนยามออกไปดื่มสังสรรค์ ล้วนเป็นจื่ออวี้กับหนิงซิ่งที่คอยรับมือแทนข้า”
หลินหลันยื่นผ้าเช็ดหน้าไปซับเหงื่อที่ลำคอให้แก่เขา พลางเอ่ยบ่น “อะไรจะคออ่อนเช่นนี้”
หลี่หมิงอวินคว้ามือนางกอบกุมไว้ แล้วล้มตัวลงโดยพาดศีรษะลงบนหน้าตักหลินหลัน
“นี่…เจ้าทำอะไรของเจ้า”
“ข้ามึนหัว เจ้าให้ข้าเอนกายสักประเดี๋ยวนะ ไว้ถึงบ้านแล้วค่อยปลุกข้า” น้ำเสียงของเขาค่อยๆ แผ่วเบาลงจนกระทั่งได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ เท่านั้น
หลินหลันเห็นว่าเขาเมามายแล้วจริงๆ จึงปล่อยให้เขานอนหนุนอยู่เช่นนั้นแต่โดยดี ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดบนผิวหนังทะลุผ่านเนื้อผ้ากระโปรง สร้างความจักจี้ให้นางเล็กน้อย หลินหลันขบเม้มริมฝีปากล่าง นางผู้นี้ไม่หวาดกลัวความเจ็บปวดแต่กลับหวาดกลัวการจักกะจี้เป็นอย่างมาก หลินหลันพยายามคิดถึงเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อยเพื่อหันเหความรู้สึกที่เกิดขึ้น เช่นการนึกถึงสองแม่ลูกตระกูลเว่ย เช่นการนึกถึงเผยจื่อชิ่งผู้นั้น และนึกไปถึงฉีวางเฟย…
สองแม่ลูกตระกูลเว่ยเป็นอะไรที่สามารถมองข้ามไปได้เลย พวกนางเป็นเพียงอดีตที่ผ่านเลยไปแล้วเท่านั้น ทว่าเผยจื่อชิ่งผู้นั้น…หลินหลันมักรู้สึกแปลกชอบกล นัยน์ตานางดูไร้พิษสง ราวกับไม่ได้แฝงความคิดอันลึกลับซับซ้อนแต่อย่างใดและปราศจากซึ่งการข่มขู่ ทว่านัยน์ตาคู่นั้นกลับจดจ้องมาที่นางอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสามารถทำให้นางรู้สึกไม่เป็นสุข หรือนางจะไม่ได้แยแสอะไรหลินหลันเลยแม้แต่น้อย หรือไม่เผยจื่อชิ่งก็สามารถปกปิดบางอย่างในตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมเกินไป แต่จะว่าไปเหตุผลแรกก็คงไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะหากนางไม่ได้แยแสในตัวหลินหลันจริงแล้วเหตุใดต้องคอยจับจ้องไม่วางตาเช่นนั้นด้วย ถ้างั้นนางกำลังจงใจปิดบังซ่อนเร้นอารมณ์ความรู้สึกของตนเองไว้เพื่ออะไรกันแน่
หลินหลันครุ่นคิดไปสักพัก แล้วก็สะดุดประโยคที่เฟิ่งซูหมิ่นเคยเอ่ยไว้ ท่านพ่อของเผยจื่อชิ่งเป็นราชครูแห่งราชสำนักฮ่านหลิน ซึ่งเป็นหัวหน้าสูงสุดของหลี่หมิงอวิน
ไม่ได้การล่ะ หากเผยจื่อชิ่งตกหลุมรักหลี่หมิงอวินเข้าแล้ว โดยต้องการแต่งงานกับหลี่หมิงอวินให้ได้ เช่นนั้นเท่ากับว่าสถานะของนางก็กำลังจะได้รับการคุกคามสินะ
เอ่อะ! ไม่สิ นางไม่ใช่ภรรยาตัวจริงของหลี่หมิงอวินเสียหน่อย จะร้อนใจไปทำไมกัน แต่จะว่าไปแล้วเผยจื่อชิ่งผู้นี้ก็คู่ควรกับหลี่หมิงอวินอยู่เหมือนกัน ดูชาญฉลาดกว่าเว่ยจื่อเสวียนมากโข อย่างไรก็ตาม นางกับหมิงอวินมีสัญญาต่อกัน ในระยะเวลาสามปีที่สัญญายังไม่สิ้นสุด ผู้ใดก็อย่าริอาจคิดเข้ามาแทนที หากอยากแต่งงานกับหลี่หมิงอวินจริงๆ ล่ะก็ เชิญรออย่างสงบเสงี่ยมไปสามปีแล้วกัน!
