เล่มที่ 4 บทที่ 93 ข้าสามารถช่วยเจ้าได้

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แม้แต่หลงเทียนอวี้เองก็สงสัยเช่นเดียวกัน

    ตอนนั้นเย่ส่งคนเข้าไปสอดแนมอยู่หลายครั้ง ทุกคนล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณหนูสกุลหลินเป็นคนโง่เขลาสติฟั่นเฟือน

    ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของฮองเฮาที่ใช้หมู่เฟยมากดดันตนเอง

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะได้รับอัญมณีล้ำค่ามาอย่างไม่ตั้งใจ

    ตอนแรกเขาระมัดระวังตัวเองกับหลินเมิ้งหยา แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หัวใจของเขาค่อยๆ ปลดระวางความหวาดระแวงเหล่านั้น

    บางทีอาจเพราะแม้นางจะมีวิธีการที่โหดเหี้ยม แต่นางกลับมีจุดยืนที่ชัดเจน อีกทั้งยังมีคุณธรรม

    ทุกเรื่องที่นางได้กระทำล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น

    บางทีอาจเป็นอย่างที่นางพูด นางคงได้รับการกระทบกระเทือนจากเกี้ยวเจ้าสาวในวันนั้น

    หลงเทียนอวี้ครุ่นคิด แต่ชิงหูกลับรู้สึกถึงการมีตัวตนของเขา

    ส่งสัญญาณผ่านทางสายตาให้กับหลินเมิ้งหยา ก่อนที่เขาจะแอบซ่อนตัว

    เหลือเพียงหลินเมิ้งหยาคนเดียวภายในศาลาเล็ก

    “ท่านอ๋อง ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดจึงหลบๆ ซ่อนๆ เล่าเพคะ?”

    น้ำเสียงหวานใสดังขึ้นเล็กน้อย หลงเทียนอวี้ผงะ แต่ถึงกระนั้นก็สาวเท้าเดินออกมาเงียบๆ

    “ข้าจะเป็นคนดูแลความปลอดภัยของเจ้าเอง”

    หลินเมิ้งหยาหันหน้ามองหลงเทียนอวี้ สมองประมวลผลอยู่หลายวินาที ก่อนจะเข้าใจ

    นางหยักยิ้มเล็กน้อย ส่งเสียงเบา

    “เช่นนั้นก็ขอบพระทัยเพคะ”

    หลงเทียนอวี้เป็นคนรักษาสัญญา เมื่อลั่นวาจาแล้วย่อมต้องทำให้ได้

    ตอนนี้นางมีคนมากความสามารถวนเวียนอยู่รอบกาย เกรงว่าโจรขโมยธรรมดาคงมิอาจย่ำกรายเข้ามาใกล้ได้อีกต่อไป

    คำพูดของหลงเทียนอวี้หนักแน่นกว่าพวกประกันน่ารำคาญในโลกปัจจุบันของนางเสียอีก

    “ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้ว คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่ไท่จื่อเลี้ยงดูเอาไว้ แต่ปกติพวกเขามักจะไม่ปรากฏตัวให้เห็นอย่างง่ายดายนัก”

    “ดังนั้น…”

    “ดังนั้นข้าจึงคิดว่าคนเหล่านั้นอาจจะไม่ใช่คนของไท่จื่อเสียทีเดียว”

    นัยน์ตาของหลินเมิ้งหยาพลันเผยให้เห็นความชื่นชม

    ดูเหมือนว่าหลงเทียนอวี้จะไม่ได้มีดีเพียงหน้าตาเท่านั้น สมองของเขายังฉลาดล้นเหลืออีกด้วย

    เรื่องบางเรื่องทำให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น

    เมื่อเทียบกับพวกเพื่อนร่วมทีมสมองหมูของนางแล้ว เขาดีกว่าหลายเท่า

    “หม่อมฉันเองก็คิดเช่นนั้นเพคะ คนเหล่านั้นแปลกประหลาดนัก ลงมืออย่างโหดเหี้ยม มุ่งหมายเอาชีวิตของหม่อมฉัน แต่กลับวางมือล่าถอยไปอย่างง่ายดาย แม้แต่ศพยังเก็บไปด้วย ทั้งหมดนี้หาได้เหมือนคนมุทะลุที่ต้องการทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง แม้พวกเขาจะแสดงเหมือนเป็นคนเช่นนั้น แต่ก็ยังมีส่วนแตกต่างอยู่เพคะ”

    ปกติเวลาคนเราเจอเข้ากับสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะต้องไล่ล่าหาตัวฆาตกรให้จงได้