หลินหลันเม้มริมฝีปากเรียวบาง สะบัดเรื่องของเผยจื่อชิ่งออกไปจากความคิดแล้วนึกถึงเรื่องฉีหวางเฟยผู้นี้ขึ้นมาแทน
ในค่ำคืนนี้ฉีหวางเฟยแสดงออกต่อนางอย่างเป็นกันเองเสียมากมาย และเห็นทีว่านางกับเฉียวอวิ๋นซีจะสนิทสนมกันไม่น้อยทีเดียว…ความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงกับหญิงชนชั้นชนิดนี้ โดยส่วนมากจะแฝงไว้ซึ่งจุดประสงค์บางสิ่งบางอย่าง นางจึงต้องรอบครอบเข้าไว้ เพื่อจะได้ไม่เป็นการเพิ่มภาระให้แก่หลี่หมิงอวิน
หลังจากคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปตลอดทาง รถม้าก็หยุดแน่นิ่งลงเสียที ตามด้วยเสียงของเหวินซานที่ดังขึ้น “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ถึงบ้านแล้วขอรับ”
หลินหลันเอ่ยเรียกด้วยเสียงแผ่วเบา “หมิงอวิน ตื่นๆ ถึงบ้านแล้ว”
หลี่หมิงอวินยังคงหลับเป็นตาย ไร้ซึ่งการตอบสนองแม้เพียงเล็กน้อย
หลินหลันดึงปลายจมูกของเขากลับถูกเขาปัดมือออก ขณะที่ศีรษะยังคงพาดบนหน้าตักของนางดั่งเดิม
หลินหลันจนปัญญา “เหวินซาน เอ้อร์เส้าเหยียเมาแล้ว ปลุกไม่ตื่นน่ะ เจ้าไปนำเกี้ยวเบาะนุ่มอย่างมีหลังคาและผ้าม่านมาทีสิ เอ้อร์เส้าเหยียจะได้ไม่ต้องตากลมเย็น”
หลี่หมิงอวินยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ความใส่ใจของหลินหลันทำให้หัวใจของเขารู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด บางครั้งนางค่อนข้างเอาแต่ใจไร้เหตุผล บางครั้งนางก็สะเพร่าโดยไม่ตั้งใจ ทว่ากับทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา นางกลับไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนกว่าผู้ใด นางทำลงไปโดยไม่รู้ว่าความรู้สึกรักใคร่ระหว่างชายหญิงมันเป็นเช่นไร หรือว่านางไม่ได้รู้สึกชอบพอเขาจริงๆ กันแน่
ทั้งสามคนร่วมแรงร่วมใจนำหลี่หมิงอวินที่แสร้งเมามายเกินความเป็นจริงกลับมาถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจายเป็นที่เรียบร้อย
เล่นเอาบรรดาข้ารับใช้วุ่นกันวายป่วง ทั้งตักน้ำมา ตามด้วยเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดถูเรือนร่าง และต้มซุปสำหรับดื่มคลายอาการเมา
หลินหลันที่เพิ่งออกมาจากการเปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นป๋ายฮุ่ยกำลังบรรจงเช็ดถูแขนขาของหลี่หมิงอวินพอดิบพอดี แล้วกำลังเตรียมจะเช็ดไปที่ลำคอของเขา ไม่รู้ด้วยเหตุผลอันใดหลินหลันถึงได้ฉุกคิดถึงจุดเล็กๆ สองข้างบนหน้าแผงอกกำยำของหลี่หมิงอวินเมื่อครั้งก่อน ขณะที่สมองกำลังมีภาพเหล่านั้นผุดขึ้นมา เบื้องหน้ากลับฉายภาพสดขึ้นมาให้เห็น นางเห็นป๋ายฮุ่ยกำลังปลดเสื้อตัวในของหลี่หมิงอวินออก จนเผยให้เห็นแผงอกกว้างกำยำและยังมีหมัดกล้ามเนื้อน้อยๆ เด่นชัดตระหง่านตา
เมื่อเห็นว่าป๋ายฮุ่ยกำลังจะยื่นมือเข้าไปเช็ด หลินหลันก็หลุดปากออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ป๋ายฮุ่ย เดี๋ยวข้าจัดการเองดีกว่า!”