    ทว่าซากศพเกลื่อนกลาดไม่สามารถระบุตัวตนของพวกเขาได้เลย

    สิ่งเดียวที่เหลือไว้เห็นจะเป็นลูกศรหัวสามแฉกอันนั้น

    เบาะแสนี้พุ่งเป้าไปที่ไท่จื่อ แต่ถึงกระนั้นก็บังเอิญเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าไท่จื่อคือผู้บริสุทธิ์

    แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็อาจทำให้ไท่จื่อสงสัย

    “ลูกศรอันนั้นเป็นผลงานของปรมาจารย์ด้านตีเหล็กในจวนของไท่จื่อ ในมือของศพมีสัญลักษณ์อันบ่งบอกถึงตัวตนอย่างชัดเจน อีกทั้งลูกศรสามแฉกอันนั้นยังมียาพิษที่อันตรายถึงชีวิตเคลือบเอาไว้”

    หลงเทียนอวี้มองดูลูกศรสามแฉกบนโต๊ะหิน คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น

    หลินเมิ้งหยากลับมองหลงเทียนอวี้ด้วยความตกตะลึง ดูเหมือนนางจะประเมินท่านอ๋องอวี้ผู้นี้ต่ำจนเกินไป

    “คิดไม่ถึงเลยว่าท่านอ๋องจะรู้กระทั่งเรื่องที่เป็นความลับเช่นนี้”

    แต่ไหนแต่ไรมา นางคิดเสมอว่าหลงเทียนอวี้ถูกไท่จื่อข่มอำนาจเอาไว้

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะล่วงรู้กระทั่งเรื่องทหารที่ยอมพลีชีพในภารกิจของไท่จื่อ

    “อันที่จริงหลายปีมานี้สหายของข้าเข้าไปแฝงตัวอยู่ในนั้น แม้ข้าจะรู้เรื่องในจวนของไท่จื่อเป็นอย่างดี แต่กลับไม่สามารถทำอะไรเขาได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”

    ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หลินเมิ้งหยาถอนหายใจเบาๆ

    เพราะเหตุนี้ ทั้งตำหนักหลิวซินของนาง ตำหนักหวู่ฉินของหลงเทียนอวี้ หรือแม้กระทั่งตำหนักหยาเสวียนของพระสนมเต๋อเฟยจึงมีการอารักขาที่เข้มงวด

    เพราะฉะนั้น การเคลื่อนไหวของนางจึงมักรั่วไหลออกไปเสมอ

    “เพราะเหตุนี้ ทุกครั้งที่เกิดเรื่องขึ้นกับหม่อมฉัน ข่าวคราวก็มักจะรั่วไหลออกไป ตอนนี้หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”

    หลงเทียนอวี้พยักหน้า หลินเมิ้งหยาเสมือนแมวเก้าชีวิต แม้จะถูกปองร้ายนับครั้งไม่ถ้วน แต่นางก็เอาตัวรอดได้เสมอ

    บางครั้งเขาก็อดคิดไม่ได้ หากมิใช่เพราะหลินเมิ้งหยาเป็นคนดวงแข็ง เช่นนั้นนางก็คงมีเทวดาคุ้มครอง

    แต่ไหนแต่ไรมามิเคยมีใครรอดชีวิตออกจากรังของเถาฮวาอู๋ อีกทั้งยังไม่เคยมีใครทำให้เขายินยอมมอบเย่ให้

    บางทีอาจเพราะนางไม่เหมือนกับคนอื่น

    “ต่อจากนี้ไป หากเจ้าอยากทำอะไร ขอให้บอกข้าก่อนล่วงหน้า เจ้าสามารถใช้อำนาจของจวนอวี้แห่งนี้ได้ตามความต้องการ”

    สำหรับหลินเมิ้งหยาแล้ว การกักขังนางไว้มิใช่ผลดีแต่อย่างใด

    สู้ปล่อยให้นางกระทำสิ่งที่ตนเองต้องการ อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

    “เพราะเหตุใดหรือเพคะ? ท่านอ๋อง หม่อมฉันสามารถรู้เหตุผลได้หรือไม่?”

    ยิ่งนานวัน ยิ่งรู้สึกว่าหลงเทียนอวี้ปฏิบัติกับนางแปลกมากขึ้น

    “ข้าไม่อยาก…ควบคุมใคร”

    ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา แม้เขาจะได้รับการปกป้องจากเสด็จพ่อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องระมัดระวังและเอาตัวรอดภายใต้การกดดันจากไท่จื่อ

    แม้หมู่เฟยจะใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างระมัดระวัง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังถูกฮองเฮาข่มขู่อยู่ดี

    แม้แต่การมาเยือนของฮ่องเต้หมิงในคราวนี้ แม้เขาจะขอเข้าพบเสด็จพ่อ แต่กลับถูกขวางไว้และให้อยู่เพียงด้านนอกตำหนักไท่เหอ

    แน่นอนว่าผู้ที่ขัดขวางคือฮองเฮาและไท่จื่อ

    เขา…อดทนมามากเพียงพอแล้ว

    “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”

    นับตั้งแต่ตอนที่หลงเทียนอวี้เข้ามายืนปกป้องนางอยู่ข้างกายมิห่างหายในงานเลี้ยงวันนี้ อันที่จริงมันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้ทำการประกาศสงครามกับฮองเฮาและไท่จื่อแล้ว

    หากหลงเทียนอวี้ไม่คัดค้าน เช่นนั้นสิ่งที่จะได้รับก็คงเป็นการถูกลงโทษ

    ทว่าวันนี้ไท่จื่อที่ยังมิได้ขึ้นครองบัลลังก์ แสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าเขาคือว่าที่ฮ่องเต้ผู้ไร้ความสามารถ

    หากเขาได้ขึ้นครองราชย์จริง เกรงว่าพวกเขาเองคงจะถูกเอาตัวไปประหารอย่างแน่นอน

    นางหาใช่คนที่จะยอมศิโรราบและรับกรรมแต่โดยดีไม่

    “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว เวลาไม่คอยท่า เจ้าไปพักผ่อนเถิด”

    หลงเทียนอวี้พยักหน้าลง หมุนตัวแล้วก้าวเท้ายาวๆ ออกไป

    มองตามแผ่นหลังกว้างน่าเกรงขาม เป็นครั้งแรกที่หลินเมิ้งหยารู้สึกใจเต้นเล็กน้อยกับชายผู้นี้

    แม้หลงเทียนอวี้มักจะแสดงสีหน้าท่าทางเย็นชา แต่เพื่อปกป้องคนของตัวเองแล้ว เขาไม่เสียดายเลยที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง

    มิรู้ว่าจะมีหญิงสาวโชคดีคนใดสามารถเข้าไปอยู่ในหัวใจของเขาได้

    นางส่ายหน้า เหตุใดวันนี้นางจึงรู้สึกเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้

    นอนไม่หลับทั้งคืน หลินเมิ้งหยาเอนกายลงบนเตียง วิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

    อันที่จริง เรื่องราวที่นางได้ประสบพบเจอไม่ควรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ

    ทว่า ทั้งหมดนั้นล้วนเกิดขึ้นแล้ว

    พระชายาถูกลักพาตัว ก่อเหตุบนถนน ถูกลอบทำร้ายยามวิกาล

    เรื่องเหล่านี้มิควรเกิดขึ้นในเมืองหลวงด้วยซ้ำ นอกเสียจากว่าผู้อยู่เบื้องหลังของเรื่องเหล่านี้เป็นผู้มีอำนาจล้นพ้น

    อาจพูดได้ว่า เพื่อทำร้ายนางแล้ว พวกเขายังสามารถทำเรื่องร้ายแรงกว่านี้ได้อีก

    แต่เรื่องที่นางคอยช่วยเหลือหลงเทียนอวี้หาได้มีใครรู้ไม่

    แต่เพราะเหตุใดคนที่มักเจอเข้ากับอันตรายจึงกลายเป็นนางกัน?

    นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาซึ่งหลินเมิ้งหยาคิดหาคำตอบไม่ได้

    พวกเขาทำร้ายหลงเทียนอวี้หรือไม่ก็พระสนมเต๋อเฟยจะไม่สมเหตุสมผลกว่าหรือ

    นางพลิกตัว ทว่าจู่ๆ สายตาพลันเห็นแสงจันทร์สาดส่องไปที่ดอกโบตั๋นที่กำลังส่ายไปมาบนโต๊ะ

    ราวกับถูกไฟฟ้าช็อต พลันนึกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้

    นั่น…คือชุดแต่งงานที่ท่านพ่อเก็บเอาไว้ให้นาง

    จุดประสงค์ที่แท้จริงของคนเหล่านั้นคือต้องการได้รับการสนับสนุนจากสกุลหลิน พวกเขาต้องการกำลังของท่านพ่อและพี่ชาย

    หากนางตายอยู่ที่จวนอวี้โดยไม่ทราบสาเหตุ เช่นนั้นผู้ที่ถูกกล่าวหาเป็นคนแรก คงมิพ้นท่านอ๋องอวี้