หลินหลันก้าวไปเบื้องหน้าขณะเอ่ย แล้วฉวยเอาผ้าขนหนูในมือของป๋ายฮุ่ยมาไว้ ที่เรียกว่า ‘ฉวย’ คำนี้มันคือการฉวยเอามาจริงๆ เพราะนางยื่นมือออกไปอย่างรวดรวด ขณะที่ป๋ายฮุ่ยออกแรงกำไว้แน่น
นัยน์ตาของป๋ายฮุ่ยวูบดับลง มองดูนายน้อยที่กำลังเมามายจนหลับสนิท ก่อนจะหันหลังให้แล้วออกไปเพื่อทำการเปลี่ยนน้ำ
ทางด้านหลี่หมิงอวินที่แกล้งหลับเป็นตายดั่งท่อนซุง ด้วยเดิมทีคิดว่าจะถือโอกาสนี้ทำอะไรดีๆ สักหน่อย ผลสุดท้ายกลายเป็นว่าเขาต้องมานอนแผ่ราบราวกับปลาตายตัวหนึ่ง โดยมีผู้อื่นมาแตะต้องเรือนร่างเขาตามอำเภอใจเสียนี่
พอนึกถึงเวลานี้ที่เรือนร่างของเขากำลังถูกเช็ดโดยมือคู่นั้นของหลินหลัน เลือดร้อนภายในร่างของหลี่หมิงอวินก็สูบฉีดขึ้นมาทันที โชคดีที่ทั้งใบหน้าและเรือนร่างของเขาแดงกล่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ใบหน้าของหลินหลันก็ร้อนผ่าวอยู่เช่นกัน มิใช่ว่าไม่เคยเห็นร่างศพเปลือยเปล่าเสียหน่อย อีกทั้งยังเคยผ่าเรือนร่างมากแล้วด้วย! ลงมาผ่าตัดให้ผู้ป่วยมาก็นักต่อนัก แล้วเหตุใดจักต้องรู้สึกประหม่าขนาดนี้ด้วย
เอ๋? เหตุใดเรือนร่างเขาถึงแดงกล่ำไปด้วยล่ะ เห็นทีว่าคงเมามายอย่างหนักจริงๆ สินะ
หลินหลันช่วยเช็ดถูเรือนร่างท่อนบนของเขา พลางบ่นพึมพำ “ดื่มไม่เก่งแล้วยังจะดื่มเสียมากมายขนาดนี้จนตัวเองเมาเป็นหมูตายซาก พาคนอื่นเขาเหนื่อยกันไปหมด”
หลี่หมิงอวินได้ยินนางว่าเขาเป็นหมูตายซาก ในใจก็อดรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาไม่ได้ ทั้งที่ร่างกายเขาแทบจะปะทุไฟลุกโชยขึ้นมาได้อยู่แล้ว แต่นางดันสุมไฟใส่เข้าไปอีกโดยกล่าวว่าเขาเป็นหมูตายซาก มีหมูที่ไหนจะไวต่อความรู้สึกขนาดนี้หรือไร หากเจ้าขืนลูบต่ออีกนิด ข้าก็จะ….ข้าก็จะ….
หลินหลันผูกเสื้อให้เขาแล้วเตรียมดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ ขณะนั้นเองสายตาของนางกลับหยุดชะงักด้วยความตกตะลึงกับสิ่งที่นู่นเด่นตระหง่านขึ้นมาผ่านเนื้อผ้ากางเกงระหว่างขาทั้งสองของเขา หลินหลันหน้าแดงเป็นลูกตำลึงในทันที พ่อหนุ่มนี่ ไม่ใช่ย่อยๆ เลยแฮะ! นางรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เขาอย่างรวดเร็วด้วยเกรงว่าหากยังมองไปมากกว่านี้ นางคงได้เป็นตากุ้งยิงอย่างแน่นอน
หลี่หมิงอวินแอบถอนหายใจ ในที่สุดก็จบลงสักที
“นี่…ค่ำคืนนี้เจ้าเตียงนี่ก็ถูกเจ้ายึดครองไปอีกแล้วจนได้” หลังจากหลินหลันเสร็จสิ้นภารกิจ นางจึงหย่อนตัวลงนั่งขอบเตียงพลางถอนหายใจ
อวี้หลงถือถ้วยซุปเข้ามา “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ซุปคลายอาการเมาต้มเสร็จแล้วเจ้าค่ะ ป้อนให้เอ้อร์เส้าเหยียดื่มสักหน่อยไหมเจ้าคะ”
“เจ้าดูเอ้อร์เส้าเหยียหลับเป็นตายเสียขนาดนี้ แล้วจะป้อนได้อย่างไรกัน เอาออกไปอุ่นไว้ก่อน รอให้เขาตื่นมาแล้วค่อยดื่มก็ได้” หลินหลันเห็นหลี่หมิงอวินหลับอย่างสบาย จึงยกมือขึ้นโบกปัดเป็นสัญญาณให้อวี้หลงและคนอื่นๆ ออกไปให้หมด
หยินหลิ่วนำกระโถนสำหรับถ่มน้ำลายวางไว้ปลายเตียงนอน “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ ให้ข้าน้อยอยู่ในนี้เพื่อคอยปรนนิบัติเถอะเจ้าค่ะ! เกิดเอ้อร์เส้าเหยียอาเจียนขึ้นมา…”
“ไม่ต้องหรอกๆ พวกเจ้าออกไปพักผ่อนเถิด!”
หยินหลิ่วและอวี้หลงหันหน้ามองกัน แล้วถอยออกไปอย่างเชื่อฟัง
ภายในห้องไร้ซึ่งผู้อื่น หลินหลันหาวปากวอด ลูบไล้กล้ามเนื้อใบหน้าที่รู้สึกเมื่อยเล็กน้อย อาจเพราะยิ้มแย้มมากเกินไปกระมัง ตลอดจนกล้ามเนื้อร่างกายก็ไม่เว้น คงเป็นเพราะวางมาดท่าทางมากเกินไปหน่อย การพบปะเข้าสังคมก็เป็นงานที่เหนื่อยอยู่เหมือนกันแฮะ! หลินหลันดึงผ้าห่มอีกผืนมาห่ม โดยแผ่นหลังของนางเอนพิงเข้ากับเสาเตียงนอนอีกฝั่งหนึ่ง หลังจากเปลือกตาปิดลง ไม่นานนักนางก็เข้าสู่ห่วงนิทราไปพร้อมความอ่อนล้า
หลี่หมิงอวินรอจังหวะอยู่นานพอตัวถึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วก็พบว่าหลินหลันเอนกายพิงอยู่กับเสาหัวเตียงโดยศีรษะคลอนไปมาขณะหลับใหล กระทั่งไฟจากตะเกียงก็ยังไม่ถูกดับเลยด้วยซ้ำ
“หลินหลัน…” หลี่หมิงอวินเอ่ยเรียกด้วยเสียงบางเบา
ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ เขาจึงเขยิบเข้าไปใกล้ขึ้นอีกแล้วเอ่ยเรียก “หลินหลัน…”
ยังคงไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ
หลี่หมิงอวินยิ้มอ่อนอย่างเอ็นดู แล้วยื่นท่อนแขนแกร่งออกไปประครองนางไว้ก่อนจะพานางเอนกายนอนลงอย่างระมัดระวัง เห็นนางหลับใหลอย่างสนิทเช่นนี้ หลี่หมิงอวินอดซุกซนใส่นางไม่ได้จึงยื่นปลายนิ้วมือสะกิดจมูกเป็นสันได้รูปน้อยๆ ของนางพลางกล่าวด้วยเสียงกระซิบ “หลับเป็นตายขนาดนี้ เจ้าตากหากที่เป็นหมู”
แสงสว่างจากไฟตะเกียงดับลง หลี่หมิงอวินเอนกายนอนลงอีกครั้ง อาจเป็นเพราะรู้สึกถึงความอบอุ่นจากร่างกายของเขา หลินหลันจึงเขยิบตัวเข้ามาทางเขาอย่างไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันศีรษะน้อยๆ ก็แนบอิงเข้าหาหัวไหล่ของเขา
หลี่หมิงอวินไม่กล้าขยับเขยื้อนด้วยเกรงว่าจะทำให้นางตื่น
‘แง่มๆ ’ ขาเรียวหนึ่งข้างที่มีน้ำหนักพาดลงบนท่อนขาของเขา หลี่หมิงอวินถึงกับหันไปมองนางอย่างตกตะลึง มุมปากของนางขยับเล็กน้อยราวกับกำลังนอนหลับสบายฝันหวาน
หลี่หมิงอวินผ่อนลมหายใจเฮือกยาวอย่างช้าๆ ถือว่าเป็นหมอนข้างให้นางแล้วกัน!