    ยิ่งไปกว่านั้นทั้งท่านพ่อและท่านพี่ล้วนรักและเอ็นดูนางเป็นอย่างมาก หากหลงเทียนอวี้มิอาจตอบได้ ทั้งสองจะต้องเกลียดชังและตั้งตัวเป็นศัตรูเป็นแน่

    เพราะฉะนั้นนางควรรีบเขียนจดหมายเพื่อเล่าสถานการณ์ของตนเองในเวลานี้ให้กับท่านพ่อและพี่ชายฟัง

    อย่างน้อยพวกเขาจะได้รู้ว่านางอยู่ฝ่ายเดียวกับใคร

    ตัดสินใจ แต่นางไม่อยากใช้เส้นสายของหลงเทียนอวี้ในการติดต่อกับท่านพ่อและท่านพี่

    นางครุ่นคิด ทางเลือกเดียวเห็นจะเป็นพี่เยว่ถิง นางเหมาะที่จะส่งสารไปที่สุด

    หลินเมิ้งหยาตัดสินใจเดินทางไปที่จวนเยว่ในวันพรุ่งนี้เพื่อขอร้องเยว่ถิง

    อันที่จริงสกุลเยว่มีอำนาจในเมืองหลวงค่อนข้างมาก

    แม้ทั้งสองตระกูลจะถูกมองว่าสมานฉันท์กันดี ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับมีเรื่องระหองระแหงกันมาอย่างเนิ่นนาน

    ส่วนเหตุผลนั้นก็เพราะแม่ของเยว่ถิงคือเพื่อนสนิทของฮองเฮาสมัยยังไม่ถวายตัวเข้าวัง

    การหมั้นหมายในคราวนั้นล้วนเป็นแผนการของพวกเขา

    แต่สิ่งที่สกุลเยว่คิดไม่ถึงก็คือพี่เยว่ถิงชอบพอกับท่านแม่ทัพสกุลหลิน

    ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พี่เยว่ถิงมักจะช่วยตัวเองอยู่ลับๆ

    ไม่ว่าจะเป็นเพราะพี่ชายหรือเพราะความสงสารจากพี่เยว่ถิง ถึงอย่างไรนางก็ต้องไปเยี่ยมเยียนแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโสทั้งสอง

    ป๋ายจีและป๋ายซ่าวตระเตรียมของขวัญที่จะมอบให้สกุลเยว่แต่เช้า

    “นายหญิง สิ่งของเตรียมพร้อมหมดแล้วเจ้าค่ะ”

    เวลาเพียงคืนเดียว แต่ตำหนักกลับมีป๋ายซูเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน แม้สาวใช้ทั้งสามจะสงสัย แต่มิเอ่ยถามอันใดและก้มหน้าก้มตาทำงานของตนเอง

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง ตรวจสอบรายการของขวัญ

    ก้มๆ เงยๆ อยู่ครู่หนึ่ง ทั้งหมดมีราวสิบกว่าอย่าง

    มีทั้งหยกราคาแพง ขนมแปลกใหม่ ผ้าไหม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเครื่องบรรณาการจากซีฟาน คนภายนอกยังมิเคยเห็นมาก่อน

    “ไม่เลว ของพวกนี้มีค่ามากพอจะรักษาหน้าของจวนเอาไว้ได้ พวกเจ้าทั้งสี่ตามข้าไปแล้วกัน อย่าลืมบอกชิงหูด้วยว่าวันนี้เขาต้องอยู่เฝ้าบ้าน”

    ทันทีที่สิ้นเสียงของหลินเมิ้งหยา เสียงไม่พอใจพลันดังขึ้นในตำหนัก

    นอกจากป๋ายซู ทั้งสามล้วนเคยชินหมดแล้ว

    “อย่าระแวงไปเลย เขาคือองครักษ์ประจำตัวข้า หน้าที่คือคุ้มครองดูแลข้าเช่นเดียวกับเจ้า”

    ได้เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของป๋ายซู เห็นได้ชัดว่านางมองชิงหูเสมือนแขกที่ไม่ได้รับเชิญ

    หลินเมิ้งหยาหัวเราะ ตบบ่าป๋ายซูเบาๆ เพื่อเป็นสัญญาณให้นางมิต้องกังวล

    ป๋ายซูเก็บมือของตนเอง ตอนที่ยังคุ้มครองดูแลหลินจงอวี้ นางรู้สึกตัวอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วว่ามีบุคคลมากความสามารถอาศัยอยู่ที่นี่

    แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่มีฝีมือเช่นเขาจะเป็นองครักษ์ประจำตัวของพระชายา

    จวนแห่งนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก แม้แต่พระชายาก็ไม่เหมือนผู้อื่น