‘แง่มๆ’ เพียงชั่วครู่ต่อมาแขนอีกข้างหนึ่งก็พาดมาอยู่บนหน้าท้องของเขา และนางก็โอบรัดไว้ราวกับหนวดปลาหมึก
หลี่หมิงอวินเพิ่งจะดับไฟในตัวที่แทบพวยพุ่งออกมาไปได้หยกๆ แล้วจู่ๆ ตอนนี้มันก็ประทุขึ้นมาอีกครั้งจนได้
แรงสัมผัสทั้งจากแขนและขาของนางที่กดทับบนเรือนร่างของเขา สร้างความกลัดกลุ่มให้หลี่หมิงอวินมากพอตัว หากเป็นเช่นนี้จนถึงเช้า เกรงว่าทั้งร่างกายของเขาคงไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีก เขาจึงตัดสินใจจัดแจงท่าทางในแบบที่ช่วยให้ตนเองรู้สึกสบายขึ้น
เขาเหยียดแขนซ้ายออกแล้วหยุดค้างกลางอากาศชั่วขณะ ก่อนที่จะค่อยๆ เอื้อมมือไปสอดใต้ลำคอระหงส์ของนางอย่างเบามือ หลินหลันยกศีรษะขึ้นให้ความร่วมอย่างไม่คาดคิด หลังจากนั้นหัวไหล่และท่อนแขนของเขาก็สบายยิ่งขึ้น
แผนการขั้นแรกผ่านไปอย่างราบรื่น ทำให้หลี่หมิงอวินรู้สึกดีใจ หลังจากนั้นจึงค่อยๆ พลิกตัวอย่างช้าๆ พลางยกขาของนางออกห่างจนท้ายที่สุดอยู่ในทิศทางทำมุมฉากเก้าสิบองศา โดยทั้งสองเผชิญหน้าเข้าหากัน หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มพึงพอใจอย่างผู้รับได้รับชัยชนะ แล้วค่อยๆ สวมกอดนางจนเข้ามาอยู่ในอ้อมอกเขา
นางซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดของเขาราวกับลูกนกตัวน้อยๆ หลี่หมิงอวินจรดจุมพิษลงบนผมสลวยของนางแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาอันนุ่มนวล “หลินหลัน แต่งงานกับข้าได้ไหม”
ไม่รู้ว่าหลินหลันจะหัวเราะเยาะเขาหรือไม่ ตอนแรกเขากลัวว่าหลินหลันจะเกาะเขาไม่ยอมปล่อย แต่ตอนนั้นเขากลับต้องการแต่งงานกับนางอย่างจริงๆ จังๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ ที่เขาตกหลุมรักนางเข้าแล้วอย่างเต็มหัวใจ นางมิใช่หญิงสาวผู้มีความสามารถอย่างเก่งกาจเลิศเลอ นางไม่สามารถดีดกู่ฉิน เล่นหมากล้อม ขีดเขียนลายสือศิลป์และวาดภาพ รูปลักษณ์นางก็ไม่ได้งดงามขนาดนางฟ้าสวรรค์ ทว่านางมีความมั่นใจในตนเอง เปี่ยมไปด้วยความฉลาดและไหวพริบ มีความเมตตา ความกระตือรือร้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือความงามที่แท้จริงของนาง เป็นภาพลักษณ์ที่โดดเด่นอันควรค่าแก่การครอบครอง การได้อยู่กับนาง ไม่ว่าจะทำเรื่องอันใด ล้วนช่วยให้สภาพจิตใจและอารมณ์ของเขามีแต่ความสุขเป็นอย่างยิ่ง เขาหวังว่าความสุขเช่นนี้จะสามารถยืดระยะยาวออกไป โดยการมีนางเคียงคู่ตลอดทั้งชีวิต…..
“อืม…” หลินหลันได้ยินเสียงคนพูดอย่างเลือนราง โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประโยคที่พูดออกมานั้นคืออะไร ทำเพียงส่งเสียงอืมออกไปอย่างสะลึมสะลือ
หัวใจของหลี่หมิงอวินเต้นระรั่วไปชั่วขณะ นี่นางตอบรับแล้วหรือ